วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
“พานทองแท้” แนะจับตา แกนนำ กปปส. เรียงหน้าวิ่งลงเลือกตั้ง เหลือเฝ้ามูลนิธิฯยามแพ้
#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ Facebook : Oak Panthongtae Shinawatra โดยมีเนื้อหาดังนี้
ที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่นี่ มีใครกล้าพูดมั๊ยครับว่า น่าจะมีสักคน ที่ไม่ใช่นักการเมือง..??
บอกเลย นักการเมืองล้วนๆ 100% ครับ แต่ที่ปัจจุบันเรียกตัวเองว่านักการเมืองไม่ถนัดปาก เป็นเพราะว่าเมื่อเล่นกันตามเกม สู้กันตามระบอบประชาธิปไตย กลับต้องพ่ายแพ้เลือกตั้งทุกครั้ง เป็นอย่างนี้ติดต่อกันมาร่วม 20 ปี มันก็ต้องใช้วิธีตุกติกนอกกติกา เพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลกันบ้าง
ไม่ต้องย้อนยุคไปถึงตอนใช้ "วิชามาร" ส่งคนไปตะโกนในโรงหนัง เพื่อหวังจัดตั้งรัฐบาลหรอกครับ เอาแค่ 20 ปีที่ผ่านมา เขาทำกันอย่างไร พรรคฯที่แพ้เลือกตั้ง จึงจะได้เป็นรัฐบาลกับเขาบ้าง
ครั้งแรก ใช้" วิชาหมองู" จับงูเห่าพลิกมาอยู่ข้างตัวเอง จึงได้เป็นรัฐบาล
ครั้งที่ 2 ใช้ "วิชาทหารราบ" จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จึงได้เป็นรัฐบาล
มาครั้งล่าสุด ใช้ "วิชานกหวีด" หวังปฏิรูปประเทศด้วยการ เตะหมูเข้าปากทหาร แล้วคิดว่าจะเอื้อต่อพรรคพวกตนในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ปัจจุบันกลับส่งผลกระทบรุนแรงต่อ ภาวะเศรษฐกิจ ต้องซบเซาย่ำแย่กันไปหมด ทั้งในระดับเจ้าสัว ปานกลาง และรากหญ้า เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า บวกกับการไม่ยอมรับ จากเกือบทุกประเทศทั่วโลก เศรษฐกิจจึงจมดิ่งในทุกระดับ
"เรามาถึงจุดๆนี้ กันได้อย่างไร"
เริ่มจากนักการเมืองกลุ่มนี้หรือไม่? ที่แปลงกายเป็นชาวบ้าน ด้วยการลาออกจากนักการเมือง แล้วสถาปนาตัวเอง เป็นมวลมหาประชาชน ปลุกม็อบปั่นป่วนบ้านเมือง เขี่ยลูกใส่พาน วิงวอนขอรถถังออกมาวิ่ง จนกระทั่งสำเร็จ
เมื่อทหารออกมายึดอำนาจ ได้ปกครองประเทศสำเร็จ ก็มีเหตุการณ์ที่ตัวหัวโจกนำป่วนเมืองดันผิดคิว ไปตลกบริโภคทวงบุญคุณทหาร ส่งใบเสร็จค่าป่วนเมือง 1,000 ล้าน ปรากฏไม่มีขุนพลคนไหนขำด้วย จึงต้องหนีไปบวช บ้านเมืองก็ทำท่าจะสงบอยู่พักหนึ่ง
ปรากฏว่าอยู่ๆก็ลาสิกขาบท สึกออกมาได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็แผลงฤทธิ์ดอกแรกด้วยการ ทำหนังสือสั่งผบ.ตร.ไม่ให้ย้ายกองบัญชาการตำรวจภูธรฯ ออกไปจากจังหวัดตัวเอง ตามด้วยดอก 2 ใน 2-3 วันต่อมา ด้วยการแถลงข่าวการเมืองล้วนๆ โดยอ้างชื่อมูลนิธิฯเป็นตัวบังหน้า อย่างที่เห็นกัน
การเมืองหรือไม่การเมือง เด็กอมมือมันก็ดูออกครับ คอยดูกันเถอะที่ว่าไม่เล่นการเมือง เรียงหน้ากันอยู่บนเวทีทั้งหมดนี่ พอใกล้เลือกตั้งเมื่อไหร่ วิ่งกลับเข้าสังกัดพรรคฯ ลงเลือกตั้งแทบทั้งหมด เหลือไม่เกิน 1-2 คนหรอกที่อยู่เฝ้ามูลนิธิฯ คอยเป็นหัวเชื้อป่วนเมือง เพื่อกู้ชีพให้พรรคในยามแพ้เลือกตั้งครั้งหน้า คอยดูเถอะ
ย้ำกันอีกทีก็ได้ ที่เห็นยืนหน้าสลอนบนเวที บอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองกันอยู่นี่ คนไหนที่จะไม่ลงเลือกตั้งในครั้งหน้า ช่วยแมนๆกู้ศรัทธาคืน ด้วยการประกาศตัวออกมาให้ชัดเจนหน่อย
พวกสาวกนกหวีดก็เหมือนกัน เจ็บแล้วต้องจำกันบ้าง ครอบครัวจะอดตาย เงินเดือนน้อย ข้าวของแพง บางคนต้องตกงาน ในขณะที่ บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ ค่าเทอมลูกต้องจ่าย แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร
เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร..? เจ็บแล้วต้องจำกันบ้างครับ
ไม่ใช่ว่าพอยังมีลมหายใจกันอยู่ ก็เอาแต่เป่ากันอย่างเดียว
ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..!!
ภาพจาก ไทยรัฐออนไลน์
"จาตุรนต์" จับตา กปปส. เคลื่อนไหว กระทบเลือกตั้งยืดเยื้อ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณในฐานะประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยว่า การแถลงข่าวถือเป็นสิทธิเสรีภาพอยู่แล้ว ไม่ควรไปตำหนิคสช.ที่ปล่อยให้มีการแถลง ถ้าจะมีปัญหาก็อยู่ที่การไปห้ามองค์กรหรือกลุ่มอื่นไม่ให้มีการแถลงข่าวในช่วงที่ผ่านมา หวังว่าต่อไปบุคคลอื่นหรือองค์กรอื่น ควรมีสิทธิเสรีภาพในการแถลงข่าวเช่นเดียวกัน ส่วนการตั้งมูลนิธิก็เป็นสิทธิตามกฎหมายสามารถทำได้ ดูจากวัตถุประสงค์แล้ว หลายเรื่องเป็นงานที่เหมาะสมกับการใช้มูลนิธิทำงาน เพียงแต่ว่ามีบางส่วนที่อาจจะเป็นเรื่องการเมืองได้ ก็จะไม่สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยมูลนิธิ แต่เรื่องนี้ไม่น่าจะไปเคร่งครัดอะไรมาก ตราบใดที่เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ใช้สิทธิเสรีภาพทางหนึ่ง
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการปฏิรูปที่บอกว่า จะสนับสนุนให้ปฏิรูปให้สำเร็จก่อนมีการเลือกตั้งไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไรก็ตาม แสดงให้เห็นถึงความคงเส้นคงวาของนายสุเทพ ซึ่งมีความมุ่งหมายอย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร แต่ความมุ่งหมายนี้ ถ้าคนไทยยังเห็นต่างกันอยู่มากเรื่องการปฏิรูป คือมีทั้งที่เห็นว่าการปฏิรูปที่กำลังทำกันอยู่เป็นเรื่องดี ควรทำให้สำเร็จก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าไม่ควรเรียกว่าการปฏิรูป จะทำให้เกิดผลเสียต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เมื่อความเห็นที่แตกต่างนี้ สังคมไทยยังไม่มีวิถีการหาข้อยุติโดยสันติให้ได้ก่อน
“ผมคงไม่วิจารณ์อะไรคุณสุเทพมาก เพราะมักจะมีอะไรที่เหนือความคาดหมาย แต่ถ้าพูดในแง่บ้านเมืองแล้ว ขณะนี้ไม่รู้ว่าเมื่อนายสุเทพมีความคงเส้นคงวาในเรื่องการเมืองแล้ว จะมีความคงเส้นคงวาในวิธีการเคลื่อนไหวด้วยหรือไม่ ถ้าคงเส้นคงวาวิธีการเคลื่อนไหว หมายความว่าอาจจะทำให้อะไรที่ขัดต่อกฎหมายได้อย่างไม่มีขัดจำกัด เพราะมีภูมิต้านทานต่อกฎหมายสูง ซึ่งเรื่องนี้คงต้องให้เป็นหน้าที่ของคสช.ที่ใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับนายสุเทพเรื่อยมา จะต้องไปพิจารณาหาทางดูแล หากจะเป็นปัญหาในอนาคต” นายจาตุรนต์ กล่าว
เมื่อถามว่า มองหรือไม่ว่าทำไมนายสุเทพ เลือกออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า คาดการณ์ไม่ถูกเหมือนกัน แต่ถ้าจะดูจากสถานการณ์ในขณะนี้ มันเป็นช่วงใกล้เวลาที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)จะลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งก็หมายถึงถ้าผ่านต้องนำไปสู่การลงประชามติ แต่ถ้าไม่ผ่านก็จะทำให้ต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รวมกับนายสุเทพที่ต้องการให้ปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง นั้นอาจหมายถึงการทำให้กระบวนการเลือกตั้งยืดเยื้อออกไปก็ได้
