วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

"พานทองแท้" โชว์ไลน์ "ทักษิณ" สอนบริหารประเทศ ราคายางดีนายกฯต้องมีวิสัยทัศน์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


วันอาทิตย์เบาๆ ผมขอนำ Capture หน้าจอ ที่ผมคุยกับคุณพ่อเรื่องราคายาง มาอธิบายตอนที่คุณพ่อผมทำราคายางให้ขึ้นไปแบบง่ายๆ มาให้ดูนะครับ 

ทำความเข้าใจสั้นๆ ง่ายๆ คือ เดิมราคายางบ้านเรา ถูกบิดเบือนกลไกตลาดโลกจากพ่อค้าคนกลาง ที่กดราคารับซื้อยางจนต่ำติดดิน และผู้ผลิตยางแต่ละประเทศก็แย่งกันขายโดยตัดราคากัน ทำให้ราคายางอยู่ที่ประมาณ 20 ±บาท มาโดยตลอด 

คุณพ่อผมซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เห็นว่าประเทศผู้ผลิตยางสามประเทศในอาเซียน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย สามารถผลิตยางรวมกันได้มากที่สุดในโลก เหตุใดจึงต้องให้พ่อค้าคนกลางมากำหนดราคาด้วย จึงได้เชิญชวนผู้นำอีกสองประเทศมาพูดคุย และในที่สุดก็มีการร่วมมือกันจัดตั้งบริษัทยางของทั้ง 3 ประเทศขึ้น 

หลักการง่ายๆ คือ บริษัทนี้รับซื้อยางที่ราคากิโลกรัมละ 1 USD (ประมาณ 35 บาท) ในขณะที่ราคายางในตลาดโลกโดนพ่อค้าคนกลางกดไว้ที่ 20 บาท ถ้าใครขายได้แพงกว่า 1 USD ก็ขายไปเลย แต่อย่าไปขายถูกกว่า เพราะบริษัทนี้รับซื้อที่ 1 USD อยู่แล้ว ปรากฏว่าราคายางในตลาดโลกกระโดดขึ้นไปทันที เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้น ราคายางสังเคราะห์ก็เพิ่มขึ้น ราคายางดิบก็ขึ้นต่อเนื่องไปอีก อย่างที่เราเห็นๆ กัน 

ง่ายดีไหมครับ สำหรับนายกรัฐมนตรีที่เข้าใจกลไกทางการค้า และมีวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจ เพียงแค่ดำเนินกลยุทธ์ง่ายๆ ก็สามารถแก้ไขกลไกตลาดที่ถูกบิดเบือนได้

ไม่ต้องเก็บสต๊อก(ลม)ยาง แล้วมีมือมืดแอบมาเผาโกดัง เหมือนที่รัฐบาลเก่าในอดีตนิยมทำกัน...
และก็ไม่ต้องไล่ชาวสวนยางไปขายที่ดาวอังคาร แบบรัฐบาลปัจจุบัน ด้วยครัชช...!!

"กิตติรัตน์" แนะรัฐแก้ปัญหาแรงงาน ผลักดันสวัสดิการ-การศึกษา-เศรษฐกิจ


นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง ภาครัฐจะเตรียมความพร้อมแรงงานให้แก่เอกชนในยุคเศรษฐกิจใหม่ได้อย่างไร ว่าการเคลื่อนไปข้างหน้าไม่ใช่เรื่องของการจะเอาแรงงานไร้ฝีมือไปสู่แรงงานฝีมือสูง เราต้องดูเรื่องของการเปลี่ยนกลไกจากสังคมอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้แรงงานจำนวนมากเป็นหลัก ไปเป็นทรัพยากรบุคคลหรือแรงงานซึ่งสามารถใช้เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ เพราะในระยะต่อไปเครื่องจักรจะเข้ามาแทนที่แรงงานมากขึ้น เราจำเป็นต้องเตรียมคนให้พร้อมที่จะขยับขึ้นไปในเรื่องของการเป็นผู้ใช้เครื่องไม้เครื่องมือ

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องแรง ในยุคที่ตนมีโอกาสดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ เราได้ขอให้ผู้จ้างงานและผู้ถูกจ้างงานได้เห็นกลไกการปรับค่าแรงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ การปรับครั้งนั้นมีเสียงต่อว่าพอสมควร ว่าอยู่ๆเราจะปรับค่าแรงขึ้นโดยผลิตภาพแรงงานยังไม่ดีขึ้นจะไม่มีผลเสียหรือ เมื่อมีการปรับเช่นนั้นนายจ้างย่อมไม่ต้องการให้เกิดผลขาดทุนจากการปรับค่าแรงขึ้น เพราะฉะนั้นท่านจะเริ่มทำงานจริงจังกับแรงงานขององค์กร เพราะว่าท่านต้องการความคุ้มค่า จะจัดเครื่องไม้เครื่องมือหรือฝึกอบรม จัดระบบการทำงานต่างๆ ลดคนงานลงในบางส่วน ที่เกินความจำเป็นก็จะเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ถูกจ้างเมื่อได้รับค่าจ้างที่ดีขึ้นย่อมไม่อยากเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน ก็จะเกิดการทำงานร่วมกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เราอยู่ในระบบซึ่งมีอัตราการว่างานน้อย

นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับการขาดแคลนแรงงานในบางสาขาซึ่งเป็นสาขาที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เช่น วิศวกรคอมพิวเตอร์นั้นค่าจ้างในหมวดนั้นควรขยับสูงขึ้นตามความขาดแคลน หากมีการดำเนินการนั้นอย่างเหมาะสมและมีการประสานไปยังสถาบันการศึกษาหรือสถาบันที่มีการจัดฝึกอบรมบุคลากรที่อยู่ในสาขานั้นแต่เนิ่นๆ ก็จะมีการผลิตบุคลากรในสาขานั้นเพิ่มเติมเข้ามา ตนเห็นว่าอุปสรรคที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะ แม้ว่าสาขานั้นจะมีการขาดแคลนแรงงาน แต่ก็ไม่มีกลไกที่จะไปปรับผลตอบแทนให้กับบุคลากรในสาขานั้นอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ แรงงานยังจะต้องเตรียมตัวเข้าสู่วัยเกษียณซึ่งอาจหมายถึงเวลาที่ท่านไม่สามารถจะทำงานได้มากเหมือนเดิม มีรายได้น้อยลง ท่านต้องมีเงินออม ท่านจำเป็นต้องออมเงินด้วย

นายกิตติรัตน์ กล่าวถึงหน้าที่ภาครัฐในการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานให้กับภาคเอกชน ว่า สิ่งที่ภาครัฐควรจะช่วยในเรื่องของการเตรียมการ คือ การจัดวางระบบการศึกษาที่สามารถรองรับผู้เข้าสู่ระบบการศึกษาต่างๆให้มีเส้นทางเดินในการศึกษาแล้วผ่านจบออกมามีความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน การที่จะเตรียมการเรื่องเหล่านี้ กระทรวงศึกษาควรทำงานอย่างใกล้ชิดมากกับสภาพัฒน์ ในการวางแผนและใช้กำลังคนในอนาคต การเตรียมการเพื่อให้มีการศึกษาที่เหมาะสมเป็นผู้ที่สามารถทำงานได้เป็นภาระหน้าที่ของภาครัฐ อีกประเด็นหนึ่งคือ สวัสดิการ เช่น การออม และการจัดระบบประกันสังคมอย่างไรก็ตามการจัดสวัสดิการแรงงานยังหมายถึงการที่แรงงานอาจจะถูกเลิกจ้างงาน การมีกองทุนเพื่อดูแลแรงงานเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ขณะเดียวกันการที่จะดูแลแรงงานสามารถมีสวัสดิการที่ดี โดยเฉพาะเรื่องสาธารณสุขถือว่าเป็นข้อฝากไปยังรัฐในการดูแลแรงงาน

นายกิตติรัตน์ กล่าวด้วยว่า "สิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญคือ การสร้างงานในชุมชน และการบริโภคภายในประเทศ เพราะเมื่อคนออกจากภาคเกษตรไปสู่ภาคอุตสาหกรรม หมู่บ้านในชนบทเป็นที่อยู่ของเด็กและคนชรา คนหนุ่มสาวไปทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ มีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาเพราะครอบครัวแยกกันอยู่ ทำอย่างไรให้สังคมชนบทสามารถเติบโตคู่กับการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย"

"จิรายุ" ห่วงประชาชนถูกปิดกั้นข่าวสาร-ติงรัฐตีตราสื่อ


นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตผู้สื่อข่าว กล่าวถึงกรณีที่ สปท. จะออกกฎหมายควบคุมสื่อนั้น ตนขอบอกว่า ถ้า สปท. ว่างมาก หรือกลัวประชาชนจะหาว่ากินเงินเดือนภาษีประชาชน กินเบี้ยประชุมแล้วไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนั้น ตนว่าน่าจะไปออกกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีการรับรู้การทำงานของรัฐบาลมากกว่า เช่น กฎหมายว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลกรณีใช้งบประมาณเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ประชาชนควรมีสิทธิ์รู้ข้อมูลข่าวสารนั้นๆ

ส่วนใน พ.ร.บ. ที่บอกว่าคณะกรรมการจะมาจากปลัดกระทรวงต่างๆ จะเอามาตรฐานอะไรไปตัดสินว่านักข่าวนั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร? หรือว่างานปลัดกระทรวงน้อยเกินไป ถ้าน้อยก็ควรจะยุบตำแหน่งปลัดกระทรวงไปเสีย

ที่ผ่านมาตนเรียนวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนมา ถูกพร่ำสอนเสมอว่าความน่าเชื่อถือมาจากจริยธรรมจรรยาบรรณ วันหนึ่งสื่อที่เอียงกระเท่เร่เหล่านั้นก็จะหายและตายไปเอง ประชาชนเขาฉลาดไปไกลแล้ว

วันนี้ สปท. อย่าไปกลัวเสียฟอร์มว่าที่ผ่านมาไม่ค่อยมีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากข่าวตบหัวเด็กเสิร์ฟ ยังมีสิ่งสำคัญที่ สปท. สามารถปฏิรูปประเทศได้ เช่น กฎหมายว่าด้วยการเคารพกติกาทางการเมือง การยอมรับความเป็นจริงในสังคม แพ้เลือกตั้งก็เคารพกติกา ห้ามเล่นนอกสภา อย่างนี้รับรองปฏิรูปประเทศได้แน่

ส่วนที่ สปท. บางคนช่างพูด โดยระบุว่าขนาดอาชีพหมอนวดยังต้องขึ้นทะเบียน ทำไมสื่อจะถูกขึ้นบ้างไม่ได้ คนพูดเช่นนี้เหมือนดูถูกเหยียดหยาม สื่อที่ทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน น่าจะไปหาข่าวดูบ้างว่าคนที่พูดเช่นนี้โปร่งใสขนาดไหน?

