นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "ปัญหาราคาข้าวตกต่ำคือความจริงที่เจ็บปวดของชาวนา ไม่ใช่ประเด็นการเมืองที่ใครจะหาเรื่องให้ร้ายกัน ถ้าคนแบบ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์พูด ตนจะไม่ใส่ใจ แต่เมื่อนายกฯ ในฐานะผู้นำรัฐบาลใช้มาตรฐานเดียวกันโดยการกล่าวหาว่ามีนักการเมืองร่วมมือกับโรงสีกดราคาข้าวก็ไปกันใหญ่ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาแค่แสดงความเห็นต่างก็ถูกคุกคาม ดำเนินคดีจนสะบักสะบอม ถ้ามีนักการเมืองรายไหนไปทำอย่างที่กล่าวหาจริงรัฐบาลจะปล่อยไว้ได้อย่างไร อยากให้ผู้มีอำนาจให้เกียรติชาวนาและประชาชนโดยการพูดถึงปัญหาด้วยความจริง แล้วแสดงฝีมือแก้ไขให้ได้ เรื่องนี้ตนเอาใจช่วย"
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า "เมื่อเห็นมาตรการที่ออกมานั้นก็มีข้อสังเกตุบางประการ เช่น การจำนำยุ้งฉางไม่ใช่เรื่องใหม่ รัฐบาลนี้ประกาศเดินหน้าตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 แต่มีการสรุปผลการดำเนินการหรือไม่ ควรแถลงต่อสังคมด้วยว่าได้ผลเป็นอย่างไร จะได้ไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องขายผ้าเอาหน้ารอดเพียงให้มีคำตอบกับชาวนาว่าได้แก้ปัญหาให้ และรัฐบาลต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงด้วยว่า มาตรการเหล่านี้จะถูกเทียบเคียงกับโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลที่แล้วทั้งในแง่ผลสัมฤทธิ์และความผูกพันทางกฎหมาย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ต่างๆ จะขาดความเชื่อมั่น เพราะในขณะที่เดินโครงการจำนำยุ้งฉางก็มีการดำเนินคดียึดทรัพย์กับเจ้าหน้าที่ในโครงการจำนำข้าวเกือบ 1,000 คดี ซึ่งส่วนตัวกังวลว่า มาตรการนี้อาจมีปัญหาในการปฏิบัติ เพราะเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ยังเป็นคนเดิม และกำลังตกเป็นผู้ต้องหาจากการทำโครงการในลักษณะเดียวกัน"
“เรื่องปราบทุจริตไม่มีใครค้าน แต่ฝ่ายผู้มีอำนาจควรปรับทัศนคติตัวเองให้ชัดเสียก่อนว่า ทั้งจำนำข้าวหรือจำนำยุ้งฉางคือมาตรการของรัฐในการช่วยเหลือชาวนา ไม่มีเรื่องกำไรขาดทุน เพราะหากยึดมาตรฐานเดียวกันก็น่าห่วงว่า จบโครงการแล้วจะแถลงปิดบัญชีกันอย่างไร” นายณัฐวุฒิกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น