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เพราะฉะนั้น ในช่วงนี้สิ่งที่น่าติดตามจริงๆอาจเป็นเนื้อหาสาระร่างรัฐธรรมนูญ เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สุดท้ายแล้วจะไม่มีการแก้ไขอะไรให้แตกต่างจากต้นร่าง และจะเป็นร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ทำให้บ้านเมืองจมปลักกับความขัดแย้ง ความไร้เสถียรภาพ ไร้ประสิทธิภาพ และจะทำให้คนทั้งประเทศเสียโอกาสอย่างมาก ถ้าหากปล่อยให้ร่างรัฐธรรมนูญแบบนี้ออกมา บ้านเมืองก็จะเสียหายอย่างนี้ไปอีกนาน
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
"ภูมิธรรม" แนะจับตา กปปส. ระวัง เคลื่อนไหว ซ้ำเติมสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ว่า เวลานี้สังคมไทยเกิดความสับสนหาหลักยึดไม่ได้ กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่สะท้อนความสับสนของสังคมไทยยุคนี้ ต้องนิยามความเห็นเรื่อง "การเมือง" ใหม่ว่าเป็นอย่างไร? เกี่ยวข้องกับการเมืองแค่ไหนที่จะกระทำมิได้ตามเงื่อนไขข้อบังคับของคสช. หรือว่าขึ้นอยู่กับหน้าตาหล่อๆ ดำๆ แบบ กปปส.จะทำอะไรก็ได้ พวกเราต้องไปศึกษาระเบียบของมูลนิธิใหม่ ที่แถลงเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องการปฏิรูป ไม่ใช่เรื่องการเมือง จากนี้เป็นต้นไปทุกฝ่ายคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดคงมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นอีกมากมายเกินกว่าจะคาดเดาได้
“วันนี้สิ่งที่ทุกคนต้องคิดคือ ประเทศกำลังแย่ เศรษฐกิจตกต่ำ ต่างชาติไม่ยอมรับ ต้องกลับเข้าสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว ตอนนี้ คสช.กำลังทำการปฏิรูป เราก็อดทนเฝ้ารอเวลาตามโรดแม็ปที่วางเอาไว้ ทุกฝ่ายพยายามไม่สร้างเงื่อนไขให้ประเทศเกิดปัญหาและสะดุด เพราะต้องการให้คืนสู่ภาวะปกติ เพื่อให้ปัญหาของประเทศคลี่คลายและปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนได้รับการแก้ไข จากนี้เป็นต้นไปต้องจับตาดูอย่าให้มีเงื่อนไขใดๆ มากระทบไม่ว่าใครก็ตามต้องระมัดระวังเรื่องการเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลง อย่าไปทำอะไรเพื่อตัวเองโดยไม่สนใจประเทศชาติ เพราะปัญหาของประเทศไม่อาจรอได้ และที่สำคัญกว่านั้นทุกข์ของประชาชนที่รอการคลี่คลาย ไม่ควรช้าสักวินาทีเดียว” นายภูมิธรรมกล่าว
พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพ สวดพระอภิธรรม “ประชาธิป มุสิกพงศ์”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กำหนดการสวดพระอภิธรรม นายประชาธิป มุสิกพงศ์ (สิงห์) มือกีตาร์วง Sqweez Animal (สควีซ แอนิมอล ) บุตรชาย นายวีระกานต์ - นางศรีวิไล มุสิกพงศ์ ณ ศาลา 31 วัดธาตุทอง ดังนี้
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2558
- รดน้ำศพ เวลา 16.00 น.
- สวดพระอภิธรรม เวลา 18.30 น.
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2558
- สวดพระอภิธรรม เวลา 19.00 น.
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2558
- สวดพระอภิธรรม เวลา 19.00 น. (พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพ)
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม 2558
- ฌาปนกิจ เวลา 17.00 น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
TV24 - คนบันเทิง-การเมือง เศร้า! “ประชาธิป” บุตรชาย “วีระกานต์” ตกตึกเสียชีวิต
http://www.tv24.in.th/2015/07/blog-post_30.html
คนบันเทิง-การเมือง เศร้า! “ประชาธิป” บุตรชาย “วีระกานต์” ตกตึกเสียชีวิต
ทั้งนี้ นายประชาธิป มุสิกพงศ์ (สิงห์) เป็นบุตรชายของนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ หรือชื่อเดิม วีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน (นปช.) อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
ล่าสุด นายวีระกานต์ ได้เดินทางไปดูที่เกิดเหตุแล้ว โดยได้กล่าวสั้นๆ ว่า ไม่ติดใจการเสียชีวิตของบุตรชาย
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
“เพื่อไทย” แนะรัฐคืนประชาธิปไตย ก่อนเศรษฐกิจทรุดหนัก
วันที่ 29 กรกฎาคม 2558 นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การส่งออกในเดือนมิถุนายนลดลงอย่างหนักที่ -7.87% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี 6 เดือน และเป็นการติดลบ 6 เดือนติดต่อกัน ทำให้ครึ่งปีแรกการส่งออกติดลบ -4.84% และเป็นไปตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเตือนไว้แต่แรก
อีกทั้งได้เตือนไว้อีกว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะทรุดหนักมากกว่าครึ่งปีแรกและก็เป็นไปได้สูงหลังจากที่สหรัฐประกาศให้ไทยยังคงอยู่ในเทียร์3 เป็นอันดับต่ำสุดในปัญหาการค้ามนุษย์ และหากคิดว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร หรือจะรณรงค์ไม่ให้ซื้อสินค้าจากสหรัฐก็คงเป็นตรรกะวิบัติอย่างแน่นอน
เพราะเชื่อว่าสหรัฐจะต้องมีมาตรการกีดกันทางการค้าออกมาแน่ และจะยิ่งทำให้การส่งออกของไทยที่ทรุดอยู่แล้วยิ่งทรุดลงมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันการส่งออกไปสหรัฐยังขยายตัวได้จากสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีขึ้น ในขณะที่การส่งออกไปยังประเทศอื่นกลับทรุดตัวลงมาก
นางสาวอนุตตมา กล่าวต่อว่า หากสหรัฐมีมาตรการออกมาไทยคงแย่ลงอีกมาก ปัญหาและความกังวลดังกล่าวยังส่งผลกระทบให้หุ้นตกอย่างมาก และยังมีแนวโน้มที่จะตกลงต่ออีก จะเป็นดัชนีบ่งชี้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในอีกหลายเดือนข้างหน้าจะแย่ยิ่งกว่านี้ และแนวโน้มเศรษฐกิจอาจจะทรุดลงไปเรื่อยๆ การปรับคณะรัฐมนตรีก็อาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้
ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จึงควรเร่งกลับสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศต่างๆ ออกมาตรการกีดกันการค้ากับไทยเพิ่มขึ้นอีก เพราะเชื่อว่าจะโดนแน่หากยังไม่มีกำหนดเวลาที่ชัดเจน
"ปลอดประสพ" ถาม ทำอย่างไร? จะไม่เสียของ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี โดยมีเนื้อหาดังนี้
ทำอย่างไร? จะไม่เสียของ
จนได้ ที่สุดสหรัฐฯ ก็จัดลำดับการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้อยู่ในระดับเทียร์ 3 ต่ำสุดต่อไปอีกปี พูดกันตรงๆ ผมก็มองเห็นรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหามากอยู่ เพียงแต่มันยังไม่พอเท่านั้นเอง หากจะให้ผมเดาว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะขอเดาว่าเขาคงไม่เชื่อว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน (sustainable) นะซิ การแก้ไขโดยรัฐบาลจากการปฏิวัติรัฐประหารจะถือป็นบรรทัดฐานว่ายั่งยืนยืนได้อย่างไร เครื่องมือทางกฎหมาย เช่น ม. 44 คงไม่มีชาติไหนเขายอมรับเป็นมาตรฐานได้ ผู้ที่กระทำความผิดก็จับแต่หัวหน้า แต่ลูกน้องอีกมากพะเลอกลับรอด แต่เอาเป็นว่าผมขอให้กำลังใจทุกท่านทำต่อไป เพราะเรื่องทาสนี้มันควรจบไปจากประเทศไทยนานแล้ว ที่มันยังมีอยู่ก็เพราะพวกทำนาบนหลังคน (ไม่ต้องรอฝน) ผมก็ขอแช่งให้ตกนรกทองแดงก็แล้วกัน
