วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"เพื่อไทย" ติงรัฐเร่งรีดภาษีเพิ่ม ประชาชนเดือดร้อน-เศรษฐกิจแย่
นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเห็นว่า การส่งออกเดือนมกราคม 2560 ขยายตัวได้ 8.8% แม้จะดูเหมือนจะเพิ่มมากแต่หากเปรียบเทียบย้อนหลังเดือนมกราคม 2559 การส่งออกลดลง 8.9% ซึ่งแสดงว่าการส่งออกในเดือนมกราคม 2560 ยังน้อยกว่าการส่งออกเดือนมกราคม 2558 ที่การส่งออกทั้งปีลดลง 5.78% เสียอีก ทั้งๆที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้น ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรปรับสูงขึ้น และยังมีการส่งออกทองคำเพิ่มขึ้นถึง 157% ซึ่งการส่งออกรวมควรจะขยายตัวมากกว่านี้ และคงต้องดูว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวได้ถึง 5% ตามที่รัฐบาลบอกหรือไม่ และจะทำให้การส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร ถ้าการลงทุนภาคเอกชนใน 2 ปีกว่าที่ผ่านมาลดต่ำมาก ไม่อยากเห็นการส่งออกขึ้นๆลงๆแบบผกผัน แต่อยากเห็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องอย่างมั่นคง ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนภาคเอกชนจากต่างประเทศและในประเทศ ที่ต้องขยายตัวอย่างต่อเนื่องไม่ใช่หดหายอย่างปัจจุบัน
นอกจากนี้ตามที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลบอกว่าเศรษฐกิจจะฟื้น และบอกว่าอย่าพึ่งฆ่าห่านหรือ ถอนขนห่าน แต่รัฐบาลกลับจะเรียกเก็บภาษีจากประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยรัฐบาลได้มีการเร่งรัดกรมจัดเก็บภาษีทั้งกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และ กรมศุลกากรไปเร่งให้มีการจัดเก็บภาษีเพิ่ม โดยจะมีการเพิ่มภาษีอีกหลายอย่างเช่น ภาษีน้ำมันเครื่อง ภาษีสุราและบุหรี่ ภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล แม้กระทั่งภาษีสินสอด ซึ่งสวนทางกับแนวทางของรัฐที่ต้องการให้ประชาชนมีบุตรมากขึ้นแต่กลับจะเก็บภาษีสินสอด อีกทั้งเชื่อว่าจะมีการจัดเก็บภาษีเพิ่มอีกหลายด้านเพิ่มเติม เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บรายได้ตามคาดหมายได้ ซึ่งเป็นผลพวงจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ แต่การเก็บภาษีเพิ่มจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจแย่ลงและเป็นการดึงเงินออกจากระบบ จึงอยากให้รัฐบาลเข้าใจว่าประชาชนกำลังเดือดร้อนกันมาก การเพิ่มภาษีจะยิ่งทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น คะแนนนิยมรัฐบาลก็จะลดลง โดยจะเป็นการเมืองขาลงพร้อมเศรษฐกิจขาลงเช่นกัน
วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"เรืองไกร" ยื่นฟัน 2 รัฐมนตรี หุ้นส่วนธุรกิจเขาใหญ่ พ้นเก้าอี้
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนัก ก.พ.ร. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ขอให้พิจารณาปรับรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง 2 คน คือ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายเรืองไกร กล่าวว่า ทั้ง 2 คน เป็นหุ้นส่วนในการทำธุรกิจที่ดินเขาใหญ่ กรณีดังกล่าวเมื่อดูหลักฐานที่ชัดเจน และเมื่อดูหลักฐานที่ทั้ง 2 คนแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า มีการทำสัญญาลงทุนทำธุรกิจที่ดินที่เขาใหญ่ เพื่อแบ่งผลกำไร เข้าลักษณะการเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ดังนั้น รัฐมนตรีทั้ง 2 คน ควรลาออกจากตำแหน่ง หรือ นายกรัฐมนตรีต้องปรับออกจากตำแหน่งทันที แต่ถ้าไม่มีการดำเนินการใดๆ ในสัปดาห์หน้า จะไปยื่นต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้ทำการตรวจสอบต่อไป
วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"เรืองไกร" ยื่นสอบ 2 รัฐมนตรี-แนะตะเพิด "อุตตม-สนธิรัตน์" พ้นตำแหน่ง
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า สื่อมวลชนบางสำนักได้เปิดเผยข้อมูลการเป็นหุ้นส่วนของรัฐมนตรี 2 คน คือ นายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ซึ่ง มาตรา 4 ของ พ.ร.บ.จัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี ห้ามไว้โดยเด็ดขาด ดังนั้น รัฐมนตรีทั้ง 2 คน ควรลาออกจากตำแหน่ง หรือ นายกรัฐมนตรีต้องปรับออกจากตำแหน่ง
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า กรณีที่เกิดขึ้น ยังไม่เห็นทั้ง 2 คนแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด จึงต้องแจ้งให้นายกฯพิจารณาปรับทั้ง 2 คนออกจากตำแหน่งโดยเร็ว โดย นายกฯพูดอยู่บ่อยครั้งให้ทุกคนเคารพกฎหมาย เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นใกล้ตัวนายกฯ จึงหวังว่านายกฯจะยึดหลักกฎหมายด้วย โดยจะไปยื่นหนังสือร้องด้วยตนเองเพื่อขอให้นายกฯพิจารณาแจ้งให้ทั้ง 2 คนลาออก หากไม่ลาออกก็ควรปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีโดยเร็ว และไม่ควรเกิน 5 วัน โดยจะไปหนังสือในวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล
วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"ยิ่งลักษณ์" ทำบุญวัดนางพญา พระให้พร "ทำดีจะได้ดี ถูกทำลายอย่างไรก็จะปลอดภัย"
"ยิ่งลักษณ์" นำพรรคแกนนำเพื่อไทย กราบพระพุทธชินราช รองเจ้าอาวาสวัดนางพญาอวยพร "ทำดีจะได้ดี ถูกทำลายอย่างไรก็จะปลอดภัย"
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมแกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีตส.ส. อาทิ นายพายัพ ชินวัตร นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯ พ.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย เดินทางมากราบสักการะพระพุทธชินราช ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือ วัดใหญ่และวัดนางพญา กราบขอพรสมเด็จนางพญาเรือนแก้ว จ.พิษณุโลก ทั้งนี้ รองเจ้าอาวาสวัดนางพญา ได้บอกนางสาวยิ่งลักษณ์ ว่า ทำดีจะได้ดี ถูกทำลายอย่างไรก็จะปลอดภัย ขณะที่ประชาชนที่เดินทางมาไหว้พระต่างเข้ามาทักทายและให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมระบุว่ารู้สึกดีใจที่ได้เจอ
จากนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินทางเพื่อไปร่วมงานพระราชทานเพลิง นายสุนันท์ สีหลักษณ์ บิดา นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จังหวัดอุตรดิตถ์ต่อ
Photo by https://www.facebook.com/Sand.Chayika/
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"พิชัย" แนะรัฐเร่งเลือกตั้ง-ฟื้นเศรษฐกิจ ช่วยประชาชน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ออกมาให้ใครที่บอกว่ารัฐบาลนี้ทิ้งคนจนให้รูดซิบปาก แสดงให้เห็นว่านายสมคิดยังไม่เข้าใจสภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงที่คนจนยังลำบากกันอย่างมาก ความช่วยเหลือของรัฐ เช่นการแจกเงินก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ความเป็นอยู่ของคนจนดีขึ้น หากรัฐบาลไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจที่แท้จริงได้ คนจนจะยิ่งลำบากมากขึ้น ซึ่งหากไม่มีใครเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนจน รัฐบาลก็ทำเหมือนไม่เดือดร้อนมาโดยตลอด และความลำบากได้ลามไปถึงคนชั้นกลางและคนส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว
นายพิชัย ยังกล่าวอีกว่า ตามที่นายสมคิดยอมรับเองว่าไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ยิ่งตอกย้ำว่านายสมคิด ไม่ทราบสภาวะและปัญหาที่แท้จริงเลย การที่นายสมคิดยังเปรียบเทียบไทยที่เป็นประเทศกำลังพัฒนากับสิงคโปร์ที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่รู้ เพราะรายได้ประชาชาติต่อหัวของไทยประมาณ 5,700 เหรียญ ในขณะที่รายได้ประชาชาติต่อหัวของสิงคโปร์สูงถึง 81,000 เหรียญ หรือสูงกว่าไทย 14 เท่า หากไทยโต 3.2% รายได้เฉลี่ยจะเพิ่ม 182 เหรียญ ในขณะที่สิงคโปร์โต 2.9% รายได้เฉลี่ยเพิ่มถึง 2,349 เหรียญ จึงไม่มีทางที่รายได้เฉลี่ยของไทยจะตามสิงคโปร์ได้ทันเลย และเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย และศักยภาพของประเทศไทยควรต้องโตกว่านี้มาก
ดังนั้นจึงอยากให้นายสมคิดศึกษาให้ดีก่อนพูด โดยที่นายสมคิดเป็นนักวางแผนกลยุทธ์การตลาดจึงพยายามทำการตลาดบอกว่าเศรษฐกิจดีอย่างเดียว โดยไม่ดูสภาวะที่แท้จริงเหมือนพยายามสะกดจิตคนจน แต่คงสะกดจิตไม่ได้เพราะเงินในกระเป๋าไม่มี ซึ่งในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ รัฐบาลควรจะต้องหานักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงมาแก้ปัญหาประเทศ มากกว่าจะใช้นักกลยุทธ์การตลาดที่เพียงแต่ท่องว่าเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นไปวันๆเท่านั้น ในขณะที่คนบ่นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจกันทั่วไปหมด และอยากขอบอกนายสมคิดและรัฐบาลว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องนโยบาย พรรคเพื่อไทยได้เตรียมคิดนโยบายเศรษฐกิจไว้แล้ว ซึ่งเชื่อว่าประชาชนจะไม่ลำบากเหมือนปัจจุบันแน่นอน เพียงแต่รัฐบาลควรเร่งและอย่าถ่วงเวลาการเลือกตั้ง ก่อนที่คนจนจะอดตายกันหมด
"จาตุรนต์" อัดรัฐปฏิรูปล้มเหลว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
เห็น สปท. ชี้แจงว่า มีการปฏิรูปไปมากแต่ไม่ได้ยกตัวอย่าง ผมอยากให้ยกตัวอย่างเรื่องปฏิรูปที่ถือได้ว่าเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบและเป็นความก้าวหน้ามาสักเรื่องหนึ่ง ผมยินดีรับฟัง
แต่ที่ผมอยากจะแสดงให้เห็นความล้มเหลวของการปฏิรูปที่ทำให้ผมเห็นว่า ไม่มีการปฏิรูปใดๆเกิดขึ้นและไม่มีแผนการใดๆที่เห็นได้ว่ามีอนาคต โดยขอยกตัวอย่างดังนี้
- เรื่องที่สับสนขัดแย้งไม่ลงตัวไม่คืบหน้า ได้แก่ พลังงาน สาธารณสุข และตำรวจ
- ที่ทำไปบ้าง แต่มีแนวโน้มว่าจะยิ่งเสียหายไม่มีทิศทาง คือ การศึกษา การกระจายอำนาจ การรักษาป่าและทรัพยากรธรรมชาติ
- ที่มีแนวโน้มเสียหายร้ายแรงถึงขั้นเป็นอุปสรรค คือ เรื่องดิจิทัลอีคอนอมีและการปฏิรูปสื่อ ทั้งสื่อกระแสหลักและโซเชียลมีเดีย
- ที่ทำไปบ้าง แต่ไม่มีผลใดๆ คือการคลัง เช่น ภาษีมรดกและภาษีที่ดิน
- ที่จำเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีการปฏิรูปและไม่มีแผนใดๆเลย ได้แก่ ระบบยุติธรรม กองทัพ ระบบราชการและการเตรียมตัวเข้าสู่สังคมสูงวัย
สปท.หรือแม่น้ำ 5 สายจะชี้แจงก็เชิญครับ
หากสนใจ ผมจะหาโอกาสขยายความให้ฟังครับ
วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"อนุสรณ์" ติงรัฐไม่จริงใจ-เลื่อนนัด "เพื่อไทย" ถกปรองดอง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในชุดคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ระบุ การที่พรรคเพื่อไทยจะเข้าพบคณะอนุกรรมการฯ ในวันที่ 8 มีนาคม 2560 นั้น คณะอนุกรรมการจะเป็นผู้กำหนด และแจ้งไปยังพรรคเพื่อไทยเอง ว่า "ความจริงเรื่องวันเวลานัดหมายถือเป็นเรื่องเล็กมาก แต่ทำให้สังคมได้เห็นว่าขนาดเรื่องเล็กๆ ยังหยุมหยิมขนาดนี้ และพยายามจะสร้างความได้เปรียบตลอดเวลา การที่พรรคเพื่อไทยแจ้งว่า จะเข้าพบคณะอนุกรรมการฯ ในวันที่ 8 มีนาคม 2560 นั้น ไม่ใช่คิดเอง กำหนดเองเพียงฝ่ายเดียว แต่มาจากการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ประสานที่ระบุในจดหมายเชิญ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของท่านเอง ในระดับปฏิบัติการเขาหารือกันก่อนนัดหมาย โดยทางผู้ประสานงาน อยากให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปในวันพุธ จะได้สะดวกที่ผู้บริหารระดับสูงจะเข้าร่วมรับฟัง ซึ่งวันพุธที่ 1 มีนาคม ไม่สะดวก ก็เป็นวันพุธที่ 8 มีนาคม พอนัดเสร็จ พล.