การออกกฎหมายกดหัวสื่อฉบับนี้ ต่างกับใบประกอบวิชาชีพอื่นๆอย่างสิ้นเชิง เช่น วิศวกรก็ต้องมีความรู้เรื่องวิศวกร หมอก็ต้องรู้เรื่องหมอ ส่วนสื่อมวลชนเป็นศาสตร์ที่ไม่ใช่ทางใดทางหนึ่งเช่นทางวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ หรือไสยศาสตร์ เป็นงานที่ผสมผสานกัน เป็นศิลปะที่ถูกเรียกว่า "ฐานันดร 4" คนจะมาออกใบอนุญาตจะรู้เรื่องอะไรกับการทำอาชีพสื่อสารมวลชน ถ้าตนอยู่ในคณะกรรมาธิการชุดนี้ ตนจะยกมือประท้วงตลอด รับรองไม่ได้ผ่านแน่นอน

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับกฎหมายฉบับนี้ เพราะที่ผ่านมาสื่อมวลชนเป็นอิสระ ก็ย่อมตอบทั่วโลกได้ว่าประเทศไทยมีเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือของประเทศ ย่อมเป็นตัวแทนให้กับประชาชนได้ เพราะเห็นได้จากสื่อมวลชนที่ไม่มีจริยธรรมจรรยาบรรณ พาดหัวข่าวแบบสาดเสียเทเสีย วันนี้ยอดขายก็เหมือนพิมพ์มาทำถุงกล้วยแขกเท่านั้น หลายสื่อประชาชนก็ตัดสินไปแล้ว

การขึ้นทะเบียนสื่อนั้น วันนี้ก็มีกรมประชาสัมพันธ์ทำหน้าที่ขึ้นทะเบียนสื่อมวลชนอยู่แล้ว ก็ให้กรมประชาสัมพันธ์ทำเหมือนเดิม โดยเป็นผู้ออกบัตรสื่อมวลชนที่สำนักสื่อสารมวลชนต่างๆรับรองกันเอง หรือจะให้สมาคมสื่อรับรองเท่านี้ก็ชัดเจน และให้ใช้บัตรนี้เป็นบัตรมาตรฐานสากลทั่วประเทศไทย

ส่วนกรณีที่ สปท. ระบุว่าต้องการตีทะเบียนสื่อ เพื่อป้องกันคนไม่ดีแฝงมาในคราบสื่อ ตนยิ่งไม่เห็นด้วย เพราะหากกฎหมายนี้บังคับใช้ อยากจะถามว่าคนที่มีใบอนุญาตสื่อ ถ้านิสัยไม่ดี ไม่มีจริยธรรมจรรยาบรรณ ออกกฎหมายมาก็สูญเปล่า แถมเป็นการฟอกขาวให้อีกด้วยซ้ำ

"ทุกวันนี้ ไม่จำเป็นต้องอาชีพสื่อมวลชนที่ต้องตีทะเบียน อาชีพที่มีบัตรราชการ บัตรรัฐมนตรี บัตรองค์กรอิสระ ประพฤติเลว ทุจริตคอรัปชั่น เล่นพวกพ้อง มือถือสาก ปากถือศีล ก็มีให้เห็นเยอะแยะไป"

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า สื่อบางแห่งที่ร่วมเป่านกหวีดโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตย มาวันนี้ได้สัมผัสลิ้มรสคำว่าเผด็จการกันบ้างแล้ว ทั้งๆที่แต่ก่อนอวยได้ทุกวัน วันนี้ก็เปิดหน้าออกมาจัดชุดใหญ่

ส่วนทางออกเรื่องนี้นั้น อยากให้สมาคมที่เกี่ยวข้องกับสื่อทุกสมาคม มีความแข็งแรงและมั่นคงในจุดยืนของคำว่า "ฐานันดร 4" ควรร่วมจัดตั้งคณะกรรมการกลาง เพื่อชี้หรือตักเตือนหรือลงโทษตามแบบฉบับของสื่อ ส่วนสื่อที่ไม่มีจริยธรรมจรรยาบรรณทำผิดจริง ก็ขอให้กล้าลงโทษ และประกาศต่อสังคมให้รับรู้ เช่น การพาดหัวข่าวแบบมีอคติ หรือผู้ประกาศข่าว นักจัดรายการที่ใส่อารมณ์ผสมข่าว ควรตักเตือนหรือลงโทษคนเหล่านี้มากกว่า และควรจะถูกกลุ่มสมาคมต่างๆรุมประณามโดยไม่ต้องให้รัฐบาลไหนมาออกกฎหมายกดหัวไว้

"เรืองไกร" ยื่นหนังสือ กกต. สอบ "9ครม.-คสช." ขัดรัฐธรรมนูญ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย แจ้งว่าหลังจากที่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลใช้บังคับ ปรากฏว่า ในบทเฉพาะกาล มาตรา 264 วรรคสอง บัญญัติว่า หากรัฐมนตรีใดมีลักษณะต้องห้าม ต้องพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งในกรณีที่พบคือ มาตรา 170 (5) รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 (5) บัญญัติว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187  ซึ่งแยกได้ 2 กรณี คือ

  • กรณีการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 ซึ่งโยงไปถึงมาตรา 184 (2) ที่ระบุว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม   
  • กรณีการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 187 ที่ระบุว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ และต้องไม่เป็นลูกจ้างของบุคคลใด 

นายเรืองไกร กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลที่รัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ แจ้งไว้ต่อ ป.ป.ช. พบว่า มีรัฐมนตรีที่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินที่เข้าข่ายต้องห้ามตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 จำนวน 9 ราย ซึ่งมีแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 12-14/2553 และคำวินิจฉัยอื่นที่เกี่ยวข้องไว้เป็นบรรทัดฐานอยู่แล้ว และโดยที่มาตรา 170 วรรคสาม กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วย

นายเรืองไกร กล่าวด้วยว่า กรณีที่พบข้อมูลจากการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ของรัฐมนตรีทั้ง 9 รายจึงเป็นเหตุที่ต้องยื่นหนังสือร้องขอให้ กกต. ทำการตรวจสอบโดยเร็วต่อไป  และเป็นกรณีที่เคยเกิดขึ้นคล้ายกับรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลก่อนๆ ที่เคยมีการร้องให้ กกต. ตรวจสอบมาแล้ว ดังนั้น ตนจะไปยื่นหนังสือร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบรัฐมนตรีของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จำนวน 9 ราย ว่าต้องพ้นจากตำแหน่งตามความในมาตรา 264 วรรคสอง ประกอบมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือไม่ โดยจะไปยื่นหนังสือด้วยตนเองในวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 เวลาประมาณ 10.30 น. ที่ศูนย์ราชการฯ อาคาร B ถนนแจ้งวัฒนะ

"ภูมิธรรม" ทวงเสรีภาพรัฐ ปิดปากสื่อ-ซื้อเรือดำน้ำ


นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เขียนบทความในหัวข้อ "2 เรื่องใหญ่ กระทบตรง...พัฒนาการและการเจริญเติบโตของประเทศ" โดยมีเนื้อหาดังนี้                                                                

สังคมไทยวันนี้ มีเรื่องที่น่าห่วงใยอย่างยิ่งอยู่หลายประการ โดยเฉพาะ 2 เรื่องสำคัญที่กำลังเป็นที่กล่าวขานกันทั่วทุกวงการ คือ

1) เรื่อง "การจัดซื้อเรือดำน้ำ" ซึ่งมีกระแสการคัดค้านอย่างทั่วถึง เพราะถือเป็นสิ่งที่รัฐบาล คสช. และกลุ่มผู้มีอำนาจในยุคปัจจุบันผลักดันให้เกิดขึ้น ท่ามกลางความรู้สึกของสังคมว่ามีเงื่อนงำและมีพฤติกรรม พยายามปกปิดให้เป็น "ความลับ"

การจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้ นับเป็นภารกิจที่รัฐบาลและผู้มีอำนาจควรรับฟังเสียงที่วิพากษ์วิจารณ์ และควรนำไปทบทวนไตร่ตรองอย่างยิ่ง ถึงความเหมาะสมในการใช้งบประมาณและทรัพยากรอันจำกัด ที่นำไปใช้จ่ายท่ามกลางสถานการณ์ที่สังคมโดยรวมกำลังรู้สึกว่า ประเทศกำลังประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และการทำมาหากินของประชาชนกำลังฝืดเคือง ยากลำบากอย่างมาก

เสียงสะท้อนที่ร้องคัดค้าน เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และจากทุกฟากฝ่าย ซึ่งนับเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่า รัฐบาลกำลังเดินหลงทาง และมีความผิดพลาดในการบริหารทรัพยากรอันจำกัด  ไม่รู้จักจัดลำดับก่อนหลังในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ ขาดการใส่ใจและไม่ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่ประชาชนกำลังเผชิญ

ที่สำคัญการคัดค้านนี้ มิใช่เป็นการคัดค้านที่เกิดขึ้นจากอคติทางการเมือง เพราะกลุ่มคนต่างๆ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านล้วนเป็นเสียงที่มาจากหลากหลายภาคส่วน รวมทั้งมีผู้ที่เคยนิยมและสนับสนุนรัฐบาลมาก่อนหน้านี้รวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนไม่น้อย

ยิ่งมีปัญหาที่หลายคนรู้สึกเหมือนรัฐบาลมีท่วงทำนองพยายามปกปิดเป็นความลับ ขาดความชัดเจนและไม่โปร่งใสในเรื่องที่เกี่ยวกับรายละเอียดการใช้จ่ายของงบประมาณในครั้งนี้  ยิ่งทำให้กระแสการคัดค้านไม่เห็นด้วย ยิ่งแผ่กระจายไปอย่างกว้างขวาง

การจัดซื้อ "เรือดำน้ำ" ครั้งนี้ มีผลผูกพันต่อเนื่องกับงบประมาณของประเทศไปอีกนานนับ 11 ปี จึงยิ่งมีคำถามดังๆ ถึงความเหมาะสม และที่สำคัญยิ่งคือ เป็นการกระทำที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่า การกระทำของคณะรัฐมนตรีเข้าข่ายการกระทำที่อาจผิดกฎหมาย เพราะก่องบประมาณผูกพันอนาคต เกินจากอำนาจหน้าที่ที่กฏหมายกำหนด

ข้ออ้างที่มีคนของรัฐบาลชี้แจงเพื่อปัดภาระว่า อนาคตหากไม่เห็นชอบ ก็อาจยกเลิกได้ ดูเหมือนเป็นเพียงความพยายามใช้วาทกรรมมาปัดให้พ้นตัว โดยทราบอยู่แก่ใจว่าการยกเลิกไม่อาจกระทำได้โดยง่าย ซึ่ง "เนติบริกรเดิมๆของรัฐบาล" คงมีภาระที่จะขวนขวายหาช่องว่างของ "อภินิหารทางกฏหมาย" มาหาทางออกให้รัฐบาลเช่นเดิม

ดังนั้นควรอย่างยิ่งที่ คณะรัฐมนตรีจะนำเสียงทักท้วงที่กำลังเกิดขึ้น ไปทบทวนมติเรื่องนี้เสียใหม่ โดยคำนึงถึงประโยชน์ระยะยาว และการไม่สร้างปัญหาภาระให้แก่ประเทศและประชาชน

"ในยามที่ทรัพยากรของประเทศมีจำกัดและปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนกำลังเผชิญมีอยู่มากมาย การจัดสรรและใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม และคำนึงถึงการไม่ก่อภาระในอนาคตให้ประชาชน ถือเป็นความกล้าหาญที่เราอยากเห็นจากรัฐบาลชุดนี้"

2) อีกเรื่องที่มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกันที่รัฐบาลควรต้องเร่งทบทวนคือ การไม่ให้ความสำคัญกับหลักประกันในสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างเพียงพอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความพยายามออกกฎหมายหรือที่เรียกกันอย่างสวยหรูว่า "พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน" ซึ่งหลายคนเรียกอีกอย่างว่า "กฎหมายควบคุมสื่อ" หรือ "กฎหมายปิดปากสื่อ"

เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งเพราะถือเป็นมาตรวัดสำคัญที่โลกกำลังจับตามองประเทศไทยว่า มีความน่าเชื่อถือและสามารถสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นจากประชาคมโลกได้เพียงใด? การพยายามผลักดันการออก "กฎหมายที่ปิดกั้นและควบคุมสิทธิ เสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน" จะเป็นการส่งสัญญาณสำคัญที่มีผลกระทบภาพลักษณ์ของประเทศ และมีผลต่อการยอมรับและความเชื่อมั่นที่นานาอารยะประเทศมีต่อประเทศไทยและรัฐบาลไทย ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาร่วมลงทุนและร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ของนักลงทุนและประเทศประชาธิปไตยทั้งปวง ซึ่งจะยิ่งส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศ
 
