วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

"ทนายวันชัย" เตือนค้นบ้านยิ่งลักษณ์ ตั้งข้อสังเกตหมายจับสิ้นสภาพ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายวันชัย บุนนาค นักวิชาการด้านกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ แฟนเพจ ทนายวันชัย บุนนาค โดยมีเนื้อหาดังนี้

ในฐานะผมเป็นทนายความมา 32 ปี รู้สึกห่วงใยต่อกระบวนการยุติธรรมจริงๆ เพราะตอนนี้การบังคับใช้กฎหมาย ใช้การตีความขยายความแบบไปกันใหญ่แล้ว จะไม่ให้ประชาชนรู้สึกว่าเลือกปฏิบัติได้อย่างไร
ผมอ่านจากข่าว เช่น หมายจับอดีตนายกรัฐมนตรีให้มาฟังคำพิพากษา เมื่อถึงวันที่ 27 กันยายน 2560
เมื่อภายหลังศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษาลับหลังแล้ว หมายจับนี้สิ้นสภาพทันที

ตำรวจไม่ว่าตำแหน่งใหญ่เท่าไหน หากยังคงใช้หมายจับให้จับตัวมาฟังคำพิพากษาที่สิ้นสภาพแล้ว เพื่อไปใช้ตามจับ ไปใช้ค้นบ้าน อดีตนายกยิ่งลักษณ์ฯอีกได้หรือ? ประเด็นตรงนี้คือ เพราะเขาอ้างว่าได้ขอศาลอาญาและศาลอาญาออกหมายค้นให้โดยน่าจะมาจากคดีรับจำนำข้าว ซึ่งตรงจุดนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าอ้างจากหมายจับให้มาฟังคำพิพากษาที่สิ้นสภาพไปแล้ว หรืออ้างคำพิพากษาที่เพิ่งตัดสินอย่างเดียว แต่ไม่ว่าจะอย่างใด ก็น่าจะถือว่าทำผิด

  • เพราะหมายจับให้มาฟังคำพิพากษานั้น สิ้นสภาพไปแล้วนับแต่มีการอ่านคำพิพากษาลับหลัง
  • ส่วนคำพิพากษา คดียังไม่ถึงที่สุด (เพราะอาจมีอุทธรณ์) และศาลยังไม่ได้ออกหมายแดง

ดังนั้นที่ถูกต้อง น่าจะแยกแยะให้ชัดเจน และต้องให้ศาลออกหมายแดงก่อน และเป็นช่วงของการติดตามจับตัวมารับโทษ ส่วนการที่ไปขอหมายค้นจากศาลอาญาโดยอ้างหมายจับให้จับตัวอดีตนายกฯมาฟังคำพิพากษานั้น ถ้าสมมุติว่าเป็นในทำนองนั้น มันจะเป็นที่แคลงใจนะครับว่า ทำได้หรือไม่ หมายค้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?

ผมจึงเป็นห่วงว่า การบังคับใช้กฎหมายกันอย่างไม่เท่าเทียม และไม่ตรงตามตัวบทกฎหมาย ไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญจะยังผลให้มหาชนสิ้นศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม

ด้วยความห่วงใย
ทนายวันชัย บุนนาค
30 กันยายน 2560

"หมวดเจี๊ยบ" เตือนสติ "ประยุทธ์" ผลประโยชน์ค้าอาวุธ สุ่มเสี่ยงละเอียดอ่อน


ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า "ขณะนี้สื่อต่างประเทศอ้างข้อมูลจากทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าในการพบหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์หน้านี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังจะไปเจรจาขอซื้ออาวุธล็อตใหม่จากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังจะไปปิดดีลการส่งมอบ เฮลิคอปเตอร์ รุ่นแบล็คฮอว์ค 4 ลำ ที่กองทัพไทยเคยเจรจาซื้อจากสหรัฐอเมริกาค้างไว้ ตั้งแต่สมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ยังปิดดีลไม่สำเร็จ เพราะเกิดการยึดอำนาจโดย คสช. ขึ้นเสียก่อนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ทำให้ดีลซื้อเฮลิคอปเตอร์ครั้งนั้นต้องหยุดชะงักเพราะยังไม่ได้ส่งมอบ เพราะเหตุนี้หรือเปล่า จึงต้องมีการตามไปปิดดีลกันอีกรอบ และไม่ทราบว่าดีลซื้อขายอาวุธครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเอาผลประโยชน์ของชาติไปแลกด้วยหรือไม่? เพราะสื่อต่างประเทศระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมกดดันให้ประเทศไทย เป็นหัวหอกในภูมิภาคเพื่อคว่ำบาตรรัฐบาลเกาหลีเหนือซึ่งกำลังมีความขัดแย้งตึงเครียดกับสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นที่ตั้งของสถานทูตเกาหลีเหนือ โดยสื่อต่างประเทศยังแฉอีกด้วยว่า เมื่อครั้งที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา คือ นายเร็กซ์ ทิลเลอสัน พบหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในไทยเมื่อเดือนที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ อาจปิดบังความจริงเรื่องความสัมพันธ์ทางการค้ากับเกาหลีเหนือ ซึ่งไทยอ้างว่า การค้าระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือในปีนี้ลดลงไปแล้วถึง 94 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสวนทางกับข้อมูลของรอยเตอร์ ที่ระบุว่าการลงทุนของเกาหลีเหนือในไทยยังมีมูลค่าสูงเท่าเดิม และไม่พบว่าธนาคารของไทยจะปิดบัญชีของนักธุรกิจเกาหลีเหนือแต่อย่างใด ไม่ทราบว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่? แต่ถ้าเป็นความจริง ก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจ 

พล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องชี้แจงต่อสังคม ว่า การเยือนสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ไทยจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่? และจะได้ประโยชน์อย่างไร? เพราะไม่เห็นว่าสหรัฐอเมริกาจะใส่ใจกับประเด็นหารือ เกี่ยวกับการพัฒนาการค้าและการลงทุนกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นรูปธรรมอย่างที่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พยายามประโคมข่าวแต่อย่างใด เห็นสหรัฐอเมริกาเน้นแต่เรื่องการเจรจาซื้ออาวุธและประเด็นเกี่ยวกับสงคราม และความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือเท่านั้น นอกจากนี้ ก็น่าสงสัยด้วยว่า ถ้ารัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการยอมรับจากชาติมหาอำนาจจริง เหตุใด ในแผนการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียเป็นครั้งแรกของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างวันที่ 3-14 พฤศจิกายน 2560 นั้น ทำไมจึงไม่มีรายชื่อประเทศไทยอยู่ใน 5 ประเทศที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะไปเยือน ทั้งๆที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดจะไปเยือนเวียดนามและฟิลิปปินส์ด้วย ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ไกลจากประเทศไทย มันแปลกหรือไม่ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อุตส่าห์บากหน้าเดินทางดั้นด้นไปหาประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงสหรัฐอเมริกา โดยเอาภาษีคนไทยไปจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินและค่ากินอยู่หลายสิบล้าน แต่พอ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางมาใกล้ๆ เมืองไทยแค่ปลายจมูกนิดเดียว กลับเลือกที่จะเดินทางข้ามประเทศไทยไปโดยไม่คิดจะแวะมาเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังถูกสหรัฐอเมริกาบีบฝ่ายเดียว เพราะสหรัฐอเมริกาตระหนักดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อยู่ในฐานะจะต่อรองอะไรได้มากนัก เพราะมีที่มาไม่ชอบธรรมจึงเป็นฝ่ายต้องง้อประชาคมโลก และต้องยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้พอมีที่ยืนในเวทีประชุมกับต่างประเทศบ้างหรือแค่ได้สัมผัสมือกับผู้นำต่างชาติที่มีชื่อเสียงบ้างก็พอใจแล้ว เพื่อหวังสร้างภาพให้คนไทยเห็นว่าตัวเองไม่ได้ถูกต่างชาติรังเกียจ"

ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวต่อไปว่า "อย่างไรก็ตาม ตนขอเตือนสติ พล.อ.ประยุทธ์ ว่ากรณีความขัดแย้งสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก โดยทุกๆการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีผลผูกพันกับชะตากรรมของคนไทยทั้งชาติ โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปยื่นหมูยื่นแมวกับมหาอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ด้านการค้าอาวุธหรือเพื่อสร้างภาพทางการเมืองเพื่อแลกกับการได้เข้าไปยืนสัมผัสมือประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถ่ายภาพในทำเนียบขาวเพื่อสร้างภาพว่าไม่ได้ถูกตั้งข้อรังเกียจจากประชาคมโลก แต่ความจริงแล้ว หลังฉากการเจรจา ไม่ทราบว่ามีการเอาผลประโยชน์ของชาติเรื่องใดไปต่อรองแลกมาหรือไม่? แถมยังเอาภาษีของคนไทยจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินและค่าเบี้ยเลี้ยงคณะทำงานของผู้ที่อ้างตัวเป็นผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย เป็นเงินหลายสิบล้านบาท ทั้งๆที่รัฐบาลไทยถังแตกถึงขนาดที่ไม่มีเงินจะจ่ายเบี้ยยังชีพคนชราเดือนละ 500-600 บาท ถึงขั้นจะเอายันต์เจ้าคุณธงชัยไปจ่ายเป็นค่าสวัสดิการผู้สูงอายุ แทนค่าเบี้ยคนชรา ทั้งยังจ้องจะเก็บภาษีจากชาวไร่ชาวนาที่ใช้น้ำเพื่อทำการเกษตรอีก แต่รัฐบาลกลับมีความคิดจะใช้งบประมาณแผ่นดินไปซื้ออาวุธอีกเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาทได้ เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวถึงความเดือดร้อนของประชาชน และเหมือนไม่สนใจว่าอะไรคือความจำเป็นเร่งด่วนของประเทศในเวลานี้"

"เพื่อไทย" อัดรัฐเก็บค่าน้ำ เพิ่มภาระเกษตรกร


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณีรัฐบาลมีนโยบายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... มีหลักการให้เก็บค่าใช้น้ำจากเกษตรกรและผู้ใช้น้ำ ว่า "การจะเรียกเก็บค่าใช้น้ำจากเกษตรกร ควรดูว่าสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันของเกษตรกรมีความพร้อมที่จะจ่ายค่าใช้น้ำหรือไม่? การที่รัฐบาลกำลังปลื้มตัวเลข GDP ที่สูงขึ้น และกำลังประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง นั้น ตนเกรงว่าจะทำให้ประชาชนที่ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านเข้าใจว่าเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศดีขึ้น เพราะในข้อเท็จจริง ทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นฝ่ายประจำ เห็นว่าเศรษฐกิจที่โตขึ้นนั้น เป็นการเติบโตแบบกระจุกตัว ได้ประโยชน์เฉพาะส่วนบน ซึ่งได้แก่ภาคส่วนการส่งออกของบริษัทใหญ่ๆ เป็นหลัก ส่วน SME และเกษตรกรชาวรากหญ้ายังย่ำแย่ ทั้งนี้ โดยส่วนตนเห็นว่าชาวนาไม่ได้รับประโยชน์ที่เศรษฐกิจโตขึ้นดังกล่าว มีแต่จะเพิ่มความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนให้เพิ่มมากขึ้น"
         
นายชวลิต กล่าวต่อไปว่า "ดังนั้น ตนจึงเห็นแย้งนโยบายการเก็บค่าใช้น้ำจากเกษตรกร เพราะทุกวันนี้เกษตรกรชาวนามีแต่หนี้สินรุงรัง รายรับไม่พอกับรายจ่าย ทั้งอาชีพเกษตรกรมีความเสี่ยงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ ฝนตก น้ำท่วม หรือโรคแมลงระบาด รัฐบาลในอดีตถึงพยายามคิดนโยบายอุดหนุนเกษตรกร เช่น โครงการรับจำนำข้าว ซึ่งช่วยให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้ แต่บัดนี้ รัฐบาลปัจจุบันได้ยุติโครงการรับจำนำข้าวไปแล้ว โดยไม่มีอะไรมาทดแทน ซ้ำจะมาเพิ่มภาระด้วยการเก็บค่าใช้น้ำจากเกษตรกร ตนจึงเห็นว่าเป็นนโยบายที่ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่เกษตรกรกำลังได้รับความเดือดร้อนดังกล่าว จึงควรชะลอ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกไปก่อน"
         
นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า "หนทางที่เหมาะสมขณะนี้ก็คือ รัฐบาลควรบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะประเทศไทยมีปริมาณฝนตกมาก แต่น้ำไหลลงทะเลมากกว่าเก็บกักไว้ใช้เพื่อการเกษตรและด้านอื่นๆ"

"นพดล" แนะจับตาแผนยุทธศาสตร์ชาติ ไม่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ


นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า "เห็นรายชื่อกรรมการจัดทำร่างยุทธศาสตร์แล้ว ไม่ขอวิจารณ์ตัวบุคคล ที่มา และการมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ แต่เราต้องบอกความจริงกับคนไทยว่า ความสำเร็จมาจากการทำงานหนักและประสิทธิภาพของคนทำ ไม่ใช่ความขยันในการพูดหรือจำนวนแผนที่ร่างกันขึ้นมา เราเคยตั้งคำถามไหมว่าประเทศมีหน่วยงานด้านการวางแผน และมียุทธศาสตร์ด้านต่างๆเต็มไปหมด แต่ที่เราขาดคือการนำแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังใช่หรือไม่? เช่น เรื่องคุณภาพการศึกษา ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ เป็นต้น เราพูดเรื่องเหล่านี้มานาน และไม่เคยขาดแคลนแผนต่างๆ แต่วันนี้การพูดเรื่องเหล่านี้ยังทันสมัยอยู่ เพราะอะไร? เพราะปัญหาเหล่านี้ยังมีอยู่ใช่หรือไม่? ความสามารถและประสิทธิภาพของบุคคลและหน่วยงานคือสิ่งที่ต้องการใช่ไหม? ขนาดบางรัฐบาลที่ผู้เกี่ยวข้องมีอำนาจมากกว่ารัฐบาลอื่น ถามว่าขณะนี้คุณภาพการศึกษามีทิศทางดีขึ้นไหม? ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมแคบลงไหม? ความปลอดภัยทางถนนดีขึ้นไหม? ทรัพยากรธรรมชาติเป็นอย่างไร? จริงอยู่เราไม่สามารถแก้ปัญหาชั่วข้ามคืน แต่อย่างน้อยต้องมีทิศทางและความสำเร็จเบื้องต้น"

นายนพดล กล่าวต่อไปว่า "ตนเห็นว่าความท้าทายของสังคมไทยอยู่ที่ผลของงานที่เป็นรูปธรรม และการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ดังนั้น ยุทธศาสตร์ที่ต้องการคือยุทธศาสตร์ในการทำงานให้สำเร็จใช่หรือไม่? อยากให้ประชาชนติดตามดูผลงาน และให้เครดิตบุคคลหรือหน่วยงานที่ทำงานสำเร็จ มากกว่าการพึงพอใจกับจำนวนแผนที่ร่างขึ้น"

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

“พานทองแท้” ยืนยันไม่ได้ฟอกเงิน ส่งทนายขอความเป็นธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ว่า ทนายชุมสาย ศรียาภัย ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นายพานทองแท้ ชินวัตร เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จากกรณี สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ได้เข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ ในความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1),(2) โดย นายชุมสาย ยืนยันว่า นายพานทองแท้เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีเจตนาซุกซ่อน ปกปิด อำพรางแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น เนื่องจาก

1. คดีกรุงไทยเป็นความเกี่ยวพัน 3 กลุ่ม คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และ บริษัทกฤษดามหานคร คุณพานทองแท้เป็นบุคคลภายนอก

2. เช็ค 10 ล้าน คุณพานทองแท้ ได้มาก่อนการตรวจสอบการขออนุมัติสินเชื่อตามทางการค้าปกติในธุรกิจทั่วไป

3. จากการตรวจสอบพบว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทกฤษดามหานคร ติดต่อกัน 20 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535-2555 แต่พนักงานสอบสวนไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหา เหตุเพราะคงเชื่อว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการทุจริต หรือการฟอกเงิน จึงจะเกณฑ์ให้คุณพานทองแท้ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต้องมีส่วนรู้เห็นได้อย่างไร? เป็นเรื่องผิดวิสัย ผิดธรรมชาติ