ต.คงชีพ กลับบอกว่าคณะอนุกรรมการฯจะกำหนดเอง เลยไม่ทราบว่า ท่านไม่เข้าใจ ยังไม่ได้รับรายงาน หรือต้องการอะไรกันแน่? ขนาดเรื่องเล็กๆแค่นี้ยังเข้าใจยากเลย แล้วจะปรองดองกันอย่างไร? หรือ ไม่ต้องหารือ ไม่ต้องประสาน หรือต้องให้ท่านสั่งมาว่าจะให้ไปวันไหน ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่สามารถไปได้ในวันที่ท่านสั่งก็ต้องปฏิเสธไปอย่างนั้นหรือ? พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าพร้อมที่จะให้ความร่วมมือเพื่อโอกาสในการแก้ไขวิกฤตชาติและแสวงหาทางออกร่วมกัน อยู่ที่ท่านแล้วว่าจะจริงจัง จริงใจในการปรองดองแค่ไหน?"
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"เพื่อไทย" เตือนรัฐห้ามล้ม30บาท-แนะหั่นงบซื้ออาวุธ
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต ทีมสำนักเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่ทราบว่ารัฐบาล และ สนช. พูดความจริงมากน้อยแค่ไหน เรื่องการตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ซึ่งหลังจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดว่าไม่มีการตัดงบประมาณจริงหรือไม่? และประชาชนจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นอย่างที่รัฐบาลอ้างหรือไม่?
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทย เห็นว่าไม่ควรมีการตัดงบประมาณในส่วนนี้ เพราะเป็นโครงการที่ชาวบ้านได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และยังเป็นโครงการที่ได้รับการชื่นชมจากประชาคมโลก เช่น ธนาคารโลก และองค์การอนามัยโลก ที่เรียกร้องให้ประเทศที่กำลังพัฒนาทั่วโลก นำหลักการของโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ในประเทศไทย ไปปรับใช้เป็นนโยบายของประเทศเหล่านั้น และที่สำคัญ คนไทยส่วนใหญ่ก็พึงพอใจกับโครงการนี้ เพราะทำให้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ในยามฉุกเฉิน แม้จะมีข้อจำกัดทางการเงิน โดยรายงานของ สปสช. ระบุว่า ในปี 2558 มีผู้ใช้ประโยชน์จากโครงการนี้ ประมาณ 159 ล้านครั้ง เฉพาะในปีดังกล่าว
ดังนั้น รัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใด ก็ควรเห็นความสำคัญ อย่าล้มโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค เพียงเพราะรังเกียจว่าเป็นโครงการที่พรรคไทยรักไทยคิดขึ้นมาในอดีต แต่ควรมองผลประโยชน์ที่พี่น้องประชาชนจะได้รับเป็นหลัก อย่ามัวแต่ระแวงว่านักการเมืองคนไหนจะได้เครดิตจากนโยบายนี้ เพราะความสำเร็จของโครงการดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพราะฝ่ายการเมืองเท่านั้น แต่เกิดจากความร่วมมือและความเสียสละของบรรดาแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด้านสาธารณสุขทั้งหมด ที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการนี้จนประสบความสำเร็จ
ในส่วนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ควรจ้องล้มเลิกโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค เช่นกัน แต่ควรเพิ่มงบประมาณให้ด้วยซ้ำ อย่ามองคนจนเป็นภาระของประเทศ ถ้าหากรัฐบาลกำลังถังแตก ก็อย่าแก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการตัดงบประมาณของชาวบ้าน เพื่อที่จะได้เหลือเงินไปซื้ออาวุธ ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่มองว่าไม่มีความจำเป็น และไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศในเวลานี้ แต่ควรจัดสรรการใช้งบประมาณอย่างเหมาะสม โดยใช้ในเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนก่อน เช่น พัฒนาคุณภาพการให้บริการด้านสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้อย่างสะดวกและทั่วถึง รวมทั้งได้รับตัวยาที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น ประชาชนจะได้มีสุขภาพที่ดีและเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ซึ่งก็มีความจำเป็นต่อความมั่นคงของชาติเช่นกัน