นอกจากนั้น การออกกฏหมายดังกล่าว รังแต่จะสร้างปัญหาและขัดขวางการร่วมมือกันของประชาชนที่จะร่วมแสดงความคิดสร้างสรรค์ผ่าน "สื่อสาธารณะ" และถือเป็นการทำลายกระบวนการถ่วงดุลและตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในสังคมที่ต้องการธรรมาภิบาลและความโปร่งใสเช่นในปัจจุบัน

พึงระลึกไว้เถิดว่า การใช้งบประมาณที่ไม่เหมาะสม การออกกฎหมายที่ปิดกั้นและริดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของประเทศ

หยุด! การใช้งบประมาณที่ไม่เหมาะสม
หยุด! การสร้างภาระและปัญหาให้ประเทศ ก่อนที่จะมีปัญหาทับถมมากไปกว่านี้
เอาสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชนและของสื่อมวลชนคืนมา
เอาโอกาสของประเทศกลับคืนมา

วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560

"กิตติรัตน์" สอนรัฐใช้ OTOP ดันเศรษฐกิจชนบทเติบโต


นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของแรงงานในยุคเศรษฐกิจปัจจุบันว่า "ภาครัฐต้องดูการเปลี่ยนกลไกจากสังคมอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้แรงงานจำนวนมากเป็นหลัก ไปเป็นแรงงานที่สามารถใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ เพราะในระยะต่อไปเครื่องจักรจะเข้ามาแทนที่แรงงานมากขึ้น ลูกจ้างต้องมีฝีมือระดับหนึ่ง ถ้าทุกคนพัฒนาความสามารถ พัฒนาทักษะให้ดีขึ้น โอกาสที่จะได้รับเงินเดือนดีขึ้นจะเป็นไปได้มาก และจะมีกำลังซื้อ มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยกลับมาทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งจะเกิดผลบวกในทางเศรษฐกิจ"

สำหรับการขาดแคลนแรงงานในส่วนที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เช่น วิศวกรคอมพิวเตอร์นั้น นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ค่าจ้างควรขยับสูงขึ้น และประสานไปยังสถาบันการศึกษาหรือสถาบันที่มีการจัดฝึกอบรมบุคลากรที่อยู่ในสาขานั้นแต่เนิ่นๆ ที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะว่า ไม่มีกลไกที่จะไปปรับผลตอบแทนให้กับบุคลากรในสาขานั้นอย่างเหมาะสม เรามีสมาคมผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ การประสานงานผ่านองค์กรต่างๆ เพื่อให้เกิดกระบวนการในการผลิตบุคลากรที่มีความสามารถและได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมเกิดขึ้นไม่ยาก ขอให้พยายามประสานงาน

"เราเปลี่ยนจากภาคเกษตรกรรมเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้วมาสู่ภาคอุตสาหกรรม และขณะนี้เรากำลังจะเคลื่อนจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตไปเป็นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น และจะเคลื่อนต่อไปสู่ภาคเศรษฐกิจ มีขนาดของธุรกิจเชิงพาณิชย์และงานด้านบริการที่มากขึ้นตามกำลังซื้อของประเทศเราเองและประเทศคู่ค้า ธุรกิจที่เป็นข้อมูลเรื่องบริการ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการที่มีคุณภาพสูงขึ้นและสามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้ เป็นสาขาที่มีความต้องการมากขึ้น ขยายตัวเร็ว ผลตอบแทนดี การที่จะเข้าสู่วิชาชีพเหล่านั้นน่าจะมีความเหมาะสม"

นายกิตติรัตน์ กล่าวอีกว่า "แรงงานต้องเตรียมตัวเข้าสู่วัยเกษียณ ด้วยการมีเงินออม คนที่อยู่ในระบบที่มีการดูแลภายหลังเกษียณอายุ เช่นข้าราชการที่มีกองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือภาคเอกชนที่มีกองทุนประกันสังคมในบริษัทรองรับยังเป็นส่วนน้อย อีกประเด็นหนึ่งคือ สวัสดิการ การมีกองทุนเพื่อดูแลแรงงานนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่สวัสดิการเรื่องสาธารณสุขก็ถือเป็นข้อฝากไปยังรัฐในการดูแลแรงงานด้วย"
     
นายกิตติรัตน์ กล่าวด้วยว่า "เมื่อมีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแล้วดึงดูดอุตสาหกรรมเข้ามา ตรงนี้แก้ปัญหาการว่างงานได้ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น มีรายได้ประชาชาติสูงขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาคือ คนออกจากภาคเกษตรไปสู่ภาคอุตสาหกรรม หมู่บ้านในชนบทเป็นที่อยู่ของเด็กและคนชรา คนหนุ่มสาวไปทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ มีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาเพราะครอบครัวแยกกันอยู่ ทำอย่างไรให้สังคมชนบทสามารถเติบโตคู่กับการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย แนวคิดที่เริ่มมาสักระยะหนึ่งและยังดำเนินการอยู่คือ OTOP หรือ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ เพราะทำให้เกิดการผลิตในพื้นที่ตำบลหรือหมู่บ้านมากกว่าที่จะต้องแยกตัวไปอยู่ในเขตอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งมีคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคม"

วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560

"ยิ่งลักษณ์" สอน "ประยุทธ์" หยุดอ้างวาระลับ ติงซื้อรถถัง-เรือดำน้ำราคาแพง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดซื้อเรือดำน้ำ โดยใช้วาระลับไม่มีการเปิดโอกาสให้หน่วยงานหรือสาธารณชนร่วมตรวจผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินที่ต้องมีภาระคำนึงถึงความจำเป็น ความเหมาะสมความคุ้มค่าและการเปรียบเทียบราคาอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทางราชการและประเทศชาติ และยังเป็นการใช้ภาระงบประมาณสูง ผูกพันหลายปีงบประมาณจนเป็นภาระหนี้ให้กับรัฐบาลถัดๆไปในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากนั้น

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ได้ออกมากล่าวหาถึงโครงการรับจำนำข้าวว่าทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก ต้องมาผ่อนชำระ ชดใช้หนี้ต่างๆในระบบการเงินการคลังของประเทศนั้นถือเป็นการให้ร้ายต่อรัฐบาลดิฉันทั้งที่ดิฉันก็อยากจะบอกว่า ถ้านายกฯประยุทธ์ กล่าวหาว่าโครงการรับจำนำข้าวทำให้ประเทศเสียหาย ก็น่าจะเทียบได้กับการจัดซื้อรถถัง และเรือดำน้ำ แถมยังมีแผนจะจัดซื้อเพิ่มเติมในอนาคตอีก 

ดิฉันขอยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าว เป็นการนำเงินทุกบาททุกสตางค์โอนเงินผ่าน ธ.ก.ส. จ่ายถึงมือชาวนาโดยตรงซึ่งมีผลทำให้ชาวนาได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก เศรษฐกิจดีขึ้น แต่วันนี้พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศมาถึง 3 ปีแล้วยังพบปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องแก้ไขถึงขั้นจะยกเลิกโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ดูแลสุขภาพประชาชน และปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ แต่กลับใช้เงินงบประมาณไปกับการซื้อรถถัง เรือดำน้ำซึ่งในอนาคตก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องซื้ออีกกี่ลำถึงจะสามารถป้องกันประเทศได้ ทั้งๆที่อ่าวไทยนั้นตื้นเขิน และยังต้องคำนึงถึงปัญหาเทคนิคด้านประสิทธิภาพที่ยังไม่เป็นข้อยุติ และประเทศก็อยู่ในสภาวะปกติที่ยังไม่มีภัยคุกคามจากเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ข้ออ้างของการจัดซื้อเพื่อใช้ดูแลทรัพยากรชายฝั่งก็คงไม่จำเป็นที่ต้องใช้เรือที่มีราคาแพงขนาดนี้ อย่างนี้ไม่รู้ว่าท่านในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารเลือกที่จะให้น้ำหนักความมั่นคงหรือปากท้องของประชาชนกันแน่ โดยเฉพาะภายใต้การบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ คณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐและแผนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งยังร่างไม่แล้วเสร็จ ก็หวังว่าปัจจุบันรัฐบาลนี้อยู่ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะปฏิบัติตาม 

ดิฉันจึงหวังว่าหน่วยงานราชการทั้ง สตง. และ ป.ป.ช. จะไม่ละเลยอำนาจหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ โดยเข้ามาตรวจสอบให้เข้มข้น เหมือนกับที่เคยทำกับรัฐบาลพลเรือนในอดีตโดยไม่เลือกปฏิบัติ และมีความเท่าเทียมกัน และไม่ควรมีการอ้างเรื่องชั้นความลับของทางราชการแต่อย่างใด เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาก็มีข้อคิดเห็นหรือทักท้วง ข้อเสนอแนะมาโดยตลอดทั้งทางเทคนิคด้านประสิทธิภาพ ความเหมาะสมกับการใช้งานในการดูแลความมั่นคงรวมถึงภาระหนี้ที่จะเกิดถึงในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วย 

ในที่สุดเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 60 ครม.ก็ได้เห็นชอบให้ซื้อเรือดำน้ำและเป็นวาระลับโดยไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ ทั้งๆที่บทบัญัญัติตามรัฐธรรมนูญใหม่บังคับให้ “การบริหารราชแผ่นดิน คณะรัฐมนตรี ต้องเปิดเผยและมีความรอบคอบและความระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม”

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

"พานทองแท้" สั่งประชาธิปัตย์ช่วยชาวสวนยาง ถามเจ็บ "แพแตก-แยกเรือ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


เรียนพี่น้องชาวสวนยางครับ (โดยเฉพาะพี่น้องที่อยู่ในจังหวัดพัทลุง และจังหวัดพังงา มีคำตอบจากอดีต ส.ส. ที่ท่านเคยเลือก มาให้ท่านพิจารณาครับ)

สืบเนื่องจากมีพี่น้องชาวสวนยางท่านหนึ่ง ได้กรุณาฝากข้อความมาถึงผม แนะนำให้ผมเขียนกระทุ้งนักการเมืองที่เคยหลอกเกณฑ์ชาวบ้าน ให้ขึ้นมาประท้วงขับไล่รัฐบาล เพื่อเรียกร้องขอราคายาง 120 บาทต่อกิโลกรัม ว่าปัจจุบันราคายางเหลือแค่ 70 กว่าบาทต่อกิโลกรัม ให้ลองเช็คดูหน่อยว่านักการเมืองเหล่านี้ จะยังมีความสนใจในปัญหาปากท้อง และยังคงเป็นกระบอกเสียงแทนชาวบ้าน ที่อุตส่าห์ไปออกเสียงลงคะแนน เพื่อเลือกตนเองเข้าไปนั่งในสภาฯ อยู่หรือไม่..?

ปรากฏว่าส่วนใหญ่เงียบกริบกันทั้งพรรคฯ ครับ ทำหูทวนลมไม่หือไม่อือกันเลย แต่ก็ยังคงมีนักการเมือง 2 คนด้วยกัน ที่ออกมาตอบคำถามนี้ (รุ่นใบเก่าคนหนึ่ง และผลัดใบใหม่อีกคนหนึ่ง) ส่วนจะตอบว่าอย่างไร? มีใครสนใจในปัญหาปากท้องของชาวบ้านหรือไม่? เรามาดูคำตอบกันครับ....