4. มีบุคคล และนิติบุคคล รวม 150 ราย ได้เช็คทำนองเดียวกัน ในลักษณะกระจาย เหตุใด? ต้องพยายามเร่งรัดรีบร้อนแจ้งดำเนินคดีกับคุณพานทองแท้ ในลักษณะกระจุก

5. ไม่มีผู้เจตนากระทำผิดฐานฟอกเงินรายใด ทำธุรกรรมผ่าน Cheque (เช็ค) เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามเส้นทางการเงิน

6. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 วรรคสอง ในการจะแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลใด พนักงานสอบสวนต้องมีหลักฐานตามสมควร ไม่ได้เปิดช่องดุลยพินิจแบบไร้ขอบเขต

7. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถทำได้ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นความผิด หรือความบริสุทธิ์ พนักงานสอบสวนมีอำนาจ จึงมีหน้าที่กระทำทั้ง 2 ทาง

ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเห็นว่าพฤติการณ์ทั้งปวง ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย คุณพานทองแท้ ยังห่างไกลเหตุที่เจ้าหน้าที่จะแจ้งข้อกล่าวหาว่าทำผิดทางอาญาฐานฟอกเงินได้ จึงมาขอความเป็นธรรมกับอธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ

“วันชัย” ยื่นสอบเส้นทางเงินคดีกรุงไทย แนะเป็นธรรมเท่าเทียม-ไม่เลือกปฏิบัติ


(28 กันยายน 2560) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวันชัย บุนนาค นักวิชาการด้านกฎหมาย เดินทางมายื่นหนังสือและส่งเอกสารสำคัญ เส้นทางการเงินของกลุ่มกฤษดานคร ต่อ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้พิจารณาสอบสวน และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินธนาคารกรุงไทย อย่างไม่เลือกปฏิบัติ เสมอภาค และเท่าเทียม

ทั้งนี้ ทนายวันชัย บุนนาค นักวิชาการด้านกฎหมาย เดินทางมายื่นหนังสือและภาพถ่ายหลักฐานสำคัญต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยระบุว่า "ปรากฏพบเส้นทางการเงินจากกลุ่มกฤษดานครไปยังมูลนิธิ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่คนดัง โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับกรณีพานทองแท้และพวก ส่วนจำนวนเงินมากน้อยไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สาระสำคัญอยู่ที่ เงินที่อนุมัติสินเชื่อกรุงไทย ศาลฎีกาตัดสินว่าผิดกฎหมาย แล้วกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็รับเป็นคดีพิเศษแล้ว ดังนั้นเมื่อพบเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องจะไปสู่บุคคลใดก็ตาม เงินเป็นพันๆล้านบาท คงไม่ใช่ไปแค่ไม่กี่คน"

"เมื่อผมไปพบเอกสารเส้นทางการเงินไปมูลนิธิดังและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จึงนำมามอบให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อประกอบเข้าในคดีฟอกเงินกรุงไทยอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ จึงเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษควรกระทำให้กระจ่างว่าผิดหรือไม่ผิด" ทนายวันชัย



วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

“กิตติรัตน์” หนุน “ยิ่งลักษณ์” มุ่งมั่นจำนำข้าวช่วยชาวนา


วันนี้ (14 พฤษภาคม 2560) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ไม่ว่าคำพิพากษาในวันนี้จะเป็นประการใด ผมขอยืนยันในเจตนาดี และความมุ่งมั่น ของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ชาวนา ผู้ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ จำนวนกว่า 15 ล้านคน (23% ของคนทั้งประเทศ)

ท่านมีทั้งความรู้ และความเข้าใจที่ดีในสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งประเทศที่สามารถสร้างสมดุลให้ดีขึ้นได้ด้วยหลักการทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง Marginal propensity to consume

ผมเคารพ นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรครับ


วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

ทนายวิญญัติ สอนกฎหมาย ยืนยันช่วยยิ่งลักษณ์ไม่ผิด


ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ยืนยันว่า การช่วยเหลือนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย ไม่เป็นความผิด โดยมีเนื้อหาดังนี้