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"พิชัย" แนะรัฐ ดันสตาร์ทอัพแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า "ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ บอกว่าปีนี้การส่งออกจะโต 5% ทำให้นึกถึงว่าปีที่แล้วนายสมคิดก็พูดแบบนี้ว่าการส่งออกปี 2559 จะโต 5% เช่นกัน แต่การส่งออกแท้จริงกลับไม่เพิ่มเลยแถมยังติดลบด้วยเมื่อหักการส่งออกทองคำ ทั้งๆที่ ในปี 2558 การส่งออกลดลงหนักถึง 5.78% และตั้งแต่มีการรัฐประหารการส่งออกก็ยังไม่ฟื้นเลย จึงอยากเห็นการส่งออกที่ฟื้นจริงๆไม่ใช่แค่พูด และตามที่นายสมคิดได้ให้สัมภาษณ์เรื่อง ไทยแลนด์ 4.0 และ ธุรกิจสตาร์ทอัพ ทำให้สงสัยว่านายสมคิดกำลังพูดถึงไทยแลนด์ 4.0 ที่ต้องพัฒนาเทคโนโลยีหรือกำลังพูดถึงโอทอป เมื่อ 15 ปีก่อน การที่นายสมคิดยกตัวอย่าง ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ผลิตนาฬิกาเก๋ๆ ทำเครื่องหนัง ทำให้งงว่าธุรกิจเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างก้าวกระโดดได้อย่างไร ไม่น่าจะใช่ทิศทาง 4.0 ของโลกปัจจุบัน ธุรกิจเอสเอมอีและสตาร์ทอัพที่รัฐควรสนับสนุนควรเป็นเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพทางเทคโนโลยีและสามารถพัฒนาขึ้นไปเป็นบริษัทใหญ่ในอนาคตได้เพื่อสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ให้เกิดขึ้น ถ้าคิดได้แคบๆแบบเก่าๆประเทศไทยจะไม่สามารถพัฒนาไปไหน และที่น่าห่วงคือแนวคิดของนายสมคิดที่อยากเห็นการเมืองนิ่งในสภาพแบบนี้และบอกว่าเศรษฐกิจจะเจริญ ก็อยากให้นายสมคิดได้ยกตัวอย่างว่าประเทศที่เจริญในภาวะการเมืองแบบนี้มีประเทศไหนบ้าง ที่เห็นก็มีแต่เมียนมาร์ที่การเมืองถูกกดให้นิ่งมาตลอดหลายสิบปีแต่เศรษฐกิจกลับไม่พัฒนาและล้าหลังกว่าเพื่อนบ้านมาก จนในที่สุดต้องเปลี่ยนแปลง เพราะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก ซึ่งเป็นปัญหาเช่นเดียวกันกับประเทศไทยในปัจจุบัน ถึงทำให้นานาชาติเร่งประเทศไทยให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว โดยล่าสุดบริษัทชื่อดังได้วิเคราะห์ว่าหากไทยยังเป็นแบบนี้ อีก 33 ปีประเทศไทยจะพัฒนาต่ำสุดในอาเซียน ซึ่งจะพัฒนาต่ำกว่า ลาว เขมร เมียนมาร์ เวียดนามด้วยซ้ำ จึงอยากให้นายสมคิดได้ศึกษาแนวคิดของโลกให้ดีก่อนที่จะพูดเพราะหากพูดโดยไม่ศึกษาจะยิ่งทำลายเครดิตของรัฐบาลให้แย่ลงเรื่อยๆ"
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"ภูวนิดา" หนุนส.ส.หญิงเพื่อไทย ส่งเสริมสตรีมีส่วนร่วมการเมือง
อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ร่วมโครงการฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมของสตรีในการเลือกตั้ง โดยสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี และ International Republican Institute เพื่อส่งเสริมศักยภาพและสัดส่วนสตรีในภาคการเมือง พร้อมกันนี้ทางสมาคมได้จัดเวทีสัมมนาสาธารณะ ณ โรงแรม S31 สุขุมวิท โดยผู้แทนกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มองว่า การที่ผู้หญิงเข้ามาสู่ภาคการเมืองเป็นการส่งเสริมให้มีความคิดที่หลากหลายมากขึ้น เพราะผู้หญิงมีมุมมองที่ต่างออกไป