คนแรกเป็นขาเก่าเจ้าประจำ ที่ผูกปิ่นโตเกาะกระแส "เพจพานทองแท้" มาโดยตลอด ได้แก่คุณพี่นิพิฏฐ์ฯ ได้เขียนตอบโต้ไว้อย่างน่ารักน่าชัง ด้วยสำนวนโวหารเดิมๆ เช่น โอ๊คเอ๊ย เมาค้าง ไม่มีใครสั่งสอน ปากดีนัก ฯลฯ แถมยังโยนความผิดไปยังตัวบุคคลอื่น (ซึ่งจะหมายถึง ส.ส.กลุ่ม กปปส. ที่ร่วมประท้วงเป็นแกนนำม็อบขณะนั้นหรือไม่ อันนี้ผมก็ไม่ทราบ) โดยเสี้ยมให้ผมด่าคนในพรรคฯ เป็นคนๆ แต่อย่าเหมารวมทั้งพรรคฯ อีกด้วย 55555 (น่าจะแพแตก-แยกเรือกันจริงๆ ด้วยนะเอ้อ..)

ผมอ่านไปยังขำไป และอดชื่นชมในการรักษาเอกลักษณ์พรรคเก่าแก่ไม่ได้ เพราะอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ มีแต่กระแนะกระแหนล้วนๆ หาสาระแทบไม่ได้ โดยเฉพาะการเป็นห่วงปัญหาปากท้องของพี่น้องชาวสวนยางนั้น ผมให้คะแนนเป็นศูนย์เลยครับ ไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือแสดงความห่วงใยเลยแม้แต่นิดเดียว
ที่น่าผิดหวังอีกคนหนึ่ง คืออดีต ส.ส. วัยละอ่อนผลัดใบ คนที่ใช้นามสกุลเดียวกับท่านอดีต ส.ส.จุรินทร์ฯ แต่มาตรฐานในการทำหน้าที่(อดีต)ผู้แทนฯ ต่างกันราวฟ้ากับเหว แทนที่จะขอบคุณผม และถือโอกาสนี้นำเสนอแนวทางช่วยเหลือชาวสวนยางต่อรัฐบาล ว่าควรจะแก้ปัญหาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ของตนอย่างไร ถ้าทำแบบนี้รับรองได้ใจชาวบ้านไปเต็มๆ

แต่อดีต ส.ส. รุ่นใหม่คนนี้ กลับรื้อฟื้นวิธีเก่าแก่ยุคตะโกนในหนัง แกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้ว่าผมกำลังด่านักการเมืองที่พาม็อบสวนยางมา (ม็อบที่ กปปส. พรรคพวกตนเกณฑ์มานั่นแหละ) กลับโยนบาปมาใส่ผม หาว่าเรียกร้องให้มีม็อบมาในช่วงพิธีสำคัญของคนไทยอีก คนที่โยนเรื่องเลวๆ ของพรรคพวกตนไปในแนวทางนี้ได้โดยไม่กลัวนรกกินกบาล ผมเองก็ไม่รู้จะหาคำมาบรรยาย(ด่า)อย่างไรดี
ก็ต้องขอบคุณพี่น้องชาวสวนยาง ที่ได้กรุณาแนะนำวิธีตรวจสอบความจริงใจของนักการเมืองในพื้นที่ของท่านมานะครับ

ส่วนใครจะตอบอย่างไร? ใครจะแบ๊ะๆ ใบ้กิน ใครจะเห็นใจชาวสวนยางอย่างจริงใจ หรือหลอกใช้ให้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ขอให้พี่น้องฯ เป็นผู้พิจารณากันเอง

เรื่องราคายาง สำหรับคนที่จริงใจและแก้ไขปัญหาเป็น ทำได้ไม่ยากครับ อิงกับราคาตลาดโลก ณ ปัจจุบัน ดันไป 90-100 บาทต่อกิโลกรัม ไม่ยากเย็น

ราคายางตกต่ำ..แก้ไขง่าย
แต่ยางอายของคนนี่..แก้ยากจริงๆ ครับ

"ณัฐวุฒิ" เผย ถูกยกเลิกงานการกุศลช่วยเด็กยากจน


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ กล่าวว่า จากกรณีที่ตนประกาศจัดงานระดมทุนช่วยเหลือนักเรียนยากจนในวันที่ 28 พฤษภาคม 2560 ที่หอประชุมกองทัพอากาศ โดยได้มอบหมายทีมงานนำหนังสือในนามของตนไปประสานงานกับสำนักงานคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหารงานหอประชุมกองทัพอากาศ และมีการวางมัดจำเป็นเงินสด 40,000 บาท พร้อมทั้งเซ็นสัญญาขอใช้สถานที่ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2560 นั้น ปรากฏว่า เมื่อคืนนี้ทีมงานได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลหอประชุมว่า เกิดความไม่สะดวกที่จะให้ใช้สถานที่จัดงานได้ จึงขอยกเลิกสัญญาและจะคืนเงินมัดจำให้ ตนตรวจสอบจากข่าวทราบว่า ผู้บัญชาการทหารอากาศมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับการจัดงานดังกล่าว น่าจะเป็นที่มาของการขอยกเลิกสัญญาครั้งนี้หรือไม่? ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะทุกอย่างได้เตรียมการไปมากแล้ว

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ตนเข้าใจทุกฝ่าย และไม่ประสงค์จะกระทบกระทั่งกับใครทั้งสิ้น เมื่อทางสถานที่ไม่สะดวกก็จะหารือกับทีมงานแก้ปัญหากันต่อไป เพียงแต่อยากฝากไปยังท่านผู้บัญชาการทหารอากาศว่า อย่าได้ตะขิดตะขวงใจอะไรเลย  ตนมาดี โครงการนี้ทำต่อเนื่องมา 1 ปีแล้ว และจำเป็นต้องทำต่อไปให้ได้ จึงต้องระดมทุนมาขับเคลื่อน เพราะลูกหลานที่ขาดแคลนยังรอทุนการศึกษาอยู่อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะพอขึ้นปีที่ 2 มีการเพิ่มทุนให้นักเรียนที่ได้รับเงินจากโครงการไปแล้วที่มีผลการเรียนไม่ต่ำกว่า 3.00 และนักเรียนที่มีผลงานด้านกิจกรรมดีเด่นอีกด้วย ทำให้ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การดำเนินการทุกอย่างทำโดยเปิดเผย เคยไปติดต่อสถานที่ของเอกชนและรัฐวิสาหกิจเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะจัดได้ จึงติดต่อสถานที่ของฝ่ายความมั่นคงเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีวาระการเมืองใดๆ พอประกาศออกไปก็มีคนสนใจโทรมาจองบัตรกันอย่างคึกคัก  แต่เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ก็ต้องพยายามเดินต่อให้ได้

"ถ้ามีหน่วยงานใดสงสัยรูปแบบงาน ผมยินดีจะนำข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดไปอธิบาย หรือหากทำได้ก็อาจจะหยิบยกขึ้นเป็นข้อหารือในวงปรองดองที่ผมจะเป็นตัวแทน นปช.ร่วมกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เข้าประชุมที่กระทรวงกลาโหมในวันพรุ่งนี้เพื่อสอบถามว่า ในบรรยากาศของการสร้างความปรองดองที่เราให้ความร่วมมือมาโดยตลอด ผมจะจัดงานระดมทุนหาเงินช่วยเด็กที่ยากจนได้หรือไม่?  ถ้างานนี้จัดได้เด็กๆ ในโครงการคงดีใจ แต่หากจัดไม่ได้ผมเข้าใจว่า ไม่น่าจะมีใครมีความสุขกับเรื่องแบบนี้" นายณัฐวุฒิกล่าว

"เพื่อไทย" กังวลรัฐซื้อเรือดำน้ำ กระทบความรู้สึก


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ครม.อนุมัติโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำหยวนคลาส เอส 26 ที จากประเทศจีนจำนวน 1 ลำ 13,500 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมาว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่าการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ทันสมัย เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่จังหวะเวลา ความเหมาะสม ในการจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง

1. สภาพเศรษฐกิจที่วิกฤติในขณะนี้ รัฐบาลได้เตรียมการปฏิรูประบบสาธารณสุข การศึกษา ในการดูแลประชาชนอย่างไร? หนังสือเรียนยังใช้ระบบให้ยืม นักเรียนจะขีดเขียนหนังสือก็ไม่กล้า สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะเตรียมการดูแลอย่างไรให้ยั่งยืน งบประมาณ 13,500 ล้านบาท ถ้านำมาออกมาตรการ จ้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ประโยชน์มากกว่าหรือไม่?

2. การที่โฆษกรัฐบาลระบุ ที่ซื้อไม่ใช่เพราะอยากได้ตามประเทศอื่น แต่ประเมินจากภัยคุกคามของประเทศที่มีอาณาเขตติดกับไทย น่าจะเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยก็ไม่เคยมีการต่อสู้รบพุ่งกับใครทางทะเล 3 ปีของรัฐบาล คสช. ก็ไม่ได้ต่อสู้กับใครทั้งทางบกทางทะเล ในทางการฑูต การพูดลักษณะเช่นนี้ อาจจะกระทบกับความรู้สึกและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านได้ และขณะนี้ไม่มีประเทศไหนที่เราต้องไปรบ

3. กฎหมายพรรคการเมือง ระบุว่า การกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ต้องระบุวงเงินที่จะใช้ มีแหล่งที่มาจากไหน ความคุ้มค่าและผลกระทบต่อการดำเนินนโยบาย การที่รัฐบาล คสช. ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี ไปถึงรัฐบาลเลือกตั้งสมัยหน้า ซึ่งต้องมีการกำกับดูแลนโยบายด้านสวัสดิการสังคม สาธารณสุข การศึกษา แต่ท่านมัดมือชกรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ที่จะต้องนำเงินไปผ่อนเรือดำน้ำให้ท่าน จึงอยากถามถึงความเหมาะสม เป็นธรรมกับรัฐบาลหน้าหรือไม่ ขอถามว่า งบประมาณ 13,500 ล้านบาทนั้น ท่านจะซื้อลำเดียว หรือจะมี ลำที่ 2-3 ตามมาอีกหรือไม่ พรรคเพื่อไทย ไม่ขัดข้อง หากทหารจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แต่อยากให้ระมัดระวังการจัดลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณให้เหมาะสม ธนาคารเครดิตสวิส ระบุว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับสามของโลก และไทยต้องลงทุนด้านการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ถามว่าการซื้อเรือดำน้ำช่วยลดความเหลื่อมล้ำไหม ประชาชนตั้งคำถามมากมายถึงการจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณ ลักษณะเงินจะกินยังไม่มี แต่แอบไปซื้อปืนมาพกเท่ๆ แบบนี้ไหวเหรอ

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

"พิชัย" ติงรัฐเดินตามจีน-เศรษฐกิจย่ำแย่


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า "รู้สึกเป็นห่วงมากที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้น น่าจะเป็นความเข้าใจผิดและถึงกับหลงทางเลย ทั้งนี้หากจำกันได้ ตนได้ออกมาเตือนตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมาว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ประชาชนจะเดือนร้อนกันมาก แต่รัฐบาลไม่ฟังและพยายามห้ามตนพูด ถึงวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่คงรู้สึกกันแล้วว่าเศรษฐกิจย่ำแย่ขนาดหนัก แต่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กลับบอกว่ารัฐบาลไม่ต้องฟังเสียงจากประชาชน ซึ่งสะท้อนหลักคิดที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน"