ที่เป็นห่วงอยู่ก็คือเรื่องประมง ขอยืนยันว่าลูกศิษย์ลูกหาผมทำงานกันหามรุ่ง กองทัพเรือเองก็ควรได้รับการชมเชย แต่หาก EU เขาเกิดรังเกียจรัฐบาลปฏิวัติขึ้นมา(แบบเดียวกับสหรัฐฯ) มีหวังเราคงซวยแน่นอน ผมคงไม่กล้าถามหรอกครับว่า รัฐบาลจะอยู่อีกนานเท่าไร แต่ว่าอยู่อีกสั้นๆน่ะ ดีที่สุด
อีกเรื่องที่ร้อนๆหนาวๆ แทนเพื่อนพ้องที่เป็นเสนาบดีทั้งหลาย สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีหรอกครับ ในฐานะเป็นปลัดกระทรวงและอธิบดีมานาน ลือกันอย่างนี้ไม่มีใครทำงานแน่ เพราะจะเดาว่าคนสั่งจะไม่เอาอยู่แล้ว สำหรับรัฐมนตรีเอง ผมก็ว่าคนไม่อยากทำงานเท่าไร เผลอๆ อาจไม่อยากเจอใครเพราะกลัวเขาไม่ตามไม่เชื่อฟัง ผมว่าท่านนายกฯมีอำนาจเต็มที่อยู่แล้วจะเอาอย่างไรก็ว่าไปเลย ที่ลากยาวมานี้เห็นแค่โพลคนทำงานก็แทบหมดกำลังใจแล้ว ปัญหาที่ผมเห็นก็คือหากเปลี่ยนจะเอาใครมา ไอ้ที่อยากมาน่ะ เก่งจริงหรือ และพวกที่อยากให้เขามาเขาจะมาหรือ
เมื่อคืนดู CNN ถ่ายทอดประธานาธิบดีสหรัฐฯ Obama กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมผู้นำอัฟริกาที่ เอธิโอเปีย ท่านให้คำอธิบายหลักการประชาธิปไตยได้น่าฟัง (บางคนคงไม่อยากฟัง) ท่านย้ำเน้นถึงสิทธิ เสรีภาพและความเท่าเทียมกันของพลเมือง ท่านบอกว่าเสรีภาพจะมาแลกกับความมั่นคงไม่ได้(ไทยว่าไงครับ) ท่านเรียกร้องการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรมและโปร่งใส (ผมขอแถมไม่มีการปิดล้อมหน่วยเลือกตั้ง) ท่านให้ความสำคัญเป็นกติกาว่า ประชาชนและสื่อจะต้องสามารถแสดงออกถึงความคิดเห็นต่างๆได้อย่างเป็นอิสระ (ไม่ทราบว่าการเชิญไปปรับทัศนะคติเข้าข้อนี้หนือเปล่า) ผมอยากถามท่านทั้งหลายว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆน่ะเป็นอย่างไร อยากให้ลองเปรียบเทียบกับที่ท่านประธานาธิบดีสหรัฐฯ ท่านว่าไว้อะไรมันจะดีกว่ากัน
เรื่อง Tier 3 ก็ดี เรื่อง IUU ประมงก็ดี หากจะแก้ทางการเมืองให้เบ็ดเสร็จ คืนอำนาจให้ประชาชนเถิดครับ ทำรัฐธรรมนูญให้อยู่ในหลักนิติธรรมและนิติรัฐ จัดเลือกตั้งให้ประชาชนเขาได้เลือกคนเลือกนโยบายที่เขาชอบเขาพอใจ ทำเท่านี้แหละครับของจะไม่เสีย
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
กำลังใจดีเยี่ยม! เพื่อไทย รุดเยี่ยม “พร้อมพงศ์-เกียรติอุดม”
#TV24 บรรยากาศสด จาก เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง, นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย, นายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช รองผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย , รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี , นายการุณ โหสกุล และ นางสาวนพสรัญ วรรณศิริกุล อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เดินทางเข้าเยี่ยม นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย และ นายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย หลังศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงการลงโทษ คดี หมิ่นฯ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ
#TV24 บรรยากาศสด จาก เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง, นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย, นายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช รองผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย , รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี , นายการุณ โหสกุล และ นางสาวนพสรัญ วรรณศิริกุล อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เดินทางเข้าเยี่ยม นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย และ นายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย หลังศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงการลงโทษ คดี หมิ่นฯ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ
Posted by TV24 สถานีประชาชน on 28 กรกฎาคม 2015
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.1886/2553 ที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย และนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุก 1 ปีจำเลยทั้งสอง โดยไม่รอการลงโทษ ส่วนโทษปรับก็ให้ยกไป จำเลยทั้งสองได้ยื่นฎีกาต่อสู้ว่า การแถลงข่าวและแจกเอกสารข่าวเป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพิจารณาคดี โดยขอให้ศาลพิจารณาลงโทษสถานเบาและขอให้รอการลงโทษไว้ก่อน
ล่าสุดศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษายืน จำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงการลงโทษ
"ยิ่งลักษณ์" ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระบรมฯ
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมายุ 63 พรรษา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
HBD “ทักษิณ” สุดประทับใจ! โชว์หอมแก้ม พานทองแท้-แพทองธาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร และ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ภาพถ่ายและคลิปวีดิโอ ขณะจัดงานครบรอบวันเกิดครบรอบปีที่ 66 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากนครดูไบ ท่ามกลางบรรยากาศสุดประทับใจ โดยคลิปวีดิโอดังกล่าว บันทึกภาพขณะ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หอมแก้ม นางสาวแพทองธาร และนายพานทองแท้ หลังจากร่วมร้องเพลงและเป่าเทียนเค้กวันเกิด
ทั้งนี้ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่าน Facebook : Oak Panthongtae Shinawatra โดยมีเนื้อหาดังนี้
Happy Birthday ครับพ่อ ขอให้พ่อมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง เช่นวันนี้ตลอดไป สำหรับแฟนเพจ ที่อยากจะอวยพรวันเกิดคุณพ่อผม ขอเชิญชวนให้ใส่ tag #HBDTS เหมือนๆกันนะครับ ผมจะได้เปิดให้ท่านดูพร้อมกันทั้งหมด ว่ามีมากขนาดไหน คำกล่าวของคุณพ่อผมบางตอนเนื่องในวันเกิด ผมขออนุญาตเล่าให้เพื่อนๆฟังตามนี้ครับ ปีนี้ผมอายุ 66 แล้ว หมดเวลาเป็นห่วงตัวเอง ชีวิตจะเป็นอย่างไร จะอยู่ที่ไหนทุกข์สุขไม่ใช่เรื่องสำคัญ คิดถึงแต่ลูกหลานเรา ว่าจะอยู่กันอย่างไร อดีต...มันก็คือประวัติศาสตร์ คือสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว ย่อมหวนคืนวันไปแก้ไขมันไม่ได้ ควรใช้มันเป็นบทเรียน แต่ก็ไม่ควรไปหมกมุ่น รื้อฟื้นแต่เรื่องราวในอดีต จนลืมทำหน้าที่ตนเองในปัจจุบัน และไม่สร้างบรรทัดฐานที่ดีให้กับอนาคต ปัจจุบัน...เป็นสิ่งที่จะต้องผ่านพ้นไป ไม่ควร Enjoy กับมันมากจนเกินไป อนาคต...คือสิ่งที่สำคัญ ซึ่งหากเราตั้งเป้า และดำรงความมุ่งหมายที่แน่วแน่ วันที่ฝันซึ่งเราวาดไว้สำเร็จเป็นจริง เมื่อเราหันหลังมองกลับมา มันจะเป็นความภาคภูมิใจ ในทุกสิ่งที่เราได้สร้างเอาไว้ เมื่อปัจจุบันของวันก่อน วันนี้ทุกประเทศทั่วโลก เขายินดีและภาคภูมิใจ ที่องค์การนาซ่า ไปถึงดาวพลูโตแล้ว วันนี้ประเทศอื่นในอาเซียน ต่างเตรียมประเทศตัวเอง พร้อมที่จะผนึกกำลัง ก้าวไปเป็นประชาคมเดียวกัน พร้อมที่จะร่วมแข่งขันกับภูมิภาคอื่น ลองถามตัวเอง แล้วเราละ...กำลังเดินไปข้างหน้า, ย่ำเท้าอยู่กับที่ หรือว่า.....เรากำลังเดินถอยหลัง...??