ทางด้าน ดร.ภูวนิดา คุณผลิน อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมอภิปรายนโยบายส่งเสริมสตรีเข้าสู่การเลือกตั้ง กล่าวแสดงทัศนะว่า "สถาบันพรรคการเมืองควรพิจารณาสัดส่วนสตรีในโครงสร้างพรรคและโครงสร้างการขับเคลื่อน ที่ผ่านมารัฐบาลเพื่อไทย ได้จัดสรรงบประมาณในการช่วยเหลือสตรีและเยาวชนผู้ถูกกระทำรุนแรงผ่านนโยบาย OSCC โดยเป็นหน้าที่ผู้หญิงทุกคนที่จะผลักดันให้เกิดการสร้างโอกาสให้กับผู้หญิงในการก้าวเข้าสู่ภาคการเมืองเพื่อช่วยปรับสมดุลการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน การทำให้การมีส่วนร่วมของ ผู้หญิงมีความเข้มแข็งขึ้น ต้องเกิดจากการมีกลไกส่งเสริมที่ชัดเจน"
"ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีนักการเมืองหญิงมากที่สุดประเทศหนึ่ง จากความร่วมมือของพรรคต่างๆ ทำให้ผู้หญิงเข้มแข็งทางการเมือง ยอมรับว่าบทบาทสตรีขณะนี้มีความเข้มแข็งมากขึ้น แต่สตรียังต้องต่อสู้มากมาย เพื่อสร้างความเท่าเทียม ในการส่งเสริมบทบาทสถานภาพสตรีของพรรคเพื่อไทยนั้น เรามีการส่งเสริมที่ชัดเจน จากการจัดตั้งกลุ่ม ส.ส.หญิง พรรคเพื่อไทย" ดร.ภูวนิดา กล่าว
"เพื่อไทย" แนะรัฐเร่งเลือกตั้ง-ฟื้นเศรษฐกิจ ดีกว่าปล่อยประเทศเสียหาย
นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 เติบโตเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งต่ำที่สุดใน 4 ไตรมาส ซึ่งเป็นไปตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เคยเตือนไว้แล้วว่ามีแนวโน้มจะตกต่ำ แต่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลออกมาเถียงว่าดี ทั้งปีจะโตได้ 3.5% แน่ แต่จริงๆโตได้แค่ 3.2% เท่านั้น ขนาดรัฐบาลออกนโยบายลดแลกแจกแถม ช็อปและเที่ยวช่วยชาติ สามารถหักภาษีได้แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งผลสำรวจล่าสุดก็ออกมาว่ารัฐบาลสอบตกในการบริหารเศรษฐกิจได้คะแนนเพียง 4.63 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งเป็นคะแนนที่ต่ำสุดกว่าทุกด้าน ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลได้เปิดใจรับฟังทุกครั้งที่คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยออกมาเตือน เพราะ ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นจริงทั้งหมด อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังย่ำแย่ การว่างงานเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นเป็น 1.2% และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ และหากเป็นไทยแลนด์ 4.0 จริง การว่างงานอาจจะเพิ่มอีกหลายล้านคนตามกระแสเทคโนโลยีที่จะทดแทนการจ้างงาน รัฐบาลควรต้องเตรียมการตั้งแต่ตอนนี้ และสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จะทำให้หนี้เสียในระบบธนาคารโดยเฉพาะหนี้เสียที่เกิดจากเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นมากและมีแนวโน้มจะเพิ่มอีกและเป็นปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะทำงานเศรษฐกิจเตือนมาโดยตลอด
ทั้งนี้ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยมีความเห็นตรงกับ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีต รองนายกฯที่ว่าปัจจุบันเป็นเศรษฐกิจขาลงและอาจจะลงเร็วมาก ไม่ได้เป็นเศรษฐกิจขาขึ้นอย่างที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลพยายามจะทำการตลาดแต่อย่างไร และอยากให้รัฐบาลได้ไปดูแผนเศรษฐกิจใหม่ของสิงคโปร์ที่ออกมาแล้ว ซึ่งต่างกับของยุทธศาสตร์ 20 ปีของรัฐบาลไทยอย่างมาก อีกทั้งถ้าพูดถึงเศรษฐกิจฟื้นก็อยากให้ดูไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วของประเทศสิงคโปร์ที่เศรษฐกิจฟื้นจริงและโตกลับมาได้ถึง 12.3% สูงสุดในรอบ 5 ปี ดังนั้นหากรัฐบาลสอบตกทางเศรษฐกิจและไม่สามารถแก้ปัญหาได้ก็ควรเร่งให้ประชาชนได้ตัดสินเลือกผู้บริหารประเทศที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำหน้าที่แทนจะเป็นประโยชน์กับประเทศมากกว่าที่จะอยู่ไปและทำประเทศเสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