"โดยผลสำรวจของโพลที่ปกติเชียร์รัฐบาลยังบอกว่าประชาชน 89.71% มองปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาของรัฐบาลอันดับที่ 1  และหนำซ้ำ 76.61% ยังมองรัฐบาลมีปัญหาทุจริตคอรัปชั่นเป็นอันดับสอง อีกผลสำรวจนึงก็บอกว่าประชาชน 76.5% ไม่ชอบรัฐบาลนี้เพราะเศรษฐกิจแย่  นอกจากนี้ องค์กรระหว่างประเทศ ทั้ง เวิล์ดแบงค์ ไอเอ็มเอฟ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ยังบอกว่าไทยเติบโตได้เพียง 3% กว่าเท่านั้น ซึ่งต่ำที่สุดในอาเซียน และจะต่ำสุดไปอีกหลายปี โดยประชาชนฐานรากจะลำบากมากหากเติบโตได้เพียงเท่านี้ และต้องใช้เวลาอีก 20 ปีกว่าจะเป็นประเทศรายได้สูงได้"

"มิหนำซ้ำ พลเอกประยุทธ์ยังบอกว่าจะยึดประเทศจีนเป็นแบบอย่างของเศรษฐกิจไทย ซึ่งน่าจะเป็นความเข้าใจผิดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เพราะประเทศจีนแม้จะมีเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก แต่จีนมีประชากรมากซึ่งเมื่อเฉลี่ยแล้วจีนยังไม่ได้เป็นประเทศที่ประชาชนมีรายได้สูง อีกทั้งความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของจีนมีสูงมาก และโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่อย่างจีนและประเทศเล็กอย่างไทยต่างกันมาก ถึงกระนั้นเศรษฐกิจของจีนก็ยังขยายตัวมากกว่าไทยมาก"

"ได้แต่หวังว่าพลเอกประยุทธ์จะไม่ได้หวังจะทำซูเปอร์บอร์ดชาติตามยุทธศาสตร์ 20 ปีให้เป็นเหมือนโปลิตบูโรของจีนที่จะคุมทุกอย่าง ซึ่งจะสร้างปัญหาอย่างมาก และจะกลายเป็นการปกครองคนละระบอบไปแล้ว ดังนั้นไทยจึงควรเลือกแบบอย่างจากประเทศที่มีพัฒนาแล้วและมีรายได้สูง ซึ่งมีขนาด และโครงสร้างทางเศรษฐกิจ อีกทั้งระบอบการปกครอง คล้ายกับไทยน่าจะเหมาะสมกว่า เช่น ประเทศเยอรมันนี ที่เป็นศูนย์กลางของอียู ประเทศอังกฤษ หรือ ประเทศเกาหลีใต้  เป็นต้น ทั้งนี้แม้ดูเหมือนว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะไม่ย่ำแย่ลง แต่ก็ยังแย่และยังไม่ได้ฟื้นอย่างแท้จริง ยังเติบโตในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพมาก อีกทั้งการกระจายรายได้ยังเป็นปัญหาอย่างมากเพราะเศรษฐกิจฐานรากยังไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างไร มีแต่บริษัทใหญ่ที่สนับสนุนรัฐบาลเท่านั้นที่ดีขึ้น จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาจะได้เข้าใจภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงและไม่หลงทาง"

วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

"ชวลิต" เผยนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นรัฐ ทำเศรษฐกิจดิ่ง


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณีสื่อทุกสำนักเผยแพร่ผลโพลของสวนดุสิตโพลพบว่า ปัญหาที่กระทบต่อประชาชนสูงสุดถึง 87.92% คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน และปัญหารองลงมาคือ ปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น ในโครงการภาครัฐ ซึ่งประชาชนให้ความห่วงใยสูงถึง 76.61% สะเทือนความเชื่อมั่นในระบบธรรมาภิบาลภาครัฐอย่างรุนแรง ต่อปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ดังกล่าว มีบางท่านเสนอแนะให้เปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ นั้น

นายชวลิต กล่าวต่อว่า "ตนเคยให้กำลังใจกับทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลที่พยายามหาทางแก้ปัญหา แต่ก็ไม่อาจแก้ได้โดยง่าย ถึงกับเคยกล่าวไว้หลายครั้งว่า ต่อให้ ร้อยสมคิด ก็แก้ไม่ได้ หรือจะเปลี่ยนทีม ก็ไม่อาจแก้ได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีความรู้ ความสามารถ แต่เป็นเพราะระบบการเมือง การปกครอง ของไทยขณะนี้ ไม่เอื้อต่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การขาย การลงทุน"

มีข้อสังเกตว่า ในช่วงสองปีเศษที่ผ่านมา มีทูตต่างประเทศหลายประเทศได้ลงพื้นที่พบปะประชาชนตามจังหวัดต่าง ๆ รวมตลอดทั้งเดินทางไปเยี่ยมเยียนตามพรรคการเมืองทุกพรรค ถามว่า ทูตประเทศต่างๆ เหล่านั้นได้ลงสำรวจและถามความเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่ออะไร เขาตอบว่า เขารักประเทศไทย คนไทยน่ารัก มีพื้นฐานจิตใจดีเป็นมิตร เขาอยากให้เมืองไทยเข้าสู่ภาวะปกติ ความเชื่อมั่นจะกลับคืนมา

จึงขอฝากเป็นข้อสังเกตว่า หลังจากกฎหมายรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ เท่ากับสถานการณ์เปิด ว่าบ้านเมืองนี้จะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ดังนั้น โจทย์ใหญ่ คือทำอย่างไรถึงจะสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทำได้โดยมีสัญญาณบวกจากภาครัฐว่าจะใช้กลไกปกติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในการบริหารประเทศ และเลิกใช้กลไกพิเศษในการควบคุม กำกับ ดูแลการบริหารประเทศ ไม่มีเหตุผลใดที่รัฐบาลจะดำเนินการเสมือนว่าสถานการณ์ยังอยู่ในห้วงปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งที่ใช้เวลาในการบริหารประเทศจะครบ 3 ปีแล้ว

นายชวลิต กล่าวต่อว่า มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า เมื่อการเมือง การปกครองไม่ปกติ นักลงทุนจึงขาดความเชื่อมั่น เห็นได้จาก แม้แต่คนไทยด้วยกันเองยังไม่กล้าลงทุน มีแต่การลงทุนจากภาครัฐขาเดียวเท่านั้น ซึ่งอาจเปรียบเทียบให้เห็นว่า แล้วเราจะทำให้ประเทศพิการด้วยการเดินขาเดียวโดยภาครัฐเท่านั้นได้อย่างไร ไม่ทำร้ายประเทศมากไปหรือ?

จึงขอฝากรัฐบาลเร่งส่งสัญญาณบวก ให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ในการบริหารประเทศ คงไม่มุ่งหวังให้รัฐบาลมั่นคงเท่านั้น แต่จะสมบูรณ์ควรทำให้ประเทศชาติและประชาชนมั่นคงด้วย

วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

สลับกลับข้าง!? "พานทองแท้" อัดประชาธิปัตย์ รับได้ราคายางดิ่ง-โวยราคาสูง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ราคายางวันนี้ อยู่ที่กิโลกรัมละ 70 กว่าบาทครับ 
และ 70 กว่าบาทนี้ คือราคายางที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทย ระบุว่า "อยู่ในเกณฑ์รับได้"

ราคายางวันนี้ ต่ำกว่าราคายางสมัยที่มีม็อบชาวสวนยางออกมาปิดถนน เพื่อประท้วงกดดันรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ว่าราคายางต้อง 120 บาท ชาวสวนยางถึงจะอยู่กันได้

น่าแปลกใจตรงที่คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ฯ ที่ว่าราคายาง 70 กว่าบาทยอมรับได้ จะสามารถสะกดนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ให้นิ่งเงียบ และยอมรับราคากันได้ทั้งพรรคฯ ทั้งนักการเมือง ทั้งหัวคะแนนของพรรคฯ นี้ต่างก็เงียบกริบ ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องเป็นห่วงชาวบ้าน ไม่มีม็อบออกมาประท้วงให้มันวุ่นวาย เผลอๆ อาจจะมีม็อบเชลียร์ออกมาชื่นชมใน "ราคายางที่ยอมรับได้" ในเร็วๆ วันนี้

ในยุคเผด็จการที่ชาวบ้านขายของได้เงินน้อยกว่าเดิม พรรคประชาธิปัตย์ยอมรับได้ แต่ในยุคที่ประชาธิปไตยเฟื่องฟู ชาวบ้านขายของได้เงินมากขึ้น พรรคนี้กลับโวยวายว่าราคาตกต่ำ รัฐบาลต้องรับผิดชอบ เหตุใดพฤติกรรมของนักการเมืองจึงสลับขั้ว-กลับข้าง เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ 

คำว่า "ประชาธิปัตย์" แปลกันตรงตัวน่าจะหมายถึง ผู้ที่ยึดมั่นและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะเมื่อเป็นชื่อของพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเพียงพรรคเดียวของประเทศนี้ (ที่ยังไม่โดนยุบ) 

เจตนารมณ์ของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งพรรค น่าจะต้องการให้เป็นพรรคการเมืองที่เชิดชูความเป็นประชาธิปไตย ไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนเผด็จการในทุกรูปแบบ 

แต่ดูเหมือนพฤติกรรมที่ผ่านมา กลับตรงกันข้ามกับชื่อของพรรคโดยสิ้นเชิง ภาพลักษณ์ของสมาชิกพรรคนี้จึงดูเหมือน "สลับข้าง-เปลี่ยนขั้ว" ออกแนวทำนองจะยุยงให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร (เพื่อเตรียมจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารต่อ) เป็นเช่นนี้บ่อยครั้งในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา แบบที่ไร้คำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น 

หรือเพราะเป็นพรรคเก่าแก่ จึงต้องตั้งชื่อให้เป็นไปตามธรรมเนียมโบราณ ที่นิยมตั้งชื่อแก้เคล็ดไปในทางตรงข้าม ลูกคนจนให้ตั้งชื่อว่ามั่งมี เด็กน่ารักให้เรียกว่าน่าชัง 

พรรคที่ไม่สนับสนุนแนวทางประชาธิปไตย เลยถูกตั้งชื่อว่า "พรรคประชาธิปัตย์" หรือเปล่าครับ?