Posted by Oak Panthongtae Shinawatra on 26 กรกฎาคม 2015
Happy Birthday ครับพ่อ ขอให้พ่อมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง เช่นวันนี้ตลอดไป
สำหรับแฟนเพจ ที่อยากจะอวยพรวันเกิดคุณพ่อผม ขอเชิญชวนให้ใส่ tag #HBDTS เหมือนๆกันนะครับ ผมจะได้เปิดให้ท่านดูพร้อมกันทั้งหมด ว่ามีมากขนาดไหน
คำกล่าวของคุณพ่อผมบางตอนเนื่องในวันเกิด ผมขออนุญาตเล่าให้เพื่อนๆฟังตามนี้ครับ
ปีนี้ผมอายุ 66 แล้ว หมดเวลาเป็นห่วงตัวเอง ชีวิตจะเป็นอย่างไร จะอยู่ที่ไหนทุกข์สุขไม่ใช่เรื่องสำคัญ คิดถึงแต่ลูกหลานเรา ว่าจะอยู่กันอย่างไร
อดีต...มันก็คือประวัติศาสตร์ คือสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว ย่อมหวนคืนวันไปแก้ไขมันไม่ได้ ควรใช้มันเป็นบทเรียน แต่ก็ไม่ควรไปหมกมุ่น รื้อฟื้นแต่เรื่องราวในอดีต จนลืมทำหน้าที่ตนเองในปัจจุบัน และไม่สร้างบรรทัดฐานที่ดีให้กับอนาคต
ปัจจุบัน...เป็นสิ่งที่จะต้องผ่านพ้นไป ไม่ควร Enjoy กับมันมากจนเกินไป
อนาคต...คือสิ่งที่สำคัญ ซึ่งหากเราตั้งเป้า และดำรงความมุ่งหมายที่แน่วแน่ วันที่ฝันซึ่งเราวาดไว้สำเร็จเป็นจริง เมื่อเราหันหลังมองกลับมา มันจะเป็นความภาคภูมิใจ ในทุกสิ่งที่เราได้สร้างเอาไว้ เมื่อปัจจุบันของวันก่อน
วันนี้ทุกประเทศทั่วโลก เขายินดีและภาคภูมิใจ ที่องค์การนาซ่า ไปถึงดาวพลูโตแล้ว
วันนี้ประเทศอื่นในอาเซียน ต่างเตรียมประเทศตัวเอง พร้อมที่จะผนึกกำลัง ก้าวไปเป็นประชาคมเดียวกัน พร้อมที่จะร่วมแข่งขันกับภูมิภาคอื่น
ลองถามตัวเอง แล้วเราละ...
กำลังเดินไปข้างหน้า,
ย่ำเท้าอยู่กับที่
หรือว่า.....
เรากำลังเดินถอยหลัง...??
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกัน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) โพสต์ข้อความผ่าน instagram @ingshin21 ระบุว่า
Love u to the moon and back! Happy birthday daddy @thaksinlive
วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
สุดประทับใจ! ครอบครัว "ชินวัตร" โพสต์อวยพรครบรอบวันเกิดปีที่ 66 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ครอบครัว "ชินวัตร" โพสต์ ข้อความอวยพร ครบรอบวันเกิด พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่ 66 (26 กรกฎาคม 2558)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ส่วนตัว ระบุว่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ส่วนตัว ระบุว่า
"วันเกิดครบรอบปีที่ 66 ของพี่ในวันนี้ ขอให้พี่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีกำลังใจดีเป็นที่รักของทุกคนตลอดไป อยากมีโอกาสกอดพี่ตอนวันเกิดทุกปีนะคะ รักพี่มากค่ะ"ขณะที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร โพสต์ข้อความ ผ่าน Facebook ส่วนตัว ระบุว่า
"กอดแบบเต็มรักกกกกก...นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โพสต์ข้อความ ผ่าน instagram ส่วนตัว @ingshin21 ระบุว่า
กอดให้หายคิดถึงงงงงง...
ขอเสียงคนอยากกอด
ผู้ชายคนนี้หน่อยครัช...!!"