“ยิ่งลักษณ์” ยิ้มแย้มแจ่มใส บริจาคโลงศพอุทิศเจ้ากรรมนายเวร-ประชาชนต้อนรับคึกคัก
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปทำบุญบริจาคโลงศพ พร้อมไถ่ชีวิตโค เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ณ มูลนิธิร่วมกตัญญู วัดหัวลำโพง
หลังจากนั้นได้เดินทางไปนมัสการพระธรรมสุธี เจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง โดยมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากมาขอถ่ายรูปและให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งบางคนเดินทางมาจากต่างประเทศได้มีโอกาสพบกับนางสาวยิ่งลักษณ์ถึงกับร้องไห้ พร้อมทั้งขอให้มีกำลังใจที่ดีในการต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ
วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"ดร.ทักษิณ" เยือนพม่า-สักการะชเวดากอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
(แอบ) เล่นsnowboard อยู่พ่อส่งมารูปว่าไปทำบุญที่พม่าและแวะไปสักการะเจดีย์ชเวดากองหน้าตายิ้มแย้มดูอิ่มบุญมาก บอกว่าไหว้เผื่อลูกๆหลานๆแล้วนะ 🤗 คุณตาาาา คิดถึงนะคะ เจอกันอาทิตย์หน้านะคะ 💕 #thebestdad #thebestgrandpa #imblessed
(แอบ) เล่นsnowboard อยู่พ่อส่งมารูปว่าไปทำบุญที่พม่าและแวะไปสักการะเจดีย์ชเวดากองหน้าตายิ้มแย้มดูอิ่มบุญมาก บอกว่าไหว้เผื่อลูกๆหลานๆแล้วนะ 🤗 คุณตาาาา คิดถึงนะคะ เจอกันอาทิตย์หน้านะคะ 💕 #thebestdad #thebestgrandpa #imblessed
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"พิชัย" สอน "สมคิด" รับผิดชอบ เศรษฐกิจไม่โตตามคาด
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ พยายามจะขายฝันว่าปี 2560 เศรษฐกิจจะดี การลงทุนจะมากเป็นประวัติศาสตร์ ทั้งๆที่ยังไม่มีปัจจัยอะไรเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้เศรษฐกิจดีได้ โดยเฉพาะปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ดังนั้นที่บอกว่าจะโตถึง 4-5% นั้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ และที่ผ่านมานายสมคิดก็คาดการณ์เศรษฐกิจผิดมาโดยตลอดและส่งผลถึงการบริหาร จึงทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างมาก ดังนั้นจึงอยากให้ตอบ 6 คำถามดังนี้
1. เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว ดีตามที่นายสมคิดออกมาเถียงหรือไม่? เศรษฐกิจทั้งปีโตได้ 3.5% ตามที่นายสมคิดเคยยืนยันหลายหนหรือไม่? เพราะจากข้อมูลที่ได้รับทราบว่าเศรษฐกิจปลายปีที่แล้วค่อนข้างแย่ ซึ่งไดัโตต่ำที่สุดกว่าทุกไตรมาสตามที่ได้เตือนไว้แล้ว ฉุดให้ทั้งปี 2559 โตได้แค่ 3.2% ไม่ได้ดีตามที่นายสมคิดยืนยัน นายสมคิดจะรับผิดชอบอย่างไร?
2. การที่นายสมคิดบอกว่ายอดการส่งเสริมการลงทุนที่ 584,350 ล้านบาท เป็นยอดที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ ต้องถามว่าที่ได้ขอส่งเสริมไปแล้ว และที่ได้มีการลงทุนจริงเป็นเท่าไหร่ ทำไมแบงค์ชาติถึงบอกว่าการลงทุนจากต่างประเทศในปี 2559 ถึงลดลง 63% จากปี 2558 ที่แย่อยู่แล้ว เพราะความจริงคือยอดการขอส่งเสริมมีมากแต่การลงทุนจริงๆกลับมีน้อย อีกทั้งหากย้อนกลับไปในปีก่อนการปฏิวัติ เช่น ปี 2555 ยอดการส่งเสริมการลงทุนสูงมีถึง 1.4 ล้านล้านบาท และในปี 2556 ยอดขอการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาทและมีการลงทุนจริงสูง และยอดขอส่งเสริมก็สูงกว่ายอด 5.8 แสนล้านบาทที่นายสมคิดพยายามขายฝันว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์มาก ใช่หรือไม่?