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

"เรืองไกร" โต้กลับ! ยื่นสอบ "ครม.-สรรพากร" ยืนยันหุ้นชินฯยุติแล้ว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00น. ที่ผ่านมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางไปยื่นหนังสือที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ เพื่อร้องให้ทำการไต่สวนเอาผิดกับคณะรัฐมนตรีและกรมสรรพากร

นายเรืองไกรกล่าวกับสื่อมวลชนว่า กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560 ให้กรมสรรพากรทำการประเมินภาษีจากอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร จำนวนกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท  และต่อมาเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรได้นำหนังสือประเมินภาษีที่ไม่มีการระบุเลขที่ ไปปิดที่หน้าบ้านเมื่อ 28 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น เรื่องดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจโดยไม่มีหลักกฎหมายและผิดไปจากข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้ว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ อม. 1/2553 และคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางที่ 242-243/2553 ซึ่งจากผลของคำพิพากษาทั้งสอง กรมสรรพากรจึงมีการสั่งยุติเรื่องไปแล้ว ทั้งนี้ตามเอกสารราชการที่ถือเป็นหลักฐานเด็ด 2 ฉบับ คือ

(1) บันทึกข้อความของสำนักตรวจสอบภาษีกลาง ที่ กค 0710/ตส/1460 ลงวันที่ 2 มีนาคม 2555 ที่อธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง และ

(2)หนังสือกระทรวงการคลังที่ กค 0717/ล.1804 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 ที่ตอบไปยัง ป.ป.ช. ว่า การซื้อขายหุ้นชินคอร์ปดังกล่าว จึงไม่เกิดขึ้น

ผลก็คือ เมื่อธุรกรรมการซื้อขายหุ้นไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้น นายทักษิณ ย่อมไม่มีเงินได้จากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปผ่านบริษัทแอมเพิลริช แต่อย่างใด และการขายหุ้นชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ก็เป็นการขายในตลาดหลักทรัพย์ กำไรที่ได้จากการขายหุ้น จึงได้รับยกเว้นภาษีตามกฎกระทรวง

นายเรืองไกร กล่าวว่า กรณีดังกล่าว คณะรัฐมนตรี กรมสรรพากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องรู้ถึงผลของคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลภาษีแล้ว รวมทั้งการสั่งยุติเรื่องตามข้อความในหนังสือทั้งสองฉบับด้วย ดังนั้น การหาเหตุมาประเมินภาษีครั้งนี้ จึงชัดเจนว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีอำนาจที่จะทำได้









"พิชัย" แนะ "ประยุทธ์" คำนึงผลประโยชน์ชาติ-เร่งคืนประชาธิปไตย


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลจะสรุปยุทธศาสตร์ชาติ จึงอยากแนะนำ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เปิดโลกทัศน์มองยุทธศาสตร์ประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลกว่ามียุทธศาสตร์อย่างไร โดยอยากขอแนะนำ 4 ยุทธศาสตร์ คือ

1) ยุทธศาสตร์การเชื่อมต่อกับประชาคมโลก เพราะเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กและเปิด โดยต้องเร่งให้มีการเจรจาทวิภาคี และ พหุภาคีกับประเทศต่างๆ  เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาทางการค้าและการลงทุนได้ แม้ว่าปัจจุบันจะทำไม่ได้เพราะไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ โดยต้องเร่งกลับสู่ระบอบปกครองที่ประชาคมโลกยอมรับโดยเร็ว

2) ยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนประเทศไทยเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยที่การปรับเปลี่ยนและการพัฒนาทางเทคโนโลยีของโลกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  ซึ่งหากประเทศไทยไม่สามารถปรับตัวเองให้รองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ประเทศอาจจะล้าหลังได้ในเวลาไม่นานนัก

3) ยุทธศาสตร์การศึกษาและหลักคิด โดยประเทศนอกจากจะต้องพัฒนาการศึกษาให้ตรงกับอนาคตของประเทศแล้วยังต้องพัฒนาหลักคิด หากคนมีการศึกษาและเป็นบุคคลชั้นนำที่จะต้องนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้า ยังมีความคิดที่แปลกประหลาดไม่เป็นสากล การพัฒนาของประเทศในอนาคตก็จะเป็นไปได้ยาก และจะเป็นผู้ถ่วงความเจริญของประเทศอย่างแท้จริง

4) ยุทธศาสตร์การสร้างความรักชาติและเห็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่ประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ต้องทำเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ และการพัฒนาของประเทศต่อไปในอนาคต

ดังนั้น หากการทำยุทธศาสตร์ของประเทศคำนึงถึงแต่การจะรักษาอำนาจของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือพยายามกีดกันคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขึ้นมามีอำนาจ ที่ดูเหมือนจะเป็นอยู่ในปัจจุบันและถึงกับจะให้มีซูเปอร์บอร์ดชาติมาควบคุม ก็จะยิ่งสร้างปัญหาให้กับประเทศมากขึ้น และการเร่งกลับสู่ระบอบที่ประชาคมโลกยอมรับน่าจะเป็นยุทธศาสตร์เร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันที่กระแสความไม่พอใจเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจากสาเหตุการหายของหมุดคณะราษฎร ก็ยิ่งควรจะต้องเร่งคืนอำนาจให้กับประชาชนและกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

"เรืองไกร" โต้กลับ! ยื่นสอบ "ครม.-สรรพากร" ยืนยันหุ้นชินฯยุติแล้ว


เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2560 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560 ให้กรมสรรพากรทำการประเมินภาษีจากอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร จำนวนกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท  และต่อมาเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรได้นำหนังสือประเมินภาษีที่ไม่มีการระบุเลขที่ ไปปิดที่หน้าบ้านเมื่อ 28 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น
       
นายเรืองไกร กล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจโดยไม่มีหลักกฎหมายและผิดไปจากข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้ว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ อม. 1/2553 และคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางที่ 242-243/2553 ซึ่งจากผลของคำพิพากษาทั้งสอง กรมสรรพากรจึงมีการสั่งยุติเรื่องไปแล้ว ทั้งนี้ตามเอกสารราชการที่ถือเป็นหลักฐานเด็ด 2 ฉบับ คือ

(1) บันทึกข้อความของสำนักตรวจสอบภาษีกลาง ที่ กค 0710/ตส/1460 ลงวันที่ 2 มีนาคม 2555 ที่อธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง และ

(2)หนังสือกระทรวงการคลังที่ กค 0717/ล.1804 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 ที่ตอบไปยัง ป.ป.ช. ว่า การซื้อขายหุ้นชินคอร์ปดังกล่าว จึงไม่เกิดขึ้น

ผลก็คือ เมื่อธุรกรรมการซื้อขายหุ้นไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้น นายทักษิณ ย่อมไม่มีเงินได้จากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปผ่านบริษัทแอมเพิลริช แต่อย่างใด และการขายหุ้นชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ก็เป็นการขายในตลาดหลักทรัพย์ กำไรที่ได้จากการขายหุ้น จึงได้รับยกเว้นภาษีตามกฎกระทรวง

นายเรืองไกร กล่าวว่ากรณีดังกล่าว คณะรัฐมนตรี กรมสรรพากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องรู้ถึงผลของคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลภาษีแล้ว รวมทั้งการสั่งยุติเรื่องตามข้อความในหนังสือทั้งสองฉบับด้วย ดังนั้น การหาเหตุมาประเมินภาษีครั้งนี้ จึงชัดเจนว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีอำนาจที่จะทำได้

นายเรืองไกร กล่าวทิ้งท้ายว่าด้วยเหตุนี้ จึงต้องร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ทำการไต่สวนเอาผิดกับคณะรัฐมนตรีและกรมสรรพากรต่อไปโดยเร็ว โดยจะไปยื่นหนังสือด้วยตนเองที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ ในวันที่ 21 เมษายน นี้ เวลา 10.00 น.

"อนุสรณ์" กระตุ้นรัฐ เศรษฐกิจดิ่ง-อาชญากรรมพุ่ง


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการก่ออาชญากรรมเกี่ยวกับชีวิตและทรัพย์สินประชาชนที่เกิดขึ้นอย่างหนักและต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาว่า "รัฐบาลควรออกมาตรการที่เข้มงวดกวดขันในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้มากขึ้น ทั้งการก่อเหตุในรูปแบบการทำร้ายร่างกาย การใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน เพื่อประสงค์ต่อชีวิตและทรัพย์สิน การทะเลาะวิวาท ที่ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดนลูกหลงได้รับผลกระทบจนบาดเจ็บ เสียชีวิต ภาพการสาดกระสุน ยิง แทงกัน ยิ่งกว่าในหนัง วันนี้สามารถเกิดขึ้นและพบเห็นได้ทั่วไป โดยที่ประชาชนไม่อาจล่วงรู้เลยว่า ภัยกำลังจะมาถึงตัว รวมถึงการกระทำความผิดคดีเกี่ยวกับเพศ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ความผิดฐานอนาจาร ที่เกิดขึ้นอย่างมาก จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล กำชับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในประเทศที่มีมาตรการดูแลความปลอดภัยประชาชนที่มีความพร้อมสูง เมื่อเกิดเหตุจะสามารถเข้าไประงับเหตุได้ทันท่วงที และมีแนวทางการคลี่คลายคดี จนนำตัวผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติรรมได้ รัฐบาลต้องตรวจสอบและทบทวนว่ามีมาตรการที่มีประสิทธิภาพเช่นนั้นหรือไม่? วันนี้ประชาชนยากลำบากกันอย่างมากในการครองชีพในสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในปัจจุบัน แต่กลับต้องมาไม่ได้รับความมั่นคง ปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน จึงอยากกระตุ้นรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินโดยเร่งด่วน"

วันอังคารที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2560

"จิรายุ" ห่วงข้าราชการบั่นทอนใจ คสช.ปูนบำเหน็จ 721 คน


นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี คสช. จะปูนบำเหน็จบำนาญด้วยการขึ้นเงินเดือนให้กับ 721 ข้าราชการที่ทำงานให้กับ คสช. นั้น ตนมองว่าเป็นสิทธิของ คสช. ที่อยากจะทำอะไรก็ได้อยู่แล้วแต่อย่าลืมว่าเงินที่ปูนบำเหน็จให้นั้นเป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชนทุกคน และปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมามันคือการบั่นทอนหัวใจของข้าราชการนับล้านคนทั่วประเทศที่ทำงานเพื่อชาติ แต่อาจไม่ได้อยู่ใกล้ชิด คสช. จึงไม่ได้รับโอกาสนี้ อีกทั้งการขึ้นเงินเดือนพิเศษครั้งนี้ 700 กว่าคน จะปรากฏบัญชีรายชื่อของเขาเหล่านี้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของข้าราชการ ที่ทำงานรับใช้ คสช.

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ กล่าวต่อไปว่ารัฐบาลควรจะขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการทุกคนที่ทำงานเพื่อชาติให้เท่าเทียมกัน เพราะกว่า 3 ปีมานี้ก็มีข้าราชการทำงานช่วยเหลือทางราชการอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นต่อไปนี้ใครที่ไม่ใช่คนของ คสช. ที่ได้รับเบี้ยพิเศษ เขาจะรู้สึกอย่างไร? เขาจะเข้าเกียร์ว่างหรือไม่? ถึงตรงนี้การบริหารราชการแผ่นดินของผู้นำประเทศก็จะทำได้ยากยิ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560

 "พิชัย" แนะรัฐเร่งเลือกตั้ง-งดคำสั่ง ม.44 เพื่อประเทศเดินหน้า


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า หลังจากที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว รัฐบาลควรจะต้องเตรียมการไปสู่การเลือกตั้ง การดำเนินการปัจจุบันน่าจะเป็นการรองรับรัฐบาลจากประชาชนเลือกที่จะเข้ามาทำงาน ดังนั้นจึงอยากเสนอให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาดำเนินการ 5 เรื่องดังนี้


1) เปิดให้มีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงเปิดให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ การเปิดให้มีเสรีภาพและการสร้างบรรยากาศของประเทศให้เข้าสู่ภาวะปกติ จะช่วยให้ภาพพจน์ของประเทศในสายตานักลงทุนต่างประเทศดีขึ้น

2) กำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอน ซึ่งเชื่อว่า สนช. กรธ. จะสามารถเร่งทำงานให้ตรงกับกำหนดการได้ หากตั้งใจจริง เพื่อนักลงทุนจะได้วางแผนในการลงทุนได้ถูกต้อง ทั้งที่จะต้องไม่เลื่อนไปเลื่อนมาเหมือนที่ผ่านมาอีก เพราะทำให้ความเชื่อมั่นได้ลดลงมากและการลงทุนหายไป

3) งดใช้อำนาจ ม.44 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต อีกทั้งนำทุกคำสั่ง ม.44 และ คำสั่ง คสช. กลับมาพิจารณา เพื่อยกเลิกหากเห็นว่าไม่จำเป็นหรือไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่รัฐบาลจากการเลือกตั้งในอนาคตที่ต้องออกกฏหมายมาแก้ไข และเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคของรัฐบาลใหม่ในการบริหารประเทศในอนาคต