"Happy birthday to my one and only daddy kaa @thaksinlive มีหลายคนเคยพูดว่าลูกเข้มแข็งที่ผ่านเรื่องราวต่างๆมาได้ในใจลูกคิดเสมอว่าเบื้องหลังความเข้มแข็งคือครอบครัวที่แข็งแรง พ่อซึ่งเจออะไรมากกว่าลูกหลายเท่าวันนี้ยังมองโลกในแง่ดีเสมอ ให้อภัยคนที่ทำร้ายได้ทุกเมื่อ ลูกหวังว่าวันนึงจะเป็นได้ครึ่งนึงของพ่อเท่านั้นค่ะ ดีใจที่ได้มาอยู่กับพ่อทุกๆปี จะรอวันที่พ่อกลับไปเป่าเค้กวันเกิดพร้อมหน้ากันค่ะ รักพ่อเสมอ ทั้งวันที่คนห้อมล้อมและวันที่ไม่มีใครรอบตัว #เกิดอีกกี่ทีก็ขอเป็นลูกพ่อคนนี้คนเดียว #รักพ่อสุดหัวใจ"นางสาวพินทองทา ชินวัตร (คุณากรวงศ์) โพสต์ข้อความ ผ่าน instagram ส่วนตัว ระบุว่า
"@thaksinlive ปีนี้ขอบินไปกอดช้า10วันนะคะแต่รับรองคุ้มรอนะคะเพราะวันเกิดปีนี้มีคนกอดเพิ่มอีก2 รักเจ้าของวันเกิดที่สุดเลยค่าาาาาาาาาา"และ น้องแพน (หลานสาวคุณเยาวเรศ ชินวัตร) บุตรสาวนางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ และ นายไผ่ บัวงาม กับ คุณตาษิณ ค่ะ "วันเกิดปีนี้ น้องแพนและครอบครัวขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ดลบันดาลให้คุณตาษิณคิดสิ่งใดสมปรารถนา มีสุขภาพแข็งแรง ก้าวข้ามอุปสรรค และพ้นจากอันตรายทั้งปวงด้วยนะคะ"
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
กำลังใจเต็มเปี่ยม! เพื่อไทย เยี่ยม พร้อมพงศ์-เกียรติอุดม
#TV24 บรรยากาศสด อดีต รมต.และแกนนำพรรคเพื่อไทย รวมตัวเข้าเยี่ยม "พร้อมพงศ์-เกียรติอุดม" ที่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ pic.twitter.com/lxv1p2EDaK
— Warintra Tuppetch (@Warintra_TV24) 25 กรกฎาคม 2015
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (24 กรกฎาคม) ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.1886/2553 ที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย และนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุก 1 ปีจำเลยทั้งสอง โดยไม่รอการลงโทษ ส่วนโทษปรับก็ให้ยกไป จำเลยทั้งสองได้ยื่นฎีกาต่อสู้ว่า การแถลงข่าวและแจกเอกสารข่าวเป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพิจารณาคดี โดยขอให้ศาลพิจารณาลงโทษสถานเบาและขอให้รอการลงโทษไว้ก่อน
ล่าสุดศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษายืน จำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงการลงโทษ
ทั้งนี้ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา กล่าวว่า "ปกติคดีหมิ่นประมาทของ ส.ส. และนักการเมืองที่เป็นความผิดครั้งแรก ไม่เคยมีการพิพากษาตัดสินให้จำคุกโดยไม่รอลงอาญามาก่อน ซึ่งผลจากการตัดสินครั้งนี้ จะต้องติดตามดูมาตรฐานของศาลว่าหากยังเป็นไปในแนวทางนี้ การแสดงความคิดเห็นของนักการเมืองก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น"
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
"ประยุทธ์" ฉุนข่าว ปรับ ครม. ถามสื่อ ปรับไปแล้วไม่ดีขึ้น โทษผมหรือ?
#TV24 เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 24 ก.ค.2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยล่าสุดผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์ระบุว่าควรมีการปรับ ครม.
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวระบุว่า ผลสำรวจส่วนใหญ่ต้องการให้มีการปรับในกระทรวงเศรษฐกิจ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เหรอ เขาทำผิดอะไรผิดบ้างบอกมาสิ สิ่งไหนที่เขาทำวันนี้มันไม่ดีตรงไหน หรือดีตรงไหน ทำให้เศรษฐกิจเลวลงหรืออย่างไร เลวลงเพราะเขาทำ เพราะผมทำ หรือมันด้วยเพราะเศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจข้างล่าง ความผิดความถูกการกระทำ ธุรกิจที่ผ่านมามองให้ครบทุกมิติด้วย เอาล่ะถ้ามองในแง่ของความไว้วางใจความน่าเชื่อถือก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นสังคมต้องมองให้ออกว่าถ้าเผื่อปรับไปแล้วไม่ดีขึ้นกว่าเดิมจะโทษใครอีก โทษผมมั้ง ปรับผมออกใช่หรือเปล่า อย่าเพิ่งไปให้ความสำคัญมากนักเดี๋ยวผมจัดการของผมเอง”
ภาคเอกชน จี้รัฐปรับ ครม. แก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เห็นด้วยกับปรับคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเศรษฐกิจหลายเรื่องทำได้ช้าโดยเฉพาะการแก้ปัญหาธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ที่มีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยตรง
นายสุพันธุ์ ต้องการให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับทีมเศรษฐกิจที่ทำงานร่วมกับเอกชนได้ดีและรับฟังปัญหาโดยมุ่งแก้ปัญหาภาคการเกษตรและเอสเอ็มอี เพื่อให้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ต้องเป็นผู้เข้าใจเศรษฐกิจจุลภาคมากกว่ามหภาค
ทางด้านนายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทย มองว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองได้ทันที จากระบบบริหารงานรัฐบาลยังยึดตามแบบเดิมที่สั่งการจากระดับบน หากมีการปรับคณะรัฐมนตรี ควรดูแลให้นโยบายมีความต่อเนื่องโดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องทำระยะยาว และต้องปรับลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก เช่น การออกใบอนุญาต ให้เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
“พานทองแท้” ยกพระธรรมวินัย แนะหยุดสร้างความแตกแยกสงฆ์
#TV24 23 กรกฎาคม 2558 นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ส่วนตัว โดยมีเนื้อหาดังนี้
มนุษย์ตนหนึ่งบวชเป็นพระ แต่สึกออกมาแล้วก็บวชกลับไปใหม่ไม่รู้กี่ครั้ง บางทีถูกเขาจับสึกออกมา ก็แอบเปลี่ยนวัดกลับไปบวชใหม่ในวันเดียวกัน
อยู่ดีๆออกมาประกาศจะบีบบังคับ ให้พระที่แก่พรรษากว่าตนถึง 14พรรษา ให้สึกออกมาอย่างที่ตนชอบกระทำ พระแบบนี้ก็มีในประเทศไทยเมืองพุทธครับ
วันนี้ยังมีการประกาศก้องเอิกเกริกอีกว่า ถ้าอาตมาทำไม่ได้ อาตมาก็จะลาสิกขาบทออกไปเอง ก็คือบอกว่าฉันจะสึก(อีกแล้ว) เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ โดยอ้างว่าละอายตัวเองที่ไม่สามารถรักษาพระธรรมวินัยไว้ได้
การรักษาพระธรรมวินัยนั้น น่าจะเป็นการรักษาการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง ทั้งกาย, วาจา, ใจ มากกว่านะครับ ถ้าย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของตนเอง พระธรรมวินัยน่าจะขาดสะบั้น ตั้งแต่พาม็อบเดินสายป่วนเมือง ปิดถนนพร้อมกับ มือปืนป๊อบคอร์นที่ไล่ยิงผู้คนที่สัญจรไปมา และเดินทางไปตบทรัพย์ชาวบ้านถึงโรงแรมเอสซีปาร์ค กวาดเงินไปจนเกลี้ยงเคาท์เตอร์โรงแรม