3. การที่นายสมคิดจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา โดยบอกว่าจะไปเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน นายสมคิดทราบหรือไม่ว่าสหรัฐในยุคประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีนโยบาย "สหรัฐมาก่อน" ส่งเสริมให้คนลงทุนในสหรัฐมากกว่าลงทุนในต่างประเทศ ดังนั้นจะหวังความสำเร็จในการเยือนได้ขนาดไหน อีกทั้ง สหรัฐเองก็เร่งให้ไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยจากการฝึกคอบร้าโกลด์ที่ผ่านมา และอยากให้นายสมคิดช่วยแถลงว่าที่ผ่านมาที่ได้ไปเยือนญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส และจีน แล้วมีผลสำเร็จในการเยือนเป็นอย่างไร เหตุใดกลับมาแล้วการลงทุนจึงไม่เพิ่มขึ้นเลย เสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ใช่หรือไม่? ไม่อยากให้ไปเยือนเฉยๆแต่ไม่เกิดประโยชน์อะไร ได้แค่เอามาทำการตลาดเท่านั้น
4. นายสมคิดทราบหรือไม่ว่า การจะปรับประเทศไทยเป็นไทยแลนด์ 4.0 ให้เทียบเท่าประเทศอื่น จะทำให้ต้องมีการนำเทคโนโลยี เช่น หุ่นยนต์ และ ปัญญาประดิษฐ์ มาทดแทนการจ้างงาน ซึ่งจะทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้น รัฐบาลได้เตรียมพร้อมในเรื่องดังกล่าวอย่างไร ทำไมไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้เลย
5. จริงอยู่ที่ฐานะการเงินการคลังของประเทศยังแข็งแกร่งในปัจจุบันที่มีเงินทุนสำรองสูงและหนี้สาธารณะต่อจีดีพีต่ำ แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรถ้าประเทศไทยยังมีการเจริญเติบโตที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก มีการส่งออกที่ไม่เพิ่มขึ้น และการลงทุนหดหาย ซึ่งแปลว่าปัจจุบันเป็นการกินบุญเก่าใช่หรือไม่? เพราะทุนสำรองที่สูงและหนี้สาธารณะที่ต่ำก็มีมาตั้งแต่รัฐบาลเดิมแล้ว ไม่ได้เกิดเพราะรัฐบาลนี้ และการที่หนี้สาธารณะที่ต่ำมาตลอดแสดงให้เห็นว่านโยบายประชานิยมที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ประเทศล่มสลายเหมือนที่ถูกใส่ร้ายใช่หรือไม่?
6. การที่รัฐบาลจะพยายามที่จะเก็บภาษีเพิ่มหลายทางในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เป็นแนวทางที่ถูกหรือไม่ ทำให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลกำลังถังแตกหรือไม่ ซึ่งโดยหลักแล้วควรต้องลดภาษี เพราะการลดภาษีจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นแล้วจะส่งผลให้รัฐบาลได้ภาษีกลับมามากกว่า ซึ่งมีตัวอย่างแล้ว หากจำกันได้รัฐบาลเพื่อไทย มีการลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงจาก 30% เหลือ 23% แต่กลับเก็บภาษีได้มากขึ้น เพราะเศรษฐกิจดีมีการเจริญเติบโตสูงถึง 6.5% ในปี 2555 ก่อนที่จะมีการประท้วงและเกิดการปฏิวัติ
ดังนั้นจึงอยากให้นายสมคิดได้ศึกษาแนวคิดเดิมที่นายสมคิดเคยสังกัด เพื่อนำไปศึกษาปรับปรุงแนวทางของตัวเอง มิเช่นนั้นประชาชนจะไม่เชื่อว่านายสมคิดจะเคยมีแนวคิดที่ดีในอดีตจริง เพียงแต่ทำตามแนวทางของพรรคเดิมเท่านั้น และหากนายสมคิดเห็นว่าไม่ถูกต้อง ตนก็ยินดีจะร่วมชี้แจงให้ประชาชนฟังพร้อมกันได้เสมอเพื่อให้ประชาชนทราบภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่แท้จริง และอนาคตที่ยังคงมืดมน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)