ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยรรยง พวงราช อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ขนย้ายข้าวเสื่อมคุณภาพให้โรงงานปุ๋ย : โปร่งใสจริงหรือปาหี่ ?
ช่วงนี้มีข่าวว่าโรงงานผลิตปุ๋ยที่ประมูลซื้อข้าวสารของรัฐบาล 21,229 ตัน เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบผลิตปุ๋ยอินทรีย์ (ผมเข้าใจว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เอาข้าวสารไปทำปุ๋ย) กำลังขนย้ายข้าวสารจากโกดังไปโรงงานปุ๋ยที่ราชบุรี และมีข่าวลือสะพัดวงการว่าเซอร์เวเยอร์ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลคุณภาพข้าวและต้องรับผิดชอบชดใช้ส่วนต่างของราคาประมูล (ตันละ 5,020 บาท) กับราคาตลาด (ตันละ 12,300 บาท) ถูกเจ้าหน้าที่สั่งห้ามไม่ให้เข้าตรวจสอบหรือเกี่ยวข้องกับการขนย้ายครั้งนี้อย่างเด็ดขาดโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้ใหญ่
ผมกำลังเช็คข้อเท็จจริงเรื่องนี้อยู่เพราะตามกระแสข่าวลือว่าเป็นคำสั่งของผู้ใหญ่ในกระทรวงพาณิชย์บางกระแสก็บอกว่าเป็นคำสั่ง คสช.จริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริงก็จะขัดกับนโยบายปราบโกงของรัฐบาลเองและนโยบายเขตปลอดคอรัปชั่น (Zero Corruption) ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเน้นการทำงานที่โปร่งใสคือต้องสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
ผมมีข้อสงสัยและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการขายข้าวเสื่อมล็อตนี้ รวมทั้งการตรวจสอบและการขนย้ายข้าว ดังนี้
1. ทำไมไม่ทำการตรวจสอบคุณภาพข้าวโดยการเก็บตัวอย่างข้าวที่ต้นทางโดยละเอียด(ผลการตรวจสอบที่ผ่านมาคงใช้ยืนยันไม่ได้เพราะเป็นการสุ่มตรวจที่หยาบมากคือเพียง 11,962 ตัวอย่างจาก 180,000,000 กระสอบ) ถ้าไม่เช่นนั้น จะทราบได้อย่างไรว่าข้าวที่ใช้ผลิตปุ๋ยเป็นข้าวที่ซื้อจากรัฐบาลจริง จะใช้อะไรเปรียบเทียบเพราะไม่ได้เก็บหลักฐานไว้
นอกจากนี้ การไม่เก็บตัวอย่างหรือตรวจสอบคุณภาพข้าวโดยละเอียด เป็นการส่อว่าต้องการทุบราคาข้าวรัฐบาลให้ต่ำลง เพื่อจะได้มีส่วนต่างเป็นเงินทอนมากขึ้นหรือไม่ ?
2. การวางมาตรการเข้มงวดช่วงขนย้ายข้าวเพื่อป้องกันการสับเปลี่ยนสินค้า เป็นการโชว์ความโปร่งใสหรือเป็นการแสดงปาหี่ ? เพราะแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ซื้อข้าวจะหาข้าวอื่นมาสับเปลี่ยนในระหว่างขนส่ง นอกจากนี้ยังต้องใช้รถยกและรถบรรทุกจำนวนมาก ( ผมขอทำนายว่า ผู้ซื้อจะไม่สามารถรับมอบข้าวได้หมดตามกำหนดเวลา และจะขอขยายเวลารับมอบโดยอ้างว่าติดตรุษจีนและหารถบรรทุกยาก ซึ่งไม่ใช่เหตุสุดวิสัยที่จะอ้างได้)
ดังนั้น ถ้ารัฐบาลหรือกระทรวงพาณิชย์ต้องการแสดงความโปร่งใสและดำเนินนโยบายปราบโกงอย่างแท้จริง ไม่ใช่เล่นปาหี่แล้วละก็ ต้องทำการเก็บตัวอย่างข้าวเพื่อตรวจสอบโดยละเอียด และไม่กีดกันเซอร์เวเยอร์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงและเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงให้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย
3. ผมยังมีความคลางแคลงใจว่าผู้ซื้อต้องการซื้อข้าวไปผลิตปุ๋ยจริงหรือไม่ ? เพราะเท่าที่ทราบยังไม่มีโรงงานไหนเคยทำมาก่อน ทั้งในแง่กระบวนการผลิต ประสิทธิผล และความคุ้มค่าก็น่าจะต่ำมาก เพราะข้าวสารเมื่อนำไปหมักแล้วจะมีเซลลูโลสหรือเซมิเซลลูโลสต่ำมากเทียบกับเศษพืช เช่น ฟางและซังข้าวหรือข้าวโพด มูลสัตว์ ขี้ค้างคาว กระดูกหรือซากสัตว์ ซึ่งให้ปุ๋ยสูงกว่า หาได้ง่าย และราคาถูกกว่าข้าวสารมาก ที่ผ่านมาจึงไม่มีใครใช้ข้าวสารผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ที่กรมวิชาการเกษตรรับรองว่าข้าวสารสามารถใช้ผลิตปุ๋ยได้ น่าจะเป็นเพียงผลวิเคราะห์เชิงวิชาการเท่านั้น น่าจะไม่ใช่การวิเคราะห์ว่าคุ้มทุนหรือไม่ เพราะกรมวิชาการเกษตรน่าจะทราบดีว่าราคาข้าวสารกับราคาปุ๋ยอินทรีย์ใกล้เคียงกันมากคือตันละ 12,000-13,000 บาท แต่ถ้านำข้าวสารไปผลิตปุ๋ยนอกจากจะเหลือสารอินทรีย์ที่เป็นปุ๋ยจริงไม่มากแล้วยังต้องเสียค่าขน ค่าแปรสภาพ และอื่นๆอีกมาก
ผมขอฝากให้ช่วยกันคิดให้ละเอียดรอบคอบ เพราะเรื่องนี้ถ้าผิดพลาดจะมีผลกระทบค่อนข้างรุนแรงนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น