พระธรรมวินัย อยากได้ต้องรักษาไว้ด้วยตัวเองครับ ไม่ใช่เที่ยวระรานพระรูปอื่นแบบที่กระทำอยู่ พระสงฆ์ทั้งประเทศมีเกือบ 3แสนรูป ไม่เห็นมีรูปไหนที่จะต้องมารักษาพระธรรมวินัย ด้วยการสร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์เช่นนี้ ก็เห็นจะมีรูปนี้เพียงตนเดียวนั่นแหละ
การรักษาพระธรรมวินัย กับความริษยาที่เห็นคนศรัทธาพระรูปอื่นมากกว่าตน มันแตกต่างกันลิบลับนะครับ ไม่น่าจะสับสนได้ขนาดนี้เลย
"วัฒนา" ยื่นศาลปกครอง เพิกถอนคำสั่งคสช.ห้ามออกนอกราชอาณาจักร
นายวัฒนา เมืองสุข อดีตส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย พร้อมนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เดินทางมายังศาลปกครองกลาง แจ้งวัฒนะ ยื่นฟ้อง พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช. )ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศคสช.ฉบับที่ 21/2557 ที่ห้ามบุคคลจำนวน 155 คน เดินทางออกนอกราชอาณาจักร เนื่องจากประกาศเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นประกาศที่เลือกปฏิบัติ การกำหนดรายชื่อบุคคลที่ห้ามเดินทางและการใช้ดุลยพินิจในการอนุญาตให้เดินทางหรือไม่ เกิดขึ้นตามอำเภอใจของผู้ออกคำสั่งมีขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการเมือง และถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองขัดต่อประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการเดินทาง ซึ่งเป็นเสรีภาพส่วนบุคคล ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนตามหลักกฎหมายยระหว่างประเทศและขัดต่อรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
นายวัฒนากล่าวว่า ตนมาเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของคสช. ในคำสั่งเรื่องการขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศ เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนในการเดินทาง ถือเป็นสิทธิส่วนตัวที่สหประชาชาติเองก็รับรองไว้ การจะจำกัดสิทธิได้ต้องเป็นกรณีภัยต่อความมั่นคง เรื่องสุขอนามัย(โรคติดต่อ) แต่คำสั่งของคสช.นั้นหวังผลทางการเมือง และตนถูกนำมาใช้ต่อรองทางการเมือง คือ สั่งห้ามตนเดินทางไปต่างประเทศเพราะวิจารณ์นายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณีผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่าการเดินทางของกลุ่มพรรคเพื่อไทยไปต่างประเทศ จะไปเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น นายวัฒนา ระบุ ท่านเป็นผู้ใหญ่ของให้คิดก่อนจะกล่าวออกมา ถ้าจะเคลื่อนไหวก็ไม่ต้องติดต่อคสช.เพื่อให้มีหลักฐาน ใช้การสื่อสารทางออนไลน์ได้ ส่วนที่ผบ.ทบ.กล่าวว่าขอมาก็ให้ไปนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะตนขอเดินทางไปติดต่อสถานศึกษาให้บุตร ก็ไม่ได้รับอนุญาต จึงขอให้ผบ.ทบ.ตรวจสอบก่อนที่จะกล่าวออกมา
อย่างไรก็ตาม ได้ฝากถึงนายกรัฐมนตรีว่า สังคมไทยปกครองด้วยกฎหมาย คำสั่งที่ออกมาต้องชอบธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ยึดนิติธรรม ตนจึงมาแสวงหาความยุติธรรมจากศาล ศาลจะพิจารณาอย่างไรอยู่ที่ดุลพินิจของศาล ตนไม่ได้ขอไต่สวนฉุกเฉิน เพราะยังไม่มีภารกิจที่ต้องการเดินทาง จึงขอผ่านช่องทางปกติและให้ศาลคุ้มครองชั่วคราว ทั้งนี้นายวัฒนากล่าวด้วยว่า ตนไม่มีกำหนดการเดินทางไปงานวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 กรกฎาคม นี้
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
“กิตติรัตน์” สอน “อรรถวิชช์” หัดรู้จักกติกา
#TV24 วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่าน Facebook : Kittiratt Na-Ranong โดยมีเนื้อหาดังนี้
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2558 เขียนตอบ นายอรรถวิชช์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงความเก่งเสนอนู่นนี่นั่น กับรัฐบาลปัจจุบัน ตามกระแส ทั้งๆที่ เป็นประเด็นที่ อดีตรัฐมนตรีฯ พิชัย นริพทะพันธุ์ เขาหยิบยกเสนอแนะมาตั้งแต่ปีมะโว้ราวกับเป็นความคิดริเริ่มของตนเอง แล้วก็คงปฏิบัติตามถนัดที่แว้งมา "กล่าวหารัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ว่าก่อหนี้สาธารณะไว้มโหฬาร" แบบรู้ว่าคนชอบแก้ไขไม่แก้แค้น อย่างท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะปล่อยผ่านอย่างมีพรหมวิหารสี่ให้ตีกิน อย่างที่ทำกันมาหลายครั้งหลายหน ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ท่านให้ทาน มาหมดครับ ตั้งแต่เมตตา ยันอุเบกขา แต่ขอโทษครับ ผมไม่ยอม
สำหรับท่านที่ไม่ได้ติดตามมาก่อน อาจไม่ทราบว่าผมชี้แจงว่าอะไร ผมขอสรุปตรงนี้อีกครั้งว่า... ผมระบุว่า "นายอรรถวิชช์ กล่าวเท็จคำโต" ผมขอสรุปใจความสำคัญที่อธิบายไว้อย่างย่อว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลของท่าน บริหารเศรษฐกิจของประเทศอย่างรอบคอบท่ามกลางความยากลำบากนานับประการจนเศรษฐกิจของประเทศ หรือ GDP เติบโตดี แม้จะถูกอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ในปลายปี 2554 เศรษฐกิจก็สดใส ตลอดปี 2555 จนถึงค่อนปี 2556 จนสารพัดม๊อบ ที่เขาว่ากันว่าไม่เกี่ยวกับผู้คนของพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแสดงพลัง ปิดกั้นทางหลวง ปิดกั้นเมืองหลวง และสถานที่ต่างๆ ทั้งราชการ และเอกชนในช่วงปลายปี 2556 จนถึงขั้นขัดขวางการเลือกตั้งทั่วไปตามพระราชกฤษฎีกาฯ ที่มีผลแล้ว เมื่อต้นปี 2557 ช่วงนั้นนายอรรถวิชช์ เป็นคนดังคนหนึ่ง คนน่าจะจำเขาได้มาก เพราะเขาเคยออกทีวีช่องดังโต้กับนักวิชาการคนเก่งคนหนึ่ง คืออาจารย์เอกชัย ไชยนุวัติ ซึ่งในวันนั้นนายอรรถวิชช์ กล้าประกาศ ว่า กปปส. ไม่เกี่ยวกับ พรรคประชาธิปัตย์ โดยหากแม้ท่านจะกล่าวว่าม๊อบยางปิดถนนทางหลวงก็ไม่เกี่ยวฯ ก็ตาม ผมก็ยอมเชื่อครับตามประสาคนเคยเทคะแนนให้พรรคนี้ตอนเป็นวัยรุ่น (ผมลงคะแนนเสียงให้นายพิชัย รัตตกุล และนายเล็ก นานา... แต่หลังจากผู้ใหญ่สองท่านนี้ไม่ลงสมัคร พรรคนี้ไม่เคยได้คะแนนผมอีกเลย)
