วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
"จาตุรนต์" ติงร่างพรบ.พรรคการเมือง เปิดทางนายกฯคนนอก-สร้างความขัดแย้ง
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
กฎหมายพรรคการเมือง : แท้จริงแล้วต้องการอะไร?
ที่สนช.กำลังแปรญัตติร่างพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เกี่ยวกับค่าสมาชิกก็ดี ทุนประเดิมพรรคก็ดีนั้น ดูเผินๆก็เหมือนกับว่า สนช.จะรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยูบ้าง แต่จริงๆแล้วประเด็นที่จะแก้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย
เรื่องสำคัญที่ยังคงอยู่และเป็นปัญหาใหญ่ คือ การกำหนดเงื่อนไขสำหรับการประกาศนโยบายต่างๆ การให้กรรมการบริหารพรรครับผิดกรณีสมาชิกพรรคทำผิดกฎหมาย และการให้น้ำหนักกับสมาชิกพรรคและสาขาพรรคในการกำหนดผู้สมัครหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ซึ่งโดยรวมแล้ว จะทำให้พรรคการเมืองหาสมาชิกได้ยากพร้อมๆกับไม่ประสงค์จะให้มีสมาชิกมากๆ ทำให้พรรคการเมืองส่วนใหญ่มีสมาชิกน้อยและไม่เป็นพรรคของมวลชน พรรคเล็กๆและพรรคใหม่เกิดยากและอยู่ยาก
นอกจากนี้ จะเกิดปัญหาในการบริหารพรรคการเมือง อาจเกิดความขัดแย้งภายในพรรคจนไม่เป็นอันทำงาน และที่สำคัญมาก คือ บทบาทพรรคการเมืองในการรวบรวมความต้องการของประชาชนมาสังเคราะห์เป็นนโยบาย เพื่อเสนอให้ประชาชนตัดสินในการเลือกตั้งและเอาไปกำหนดเป็นนโยบายของรัฐบาล จะลดน้อยลงหรือหายไป
การกำหนดให้กรรมการบริหารต้องรับผิดต่อการทำผิดกฎหมายของสมาชิกนั้น เป็นการผิดธรรมชาติและไม่มีองค์กรอื่นทำกัน พรรคการเมืองไม่มีและไม่ควรมีอำนาจตามกฎหมายที่จะจัดการกับสมาชิกพรรค ในกรณีที่สมาชิกพรรคไปทำผิดกฎหมายบ้านเมือง นอกจากการให้พ้นสมาชิกภาพ แต่กรรมการบริหารกลับต้องรับผิดเมื่อสมาชิกทำผิดกฎหมาย เหมือนกับทหารคนหนึ่งไปทำผิดกฎมายแล้วให้ผบ.ทบ.ต้องรับผิดไปด้วยหรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านทำผิดกฎหมายแล้วให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยรับผิดไปด้วย
การให้สมาชิกและสาขาพรรคมีอำนาจบทบาทในการตัดสินใจเรื่องต่างๆนั้น อาจจะเหมาะสำหรับระบบที่ต้องการให้พรรคการเมืองอาศัยสมาชิกจำนวนมากๆเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภา
แต่เมื่อกฎหมายพรรคการเมืองให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งถึงขั้นบังคับว่า พรรคการเมืองต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง การให้น้ำหนักสาขาและสมาชิกในการกำหนดผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กลับจะทำให้ขัดแย้งกับประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค
อาจจะเกิดกรณีที่สาขาพรรคและสมาชิกพรรคจำนวนไม่กี่คนต้องการคนที่ตนคุ้นเคยหรือนิยม แต่ประชาชนในเขตนั้นหรือจังหวัดนั้นไม่ชอบเลย ขณะที่กรรมการการบริหารพรรคและส.ส.หรือรัฐมนตรีของพรรค ซึ่งต้องการให้ได้ส.ส.มากๆ อาจจะทำโพลล์สอบถามประชาชนทั้งเขตเลือกตั้ง และพบว่าประชาชนนิยมคนที่สมาชิกไม่ได้เสนอ ก็จะกลายเป็นความขัดแย้งในพรรคและทำให้พรรคไม่เป็นที่นิยมของประชาชนก็ได้
สำหรับการกำหนดเงื่อนไขในการประกาศนโยบายที่จะต้องใช้เงินตามมาตรา 51 นั้น จะทำให้พรรคการเมืองส่วนใหญ่จะมีข้อจำกัดในการเสนอนโยบายอย่างมาก นโยบายหลายๆอย่างเวลาจะนำไปปฏิบัติจะต้องมีการวางแผนบริหารงานและจะต้องเข้าสู่กระบวนการจัดทำคำขอและการอนุมัติงบประมาณที่ต้องมีการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการนั้นๆ และความเป็นไปได้ในการจัดสรรทรัพยากรในภาพรวมทั้งโดยฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติอยู่แล้ว
การกำหนดให้พรรคการเมืองคำนวณความคุ้มค่าและแจกแจงแหล่งที่มาของงบประมาณและรายละเอียดของแต่ละโครงการจึงไม่สอดคล้องกับการบริหารงานที่เป็นจริง และยิ่งให้กกต.เป็นผู้ตัดสินว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ ก็จะยิ่งเป็นปัญหามากขึ้น การเสนอนโยบายจำนวนมากที่ต้องใช้เงิน อาจทำไม่ได้หรือไม่ได้รับความเห็นชอบจากกกต.ทั้งๆที่เป็นนโยบายหรือทิศทางที่ดีและเป็นประโยชน์
โดยรวมแล้วร่างกฎหมายพรรคการเมืองนี้ จะทำลายบทบาทของพรรคการเมืองทั้งหลายและทำให้ระบบพรรคการเมืองซึ่งเป็นกลไกสำคัญของระบบรัฐสภาและประชาธิปไตยอ่อนแอลงอย่างมาก
ระบบอย่างนี้ เหมาะกับรัฐบาลที่มีคนนอกเป็นนายกฯ ซึ่งนโยบายต่างๆจะถูกกำหนดโดยข้าราชการประจำที่จะทำตามนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์ชาติเป็นหลักโดยไม่ต้องคำนึงถึงความต้องการของประชาชน
แต่ถ้านายกฯมาจากการเลือกตั้งและพรรคการเมืองต่างๆร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลขึ้น พรรคการเมืองจะต้องสาละวนอยู่กับปัญหากฎหมายและความขัดแย้งในพรรค ที่สำคัญจะไม่สามารถกำหนดนโยบายตามที่สัญญากับประชาชนไว้ เนื่องจากกระบวนการที่พรรคการเมืองประกาศนโยบายต่อประชาชนแข่งกันจะถูกขัดขวางตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งแล้ว
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องนอกเหนือความคาดหมาย เพราะเป็นความตั้งใจของแม่น้ำ 5 สายมาตั้งแต่ต้น
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น