4) ให้ข้าราชการเตรียมความพร้อมในการเจรจาเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ โดยดูว่ามีประเด็นใดบ้างที่ยังสรุปไม่ได้ ซึ่งหลังจากรัฐบาลจากการเลือกตั้งเข้ามาแล้ว สามารถตัดสินใจสุดท้ายและพร้อมเซ็นสัญญาได้ทันที เพื่อฟื้นความมั่นใจของนักลงทุนโดยเร็วเพื่อเร่งฟื้นเศรษฐกิจ

5) เร่งทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของประเทศที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งปกติทำได้ยาก เพราะที่ผ่านมาไม่เห็นทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันที่เป็นประโยชน์หรือยังไม่เห็นผลงานของรัฐบาลนี้เลย แต่หากเรื่องใดไม่มั่นใจหรือยังศึกษาไม่ดีพอก็ควรรอรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งเข้ามาตัดสินใจ มิเช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงขาลงอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่เรื่อง รัฐบาลถังแตก โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8% บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ อาลีบาบาเลือกมาเลเซีย ถึงกระทั่งห้ามประชาชนนั่งหลังรถกระบะ  ซึ่งรัฐบาลต้องถอยแทบทุกเรื่อง ดังนั้นโอกาสที่จะทำอะไรได้อีกจึงมีน้อย น่าจะต้องรีบ ปรับ ครม. และ เร่งให้มีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งเข้ามาทำงานโดยเร็ว ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีสติปัญญาน้อยตามที่ท่านเองออกตัว แต่ท่านอาจจะขาดความรู้และประสบการณ์ในหลายด้านโดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ

วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2560

"เพื่อไทย" สั่งรัฐลดงบซื้อเรือดำน้ำ-เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ เป็นของขวัญสงกรานต์


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี รัฐบาลมีแนวคิดเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นรายละ 1,200-1,500 บาท จากเดิม 600 บาทต่อเดือน เพื่อให้เหมาะสมกับค่าครองชีพในปัจจุบัน ว่า การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรายละ 1,200 บาทถึง 1,500 บาทนั้น ถ้าทำได้จริง ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ยากจน อยู่คนเดียว ลูกหลานไม่สามารถดูแลได้ เงิน 1,500 บาทถือว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ ในการดำรงชีพในปัจจุบันที่ปัจจัยค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ส่วนการจะขอให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะดีอยู่แล้วยอมเสียสละเบี้ยยังชีพคนชราเพื่อจัดตั้งเป็นกองทุนผู้สูงอายุ น่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก รัฐบาลมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น และสามารถทำได้ทันทีในการดูแลผู้สูงอายุ คือการงดซื้อเรือดำน้ำ และนำเงินงบประมาณส่วนนั้นมาจัดสรรเป็นสวัสดิการเพื่อดูแลผู้สูงอายุ ถือเป็นวิธีที่ง่ายกว่าและสามารถดำเนินการได้จริงมากที่สุด ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ยากจน ได้นับล้านคนเป็นระยะเวลาหลายปี  พรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นและตระหนักในความสำคัญของผู้สูงอายุ ที่ได้สร้างบ้านแปงเมือง สร้างคุณงามความดีเพื่อประเทศชาติมานาน สมควรที่จะได้รับการดูแลจากรัฐบาล จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลนำเงินที่จะซื้อเรือดำน้ำ มาสร้างสวัสดิการเพื่อดูแลผู้สูงอายุจะเป็นประโยชน์มากกว่า และควรมีมาตรการที่ยั่งยืนรองรับการที่สังคมไทยจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุในอนาคตด้วย

วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560

"พานทองแท้" สอน "ประยุทธ์" ไม่โดนเองไม่รู้-ครอบครัวถูกตามถ่ายรูป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


อ้าว...เฮ้ยย!! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้...นี่หน่า..!! วันนี้ คสช.ท่านพูดว่า.. ขออย่าลงรูปลูกสาวฝาแฝด ห่วงความปลอดภัย "ขอให้เห็นใจผมหน่อย” เป็นเรื่องของความปลอดภัยและไม่สบายใจ ไปเล่นรูป ลงรูปดาราคนอื่นไปเถิด สงกรานต์..ผมไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว แต่ใช่ว่าครอบครัวผมจะไม่ไปไหน ขอให้เห็นใจผมหน่อย”

วันนั้น..คสช.ท่านพูดว่า "ที่ทหารไปถ่ายรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น อาจเห็นว่าท่านสวย อย่าไปคิดมากหรือวิตกกังวล ขอให้ใจเย็นๆ คสช.ไม่ได้ไปทำอะไร" 

ตอนคนอื่นโดนถ่ายรูป คสช.ท่านตอบมาอย่างนี้ครับ พอตอนนี้ลูกสาวท่านฯ โดนคนถ่ายรูปบ้าง ท่านกลับมาขอความเห็นใจ

เรื่องบางเรื่องถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง ท่านไม่มีทางรู้หรอกครับ

คนนั่งรถเบนซ์กันกระสุนคันละหลายสิบล้าน ย่อมไม่เข้าใจคนนั่งรถกระบะ...ฉันใด 
คนที่ลูกเมียไม่โดนตามถ่ายรูป ย่อมไม่เข้าใจคนอื่นที่โดนรังแก...ฉันนั้นครับ

"อสคพ." ร้องสำนักพุทธฯสอบพุทธะอิสระ-ปลุกเสกด้วยเลือด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00น. ที่ผ่านมา นายวิชัย ประเสริฐสุดศิริ ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมพระพุทธศาสนา ในฐานะผู้ประสานงานองค์กรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา (อสคพ.) เข้ายื่นหนังสือต่อ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้พิจารณาดำเนินการทางพระวินัยต่อ "พุทธะอิสระ" กรณีการปลุกเสกด้วยเลือด

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ นายวิชัย ประเสริฐสุดศิริ ได้เดินทางไปที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายหรือไม่ และหากเป็นความผิดก็ขอให้ดำเนินคดีตามบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป



วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

"เรืองไกร" ยื่นหนังสือ ยกเลิกคำสั่ง คสช. ม.44 - ห้ามนั่งท้ายกระบะ


วันที่ 11 เมษายน 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ยกเลิกหรือแก้ไขคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 14/2560 ในกรณีการห้ามนั่งท้ายกระบะ

นายเรืองไกร กล่าวว่า หลังจากที่หัวหน้า คสช. ออกคำสั่งที่ 14/2560 ที่มีส่วนที่เป็นปัญหาหลักคือเรื่องการห้ามนั่งท้ายรถกระบะ จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมากนั้น จนทำให้ พระราชบัญญัติจราจรทางบก ที่ถูกแก้ไขในมาตรา 123 ไม่สามารถใช้บังคับได้ รัฐบาลจึงมีให้ชะลอออกไป จากการศึกษาคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 14/2560 แล้วพบว่า น่าจะมีปัญหาอยู่ 2 ประการ คือ

ประการที่ 1 ปัญหาเรื่องความไม่ชอบในการออกคำสั่ง ทั้งนี้เห็นได้จากการออกมายอมรับของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่กล่าวว่า ตนและกรรมการเป็นผู้เสนอเรื่องนี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อออกคำสั่งดังกล่าว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น การใช้อำนาจตามมาตรา 44 จึงอาจไม่ชอบ เพราะในมาตรานี้ บัญญัติไว้ชัดว่า "ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจำเป็น..." ดังนั้น อำนาจดังกล่าวจึงเป็นอำนาจเฉพาะตัวของหัวหน้า คสช. เท่านั้น ไม่ใช่อำนาจของรองนายกรัฐมนตรีหรือบุคคลอื่นด้วยแต่อย่างใด

ประการที่ 2 ปัญหาจากการแก้ไขพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 123 วรรค 2 ตามคำสั่งดังกล่าว ข้อ 2 ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้โดยสารทุกคนต้องรัดเข็มขัดนิรภัย และรถกระบะจะให้นั่งได้เฉพาะแถวหน้าโดยห้ามนั่งหรือโดยสารในท้ายกระบะหรือแคป ซึ่งคำสั่งที่ถือเป็นกฎหมายมาใช้บังคับนั้น อาจขัดต่อสิทธิและเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาได้

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า จากปัญหาทั้ง 2 ประการ จึงจะเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ พิจารณาทบทวน เป็น 2 แนวทาง คือ

1. ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวทั้งหมด เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏออกมา การออกคำสั่งดังกล่าวไม่ได้มีมาจากความเห็นของหัวหน้า คสช. เอง จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ 2557

2. หากจะปล่อยให้คำสั่งดังกล่าวมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป ก็ควรแก้ไขโดยยกเลิกความตามคำสั่ง ข้อ 2 คือให้กลับไปใช้ข้อความเดิมของพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 123 วรรค 2 ก่อนการแก้ไข ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าการที่ไม่แก้ไข แล้วใช้วิธีผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ ซึ่งการไม่บังคับใช้กฎหมายอาจทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีปัญหาการละเว้นตามมาได้ แต่หากนำมาใช้ต่อไป ก็จะเป็นเหตุให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่มีรถกระบะประเภทต่างๆ ซึ่งใช้อยู่แล้วเป็นปกติวิสัย จะได้รับความเดือดร้อนจากกฎหมายดังกล่าวเป็นวงกว้างต่อไป









"พานทองแท้" นึกถึงคำสอนพ่อ-โต้อภินิหารทางกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้  


มาเที่ยวดิสนีย์แลนด์ นึกถึงคำสอนของพ่อที่ให้ไว้ตั้งแต่เด็ก "อภินิหารไม่มีในโลกแห่งความเป็นจริงนะลูก มีแต่ในเทพนิยาย"
ผมก็เชื่อมาโดยตลอด แต่วันนี้อยากถามกลับ ถ้าอภินิหารไม่มีจริงในโลก แล้ว "อภินิหารทางกฎหมาย" มันมายังไงครับพ่อ..!! ประเทศไทย ทำแบบนี้ก็ได้หรอ..??



วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

"เรืองไกร" ยื่นหนังสือทำเนียบ ยกเลิกคำสั่งม.44-ห้ามนั่งท้ายกระบะ


วันที่ 10 เมษายน 2560 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่หัวหน้า คสช. ออกคำสั่งที่ 14/2560 ที่มีส่วนที่เป็นปัญหาหลักคือเรื่องการห้ามนั่งท้ายรถกระบะ จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมากนั้น จนทำให้ พระราชบัญญัติจราจรทางบก ที่ถูกแก้ไขในมาตรา 123 ไม่สามารถใช้บังคับได้ รัฐบาลจึงมีให้ชะลอออกไป

นายเรืองไกร กล่าวว่า จากการศึกษาคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 14/2560 แล้วพบว่า น่าจะมีปัญหาอยู่ 2 ประการ คือ

ประการที่ 1 ปัญหาเรื่องความไม่ชอบในการออกคำสั่ง ทั้งนี้เห็นได้จากการออกมายอมรับของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่กล่าวว่า ตนและกรรมการเป็นผู้เสนอเรื่องนี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อออกคำสั่งดังกล่าว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น การใช้อำนาจตามมาตรา 44 จึงอาจไม่ชอบ เพราะในมาตรานี้ บัญญัติไว้ชัดว่า "ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจำเป็น..." ดังนั้น อำนาจดังกล่าวจึงเป็นอำนาจเฉพาะตัวของหัวหน้า คสช. เท่านั้น ไม่ใช่อำนาจของรองนายกรัฐมนตรีหรือบุคคลอื่นด้วยแต่อย่างใด

ประการที่ 2 ปัญหาจากการแก้ไขพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 123 วรรค 2 ตามคำสั่งดังกล่าว ข้อ 2 ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้โดยสารทุกคนต้องรัดเข็มขัดนิรภัย และรถกระบะจะให้นั่งได้เฉพาะแถวหน้าโดยห้ามนั่งหรือโดยสารในท้ายกระบะหรือแคป ซึ่งคำสั่งที่ถือเป็นกฎหมายมาใช้บังคับนั้น อาจขัดต่อสิทธิและเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาได้  