หลังจากเขียนตอบไป ผมก็ใช้เวลาทำงานด้านการกีฬา และงานด้านสังคมแก่ผู้ขาดโอกาส ตามความชอบส่วนตัวของผม รอให้ท่านมาต่อความยาวสาวความยืดกับผมต่อ ในที่สุดฝันก็เป็นจริงครับ มาเป็นชุด... ชอบใจๆๆ ครับ คุยกันเรื่อง "หนี้สาธารณะ" อยู่ดีๆ แถไป เรื่องรถคันแรกเอย เรื่องเป้าส่งออกปี 55 เอย เรื่อง GDP หลุดเป้าเอย อุตส่าห์ไปอ้างความเห็นของคนนู้นคนนี้ทั้งที่ก็เป็นคนที่ตนเองเคยไม่ชอบกระมัง เอาเป็นว่าใครก็ได้ที่สนับสนุนการแถของตนได้ล่ะก็ เอาหมด ยังไงผมก็ขอยืนยันว่า เรื่องการแก้หนี้กองทุนฟื้นฟู ที่สมควรส่งกลับให้วงการเงินที่เป็นต้นตอของหนี้ฯ ก้อนนี้ดูแลกันเอง เป็นเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยเฉพาะการกำหนดกลไกให้มีการ เร่งลดเงินต้นอย่างมีเป้าหมายด้วย ขอบอกให้เอาบุญตรงนี้เลยเผื่อนายอรรถวิชช์ จะไม่ทราบว่า จากยอดหนี้รวมกว่าหนึ่งล้านล้านบาทน่ะ "ขณะนี้ ลดยอดเงินต้นลงไปได้แล้วเกือบหนึ่งแสนล้านบาท" และ"สามารถประหยัดงบประมาณด้านดอกเบี้ยของรัฐบาลเพื่อดูแลหนี้ก้อนนี้ ได้สิ้นเชิง มาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 จนถึงปีงบประมาณปัจจุบัน คือปี 2558 เกือบสองแสนล้านบาท ถ้าท่านบวกเลขถูกท่านจะรู้ว่า การประหยัดงบประมาณตรงนี้ที่เดียวก็มากกว่า เงินคืนภาษีรถคันแรกที่ท่านหวงนักหวงหนา หลายเท่าตัว การใช้วาทกรรมตามถนัด กล่าวหาว่าผมซุกหนี้นอกระบบงบประมาณ... โถโถ... สังคมประชาธิปไตยซุกอะไรจากสายตาอันแหลมคมและจ้องเอาเรื่องของฝ่ายค้านและสื่อมวลชนไม่ได้หรอกครับ ที่อธิบายในสภาไม่รู้จักกี่รอบต่อกี่รอบว่า ตอนเกิดหนี้ก้อนนี้จากวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 น่ะเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้วงการเงิน ทำหน้าที่ดูแลชำระหนี้ก้อนนี้ให้หมดลงอยู่แล้ว แต่สงสัยผมอธิบายในสภาฯ ไม่เก่ง เลยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปเสียนี่... เอาล่ะไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขออธิบายอีกเรื่องหนึ่ง ผมอ่านว่านายอรรถวิชช์คงเจตนาหยิบประเด็นเงินคืนภาษีสรรพสามิต รถคันแรกขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนไขว้เขวว่า รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เอางบประมาณส่วนรวมมาคืนคนซื้อรถคันเล็กๆ ที่ไม่เคยมีรถมาก่อนและหาว่าเป็นประชานิยม ผมขอตำหนิว่า เสียแรงที่นายอรรถวิชช์เคยเป็นข้าราชการกระทรวงการคลัง ท่านไม่ทราบจริงๆ เลยหรือว่าเงินคืนภาษีฯ แก่คนซื้อรถเหล่านั้นน่ะ ก็คือเงินภาษีสรรพสามิตที่เก็บมาจากคนซื้อแต่ละคนนี่แหล่ะ แต่เรากำหนดว่าถ้าเขาถือครองเพื่อการใช้เองจริงเกินหนึ่งปี... คนอยากมีรถคันจิ๋วๆเป็นคันแรกในขีวิตจะได้สิทธิเว้นภาษีสรรพสามิต ด้วยการมารับภาษีที่เขาเคยจ่ายไว้ให้ตอนซื้อรถฯ กลับคืนไป ภาษีสรรพสามิตจัดเป็นภาษีเพื่อสินค้าฟุ่มเฟือย การคืนเท่ากับการไม่อยากเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยจากคนที่ซื้อรถคันจิ๋วเป็นครั้งแรกในชีวิต รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยอมได้ครับเพราะเราเห็นว่ารถที่ฟุ่มเฟือยคือคนเดียวมีหลายคัน หรือมีคันที่ใหญ่โตหรือหรูกว่านั้น และเราทราบว่าเราสามารถเก็บภาษีรวมได้เข้าเป้าแน่นอน... ไม่แปลกครับที่ชี้แจงแบบนี้แล้วอาจจะยังไม่เข้าใจ เพราะหลักธรรมความเชื่อเรื่องคนเปรียบเสมือนดอกบัวหลายระดับชั้นเป็นที่ยอมรับกันค่อนโลก...
ถามหน่อยเถอะถ้าผมเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ไม่มีความสามารถ ขนาดที่พาลพาโลไว้ในหมัดสวนผมน่ะ ทำไมในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามถนัดของ พรรค "หวังเป็นรัฐบาล" ของนายอรรถวิชช์ ทำไมไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจผมจังๆ สักทีล่ะ หรือ นิยมแถ นิยมเฉี่ยว นิยมแว้ง นิยมบิดเบือน ตามถนัด
ขอบอกนายอรรถวิชช์ว่า ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ใช่พวกน้ำเน่าที่จะเอา แผลสด แผลแห้ง และแผลเป็นของท่านและพวก มาผสมโรงเพื่อเบี่ยงประเด็น ผมเพียงแค่ขออธิบายเรื่องที่กล่าวหารัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และทีมเศรษฐกิจ ทั้งๆที่ผมก็ทราบว่าหยิบขึ้นมาแต่ละเรื่อง ตอบกันไม่ถูกแน่นอน (แต่คงแถได้) และอีกอย่างก็เพราะแฟนๆ ของท่านน่ะเขาปิดตาปิดใจที่จะฟังผมไปแล้ว ในขณะที่แฟนๆ ของพวกผมน่ะเขาตาสว่างกันมานานแล้ว ไม่ต้องขุดอะไรของพวกท่านมาอีกแล้ว เขาพอใจกันแล้ว สบายใจกันทั้งสองฝ่าย ดีไหมครับ
สำหรับ "การบริหารหนี้สาธารณะ" ที่ผมได้อธิบายให้คนหูไม่หนวกใจไม่บอดฟังน่ะมันชัดเจนทุกคำ "สัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อ GDP ตามกรอบวินัยการคลัง เมื่อรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ หมดหน้าที่ลง เมื่อไตรมาสที่ 2 ปี 2557 อยู่ในระดับต่ำ และต่ำกว่าเพดานอย่างมาก คืออยู่ที่ ร้อยละ 47.08 (เมื่อเทียบกับเพดานที่พวกท่านกำหนดกันไว้เอง เมื่อปลายปี 2552 ที่ร้อยละ 60) ซึ่งท่านก็ทราบนี่ครับว่า ไม่เกินร้อยละ 60 คือมีวินัย แล้ว 47.08 คือมีวินัยดีมากแค่ไหน เป็นเรื่องจริงครับที่ ระยะเวลา เกือบ 3 ปี ของ รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่มียอดหนี้สาธารณะรวมเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านๆ บาท แต่เศรษฐกิจ หรือ GDP ก็เพิ่มจาก 10.6 ล้านๆ บาท เป็น 12.0 ล้านๆ บาท เมื่อสิ้นไตรมาส 3 ปี 2554 ถึงสิ้นไตรมาส 2 ปี 2557
นายอรรถวิชช์ ไม่ต้องกังวลหรอกครับว่าผมจะย้อนศร ไปจวกรัฐบาลท่านว่า ช่วง 3 ปีของรัฐบาลพวกท่าน ก็ก่อหนี้เพิ่มกว่า 1 ล้านๆ บาท ในขณะที่ GDP ยังเล็กเพียง 9.1 ล้านๆ บาท เพราะพวกเราทราบครับ GDP ก็เติบโตเป็น 10.6 ล้านๆ บาท พวกผมทราบอย่างสร้างสรรค์และไม่คิดหยิบยกขึ้นมาเป็นวาทกรรมทางการเมือง แต่แค่สงสัยว่าทำไมหนอ ท่านกลับทราบอย่างทำลาย หรือให้เบาหน่อยก็คือทราบอย่างไม่สร้างสรรค์ นี่ผมยังไม่ ได้แยกหนี้สาธารณะ ที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินอีกต่อไปแล้ว ขนาดประมาณ 1 ล้านๆ บาทออกไปนะครับ เพราะถ้าแยกออกผมสามารถพูดอย่างเต็มคำได้อีกว่า เมื่อรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ หมดหน้าที่ลง "สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นภาระต่องบประมาณ ต่อ GDP อยู่ที่เพียงร้อยละ 37.59 เท่านั้น ต่ำกว่าและมีวินัยกว่า สัดส่วน ร้อยละ 41.7 ซึ่งเป็นสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นภาระต่องบประมาณต่อ GDP ที่รัฐบาลของพรรคพวกท่านส่งมอบมามากขนาดไหน และผมยังอยากแถมประเด็นเรื่องมูลค่าเศรษฐกิจ หรือ GDP ปลายปี 2556 ถึงต้นปี 2557 ที่ถูกทำลายไปหลายแสนล้านด้วยเสียงนกหวีด เสียงปืน เสียงระเบิด (ที่นายอรรถวิชช์หรือพวก ไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย พวกที่เกี่ยวเป็นพวกหน้าคล้ายเท่านั้น) เพราะถ้า GDP โตเป็นปกติ สัดส่วนฯ แห่งความมีวินัยทางการคลังของรัฐบาล จะยิ่งดีพิเศษ กว่าที่เป็นกันอยู่
ท้ายที่สุด ยังอยากเรียนนายอรรถวิชช์ครับ จะเสนออะไรรัฐบาล เพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือส่วนตนของท่านก็เชิญเถอะครับ เพราะผู้ที่เขาจะฟังท่านหรือไม่ฟังก็คือรัฐบาล กับแฟนๆ ของท่าน ไม่ใช่พวกผม พวกผมและแฟนๆ ของพวกผมไม่ยุ่งด้วยหรอก... ท่านสามารถเป็นคนเก่งคนดีได้ โดยไม่ต้องทำให้คนอื่นเป็นเหมือนคนเลว... ถ้ายังสนุกอยู่ก็สวนมาอีกนะครับ เรื่องเดิมๆ แบบไวท์ลาย ถ้ายังไม่เบื่อก็ขุดมานะครับ ถ้าผมผิดจริง ผู้ตรวจการแผ่นดินที่พวกท่านเคยไปร้องผมไว้ เขาไม่ปล่อยผมหรอกครับ ผมไม่เคยบิดเบือนปิดบังตัวเลขจริงของการส่งออก หรือข้อมูลจริงอะไรทั้งนั้น ไม่เคยแสวงประโยช์เข้ากระเป๋าตน หรือกระเป๋าใครจากภาวะอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งตัว หรืออ่อนตัว น้อยคนในแผนกวิชาไวท์ลายของพวกท่านจะเคยรู้เคยจำเรื่องนี้ตามความเป็นจริงว่าเมื่อฝ่ายประจำของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(DTP) ในปี 2555 ที่เขาตั้งเป้าการทำงานให้ส่งออกโต ร้อยละ 15 โดยไม่มีฝ่ายการเมืองคนใดไปบังคับสั่งการ ผมอยากถามว่า เขาผิดหรือครับที่ตั้งไว้สูงขนาดนั้น เพราะในอดีตก็เคยทำได้ดีกว่านั้นมากเสียด้วย ผมมีหน้าที่เป็นผู้กุมนโยบายภาพกว้าง ก็แค่รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายทำได้ แต่ผมควรกระโดดเข้าไปค้านเขาหรือครับ ใครจะรู้ ถ้านโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เป็นใจเหมือนบางช่วงเวลา เขาอาจจะทำได้ก็ได้ แต่เมื่อปัจจัยใหญ่ๆ นอกกรมนอกกระทรวงไม่ยอมเอื้อ คนแรกที่รู้สึกได้ย่อมเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีคลัง ยกเว้นรัฐมนตรีไม่เอาไหน และสำหรับผม รู้สึกได้แต่ไม่พูดค้านคนอื่นก็เป็นสิทธิของผมที่จะไม่พูดจาชักใบให้เรือเสีย เพียงถามไถ่ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ยังไหวหรือ และผมขอยืนยันว่าในช่วงเวลานั้น นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และรัฐมนตรี รวมทั้งฝ่ายประจำที่เกี่ยวข้อง ยังคงทำงานอย่างไม่ย่อท้อเพื่อให้โอกาสที่ไม่มากมีโอกาสเป็นจริงได้ตามเป้านั้น ผมมั่นใจว่าเป็นสิ่งดีที่สุดแล้วที่ทำเช่นนั้น แทนที่จะรีบทะยอยปรับเป้าหมายลงอย่างท้อถอย
แต่การที่คนบางคนที่ก็มีความรู้ดีเพราะเรียนหนังสือมาดี มีข้อมูลดี กลับนำความจริงด้านดี ด้านปกติมาบิดเบือนให้กลายเป็นลบเพียงเพื่อเอาดีใส่ตัว เพียงเพื่อให้คนจำตนได้มากขึ้น เพียงเพื่อให้เขานึกว่าตนเป็นคนเก่งคนดี ผมเรียกคนแบบนี้ว่า "ความเท็จสีดำ..."
วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
ปรับครม. ไม่ช่วยเศรษฐกิจ “จาตุรนต์” ติง ประยุทธ์พูดคนเดียว รมต.ไม่กล้าพูด
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ เห็นชอบในประเด็นตัดสิทธิทางการเมืองคนที่เคยถูกถอดถอนตลอดชีวิตว่า
"มองได้ว่าเป็นเจตนาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง ดูได้จากองค์กรที่ตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเหมือนตั้งขึ้นมาเพื่อใช้และกำจัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทางการเมือง ส่วนกรณีที่ไม่ได้ตัดสิทธิผู้ที่เคยถูกตัดสิทธิทางการเมืองอย่างบ้านเลขที่ 111 และ 109 นั้น เป็นเรื่องถูกต้องที่ไม่ตัดสิทธิ แต่การจะตัดสิทธิหรือไม่นั้นก็ไม่ได้ทำตามหลักนิติธรรม เพราะครั้งแรกรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวห้ามไว้ แต่ต่อมาพบว่ามีผลต่อคนที่จะไปช่วยงานคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จึงต้องยกเลิกเรื่องดังกล่าวไป ฉะนั้นเวลาร่างรัฐธรรมนูญจึงต้องทำให้สอดคล้องกัน และพยายามทำให้เห็นว่าเป็นการทำไปตามหลักนิติธรรม แต่แท้จริงแล้วเป็นการหวังผลทางการเมืองเฉพาะหน้า คือต้องการคนในบ้านเลขที่ 111 บางคนเข้ามาร่วมงานกับรัฐบาล"
นายจาตุรนต์ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ว่า "การปรับครม.นาทีนี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเศรษฐกิจที่แย่ลงบริหารงานล้มเหลว การขาดความเชื่อมั่นและไม่เป็นที่ยอมรับจากต่างชาติ แม้จะปรับครม. แต่การบริหารงานของนายกฯยังเป็นคนพูดคนเดียวอยู่ และพูดถูกบ้าง ผิดบ้างทำให้รัฐมนตรีที่มีความสามารถมีแนวคิดใหม่ๆไม่กล้าพูดอะไร อีกทั้งนายกฯอยู่ในสถานะที่ไม่ได้รับรู้ความจริงไม่ได้รับฟังความคิดเห็นของใครมานาน ฉะนั้นการปรับครม.ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะปัญหาใหญ่นั้นอยู่ที่ระบบและการไม่ยอมรับประชาธิปไตย"
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
'TV24' จัดโครงการปันน้ำใจ ช่วยประชาชน สู้ภัยแล้ง อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
เมื่อเวลา 14.30น. วันที่ 17 กรกฎาคม 2558 ที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม TV24 สถานีประชาชน ได้จัดโครงการ "TV24 ช่วยประชาชน สู้ภัยแล้ง"โดยมี นางสาวประไพ ยั่งยืน ผู้อำนวยการฝ่ายรายการ และนางสาวสุณิสา รื่นเอม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม TV24 สถานีประชาชน มอบน้ำดื่มบรรจุขวด จำนวน 1,500 ชุด ให้กับประชาชนกว่า 200 ครอบครัวในพื้นที่ อ.ธัญบุรี และพื้นที่ให้เคียง ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง โดยมี นายบัญชา สุภีโส ประธานชุมชนรังสิต คลอง 14 เป็นตัวแทนรับมอบ พร้อมนายณรงค์ชัย นาคะโยธินสกุล นายกเทศมนตรีเมืองสนั่นรักษ์ และ นายกิตติศักดิ์ ขุนทองไทย เลขานุการส่วนตัว คุณก้อย-พรพิมล ธรรมสาร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 4 จ.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย
#TV24 บรรยากาศสด กิจกรรม "TV24 ช่วยประชาชนสู้ภัยแล้ง" จาก เทศบาลเมืองสนั่นรักษ์ ปทุมธานี pic.twitter.com/KuIhU2qKvN
— Warintra Tuppetch (@Warintra_TV24) 17 กรกฎาคม 2015
นางสาวประไพ ยั่งยืน ผู้อำนวยการฝ่ายรายการ กล่าวระหว่างการจัดกิจกรรม TV24 ช่วยประชาชน สู้ภัยแล้งว่า "จริงๆ สถานีอยู่ได้เพราะผู้ชม ผู้ชมของเราก็คือประชาชน ถ้าประชาชนเดือดร้อนไม่ว่าเรื่องอะไร ที่ผ่านมา TV24 (เอเชียอัพเดท) ตั้งแต่เปิดมาเมื่อปี 2552 จนถึงวันนี้ 6 ปี 6 เดือน 26 วัน เราช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอดคะ"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)