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า จากปัญหาทั้ง 2 ประการ จึงจะเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ พิจารณาทบทวน เป็น 2 แนวทาง คือ

1. ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวทั้งหมด เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏออกมา การออกคำสั่งดังกล่าวไม่ได้มีมาจากความเห็นของหัวหน้า คสช. เอง จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ 2557

2. หากจะปล่อยให้คำสั่งดังกล่าวมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป ก็ควรแก้ไขโดยยกเลิกความตามคำสั่ง ข้อ 2 คือให้กลับไปใช้ข้อความเดิมของพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 123 วรรค 2 ก่อนการแก้ไข ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าการที่ไม่แก้ไข แล้วใช้วิธีผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ ซึ่งการไม่บังคับใช้กฎหมายอาจทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีปัญหาการละเว้นตามมาได้ แต่หากนำมาใช้ต่อไป ก็จะเป็นเหตุให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่มีรถกระบะประเภทต่างๆ ซึ่งใช้อยู่แล้วเป็นปกติวิสัย จะได้รับความเดือดร้อนจากกฎหมายดังกล่าวเป็นวงกว้างต่อไป

นายเรืองไกร กล่าวทิ้งท้ายว่า ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ จึงจำเป็นต้องไปยื่นเรื่องต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ยกเลิกหรือแก้ไขคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 14/2560 ดังกล่าว ในวันอังคารที่ 11 เมษายน 2560 เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล

วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

"พานทองแท้" โชว์ IG กาสิโนบนพื้นที่ไม่ทับซ้อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ IG ล่าสุด ระบุ Slot Machine @ Macau บ่อนกาสิโนบนพื้นที่ไม่ทับซ้อน #บ่อนถูกกฎหมาย #ไม่โดนรีดภาษี #พื้นที่ไม่ทับซ้อน #ไม่ต้องกลัวเสียดินแดน


"ชวลิต" แนะรัฐยกเลิกคำสั่งคสช.-ยืนยันเพื่อไทยไม่ขวางปรองดอง


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า "ตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้ทุกภาคส่วนสามัคคี ปรองดองเพื่อรับกับวาระแห่งชาตินั้น มั่นใจได้ว่า พรรคเพื่อไทยสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการสร้างความสามัคคี ปรองดอง เพื่อวาระแห่งชาติสำคัญอย่างเต็มที่ แต่ขณะนี้มีข้อพิรุธว่า รัฐบาลหลีกเลี่ยงการสรรหาองค์กรอิสระด้วยการไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ แต่กลับออกกฎเกณฑ์การสรรหาองค์กรอิสระ โดยใช้มาตรา 44 ตามคำสั่ง คสช.ที่ 23/2560 ลงวันที่ 5 เมษายน 60 ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญเพียง 1 วัน เสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เคารพประชามติ แล้วยังหมิ่นเหม่หลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตาม รัฐธรรมนูญ"
       
นายชวลิต กล่าวว่า "คนไทยทุกคนรวมทั้ง คสช. และรัฐบาลอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ  ดังนั้น การสรรหาองค์กรอิสระ ควรดำเนินการตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด ไม่อาจอ้างว่า กฏหมายลูกออกไม่ทัน เพราะทราบล่วงหน้าเป็นปี ที่สำคัญ คำสั่ง คสช.ที่ 40/2558 กำหนดให้องค์กรอิสระปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้แม้ครบวาระจนกว่าจะมีการแต่งตั้งบุคคลมาแทน"
       
ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ คสช. ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 23/2560 เพื่อเคารพประชามติ และเคารพรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศของเรากลับคืนมา

"อนุสรณ์" ดักทาง สนช. จับตาคว่ำกฏหมายลูก-ยื้อเลือกตั้ง


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่า สนช.จะคว่ำกฎหมายลูกเพื่อยื้อการเลือกตั้ง ว่า เรื่องนี้คงไม่มีใครมโน และไม่อยากให้เป็นเรื่องจริง แต่ที่ออกมาปรามกันไว้ก่อน เพราะหลายฝ่ายไม่เชื่อมั่นรัฐบาลคสช. กว่าประชาชนจะรู้สึกตัวจากบทเพลง เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน คำว่าขอเวลาอีกไม่นานนั้น ปาเข้าไปเกือบ 5 ปีแถมพ่วงด้วยยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นาทีนี้จึงไม่มีอะไรเป็นหลักการันตีว่า ผู้มีอำนาจจะไม่ใช้อภินิหารคว่ำกฎหมายลูก เพื่อยื้อเวลาต่ออายุคสช. เหมือนกับกรณี การคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่ยอมสละนายบวรศักดิ์ จนเสียรังวัด แลกกับการต่ออายุคสช.ให้นานขึ้น ตนเชื่อว่าไม่มีพรรคการเมืองไหนที่จะไปทำลายบรรยากาศของการนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง แม้แต่กกต.ก็พร้อมแล้วที่จะจัดการเลือกตั้ง อยู่ที่คสช.ว่าจะมองช็อตนี้อย่างไร ซึ่งความจริงคสช.ไม่มีอะไรต้องกลัว เพราะมีเสียงส.ว.สรรหาตุนอยู่แล้วถึง 250 คน บวกกับมีพรรคการเมืองที่พร้อมจะเป็นอะไหล่เสริมให้ คสช.มากมาย ดังนั้นไม่มีอะไรที่ คสช.ต้องกลัว เพราะความกลัวทำให้เสื่อม ต้องยอมรับความจริงว่าส่วนหนึ่งของประชาชนที่เห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต้องการให้ประเทศกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง ยิ่งถ้ารัฐบาลและคสช.มั่นใจว่าผลงานเด่นของรัฐบาลคสช.เวลานี้ถูกอกถูกใจชาวบ้าน ทั้งเรื่องเร่งรัดซื้อรถถัง ซื้อเรือดำน้ำ การโยนหินถามทางขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ การแก้ไขสถานการณ์ทาง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การใช้มาตรา 44 ห้ามนั่งท้ายรถกระบะ ห้ามนั่งแคปของรถกระบะ ถ้ามั่นใจในคะแนนนิยมของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ควรใช้อภินิหารคว่ำกฎหมายลูกยื้อเลือกตั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

บทเรียนนั่งกระบะท้าย! "จิรายุ" สอน "ประยุทธ์" ศึกษาข้อมูลก่อนสั่งม.44


นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย และอดีตผู้สื่อข่าวสายอุตสาหกรรมยานยนต์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้ มาตรา 44 บังคับให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกคนที่นั่งอยู่บนรถว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา เป็นวันที่โกลาหลในแอพพลิเคชั่น LINE และ Facebook มากที่สุด เพราะ  เป็นวันที่ตนได้รับแต่รูปภาพแปลกๆ เช่น รถตัดกระบะท้าย , ตำรวจจับผู้ต้องหานั่งด้านท้าย , รถบรรทุกทหารที่มีทหารนั่งเต็มกระบะท้าย แม้กระทั่งคลิปที่มีผู้ชมเป็นล้านๆที่จับลูกใส่ลังและไปนั่งที่แคปของรถปิกอัพ รวมทั้งเสียงร้องของชาวบ้านตาดำๆที่ยากจนในถิ่นทุรกันดารที่ไม่มีรถประจำตำแหน่ง แต่ยังต้องใช้รถคนยากจนในหมู่บ้านออกไปทำไร่ทำนา
   
จนกระทั่ง ผู้นำ คสช. ยอมถอยเลื่อนบังคับใช้ไปก่อนนั้น ในมุมมองของตนถือเป็นเรื่องดีในเรื่องความปลอดภัย แต่แปลกใจที่ออกมาตรา 44 มาเรื่องนี้ เพราะก็มีกฎหมายบังคับใช้อยู่แล้ว ที่สำคัญเมืองไทยยังต้องใช้เวลา และควรประกาศกำหนดเวลา เพื่อให้ประชาชน ผู้ประกอบการ หรือบริการสาธารณะ เช่น ขสมก. และ บขส. ได้มีการเตรียมความพร้อม เพราะรถยนต์ทุกวันนี้มีหลายประเภท แต่คำสั่งมาตรา 44 ระบุว่าเป็น "รถยนต์" นั่นหมายความรวมถึงรถเก๋งส่วนบุคคล , รถแท็กซี่ , รถเมล์ , รถ บขส. , รถสองแถวเล็ก และรถสองแถวใหญ่

เรื่องแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปเรียกพวกขุนเสนอปีชงที่ชอบชงเรื่องที่มองโลกสวยมาจัดการ  เพราะส่วนใหญ่พวกนี้เรียนจบเมืองนอก บ้านรวยมีสตางค์ซื้อตั๋วเครื่องบิน และไม่เคยลิ้มรสการนั่งกระบะกลับบ้านในช่วงเทศกาลแบบคนจน
   
และที่สำคัญ ถ้าหากรัฐบาลสร้างระบบขนส่งและการคมนาคมอย่างมอเตอร์เวย์ หรือรถไฟความเร็วสูง หรือการคมนาคมทางอื่นๆ ตนเชื่อว่าจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนจนในประเทศ ถึงวันนั้นก็จะไม่มีใครไปนั่งกระบะท้ายให้หัวไหม้แน่นอน และที่สำคัญประเทศไทยมียอดขายรถปิกอัพเป็นอันดับ 1 และพฤติกรรมการใช้รถก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่ จึงฝากคำถามไว้ว่า

1. กรณีรถเก๋งตามทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งแบบ 7 ที่นั่ง ถ้านั่งไป 5 คน แต่เข็มขัดนิรภัยมีแค่ 4 ที่นั่ง ใครจะรับผิดชอบค่าปรับ? ถ้ายังงั้นต้องไปแก้ไขเป็นรถยนต์นั่งแบบ 4 ที่นั่ง หรือไม่ก็ต้องให้บริษัทรถยนต์ทำเข็มขัดนิรภัยแบบ 7 ที่นั่ง ซึ่งก็ควรประกาศขอบเขตของเวลา

2. ไม่ทราบว่าคนชงเรื่องนี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เซ็น เคยนั่งรถสองแถวซึ่งยังมีอยู่มากมายทั่วประเทศหรือไม่? อย่าคิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วแบบยุโรปเหมือนที่ไปดูงานกันมา เพราะมาตรา 44 ที่สั่งมานี้ย่อมหมายความรวมถึงผู้นั่งบนรถสองแถวด้วย ซึ่งตนยังมองไม่ออกว่าจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างไร? หรือว่าจะยกเลิกรถสองแถวทั่วประเทศไปเลย

3. รถเมล์ขนส่งมวลชนซึ่งปัจจุบันไม่มีเข็มขัดนิรภัยให้กับผู้โดยสารเลย ข้อบังคับนี้ก็ต้องบังคับด้วย หมายความว่าผู้โดยสารทุกคนก็ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยใช่หรือไม่? หรือต่อไปนี้ห้ามยืน นอกจากนี้แล้วจะต้องเสียเงินเพิ่มในการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยเก้าอี้นั่งด้วยเงินเท่าไหร่? อีกทั้งผู้โดยสารแบบยืนจะทำอย่างไร? ราคาค่าโดยสารจะต้องเพิ่มขึ้นขนาดไหน?

4. รถปิกอัพและชาวบ้านในชนบทจะหาทางออกให้เขาอย่างไร?

5. รถปิกอัพของทางราชการจะถูกตั้งข้อหาละเว้นหรือไม่?

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถึงขั้นมาตรา 44 แค่ พล.อ.ประยุทธ์ มีแนวคิดแบบนี้ออกมาศึกษาความเป็นจริงในสังคมไทย