#นี่ถ้าเป็นผู้เข้าสอบก็ถือว่า "สอบตก" แต่พอเป็นทนายความหรือนักกฎหมาย เขาเรียกว่า “เสียเหลี่ยม”
มีคนออกมาชี้เอาความผิดแบบหนักแน่น ว่าตำรวจ 3 นาย ที่ให้ปากคำว่ามีการขับรถยนต์ให้อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วยพาเดินทางไปทางจังหวัดติดชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ถือเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 นั้น ก็เป็นเรื่องเป็นราวอยากให้เป็นประเด็นติดกระแสไว้ก็ว่ากันไปตามประสาคนอยากมีหน้ามีตาหรือไม่ไม่ทราบ แต่อาจจะขายขี้หน้าได้ก็ต้องยอมรับไปเองแล้วกัน
#เหตุผลคืออะไร?

มาว่ากันด้วยองค์ประกอบความผิด มาตรา 189 ที่จะถือเป็นความผิด มีดังนี้ ช่วยผู้อื่นซึ่งเป็น ”ผู้กระทำความผิด” หรือ “เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด” อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องรับโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้ โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม

การกระทำ จะต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
1)โดยให้ที่พัก หรือ
2)โดยซ่อนเร้น หรือ
3)โดยช่วยอย่างอื่น เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม

แยกออกเป็น 2 กรณี คือ
•กรณีแรก ช่วยผู้กระทำความผิดหรือผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด เพื่อมิให้ต้องรับโทษ การกระทำที่เป็นช่วยเหลือ อันจะเป็นความผิดต่อเมื่อให้ที่พำนักแก่บุคคลดังกล่าว ซึ่งเป็นกรณีที่ยังไม่มีพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานจะจับกุม ดังนั้น การกระทำความผิดกรณีนี้ จะมีเฉพาะการให้พำนักหรือซ่อนเร้นผู้กระทำความผิดเท่านั้น (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2449/2522)
•กรณีที่สอง ช่วยผู้กระทำผิดหรือผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดด้วยประการใดๆ เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อไม่ให้ต้องรับโทษ
ก็รณีนี้ต้องมีพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานจะเข้าจับกุมหรือมีพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานติดตามจับกุมอยู่ ช่วยด้วยประการใดๆรวมถึงให้พำนักหรือซ่อนเร้นเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม จึงจะเป็นความผิด (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2448/2521)

#ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด

ส่วนอดีตนายกรัฐมนตรี แม้จะถูกกล่าวหาและถูกฟ้องดำเนินคดีอาญา และได้รับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดี โดยมีเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศก็ตาม เมื่อคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดว่ามีความผิดตามฟ้อง ก็ต้องถือว่าอดีตนายกฯไม่ใช่ผู้กระทำผิด (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2517)

#หมายจับเพื่อให้มาศาล

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว เพื่อให้ชัดเจนขึ้นอีก ขอย้ำว่า การที่ศาลออกหมายจับเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 นั้น ก็เพราะไม่ได้เดินทางไปศาลเพื่อไปฟังคำพิพากษา ศาลท่านก็ออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัวมาฟังคำพิพากษาของศาลฯ จึงมิใช่ออกหมายจับเพราะอดีตนายกฯกระทำผิดฐานหลบหนีไม่ไปศาลหรือเป็นผู้กระทำความผิดฐานใด จะมีเพียงก็เป็นการผิดสัญญาประกัน ศาลก็ต้องปรับนายประกันยึดหลักประกันไปตามสัญญาที่ทำไว้กับศาลเท่านั้น

เมื่อถึงวันนัดอ่านคำพิพากษา คือวันที่ 27 กันยายน ศกนี้ การอ่านคำพิพากษาลับหลังนั้น หากถูกตัดสินว่ามีความผิดให้ลงโทษทางอาญา ก็ต้องออกหมายจับเพื่อให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่นำตัวมารับโทษตามคำพิพากษา แต่หากตัดสินให้ยกฟ้องก็ถือว่าพ้นความผิดในคดีนี้

ทั้งหมดที่กล่าวมา สรุปว่า การกระทำของตำรวจทั้ง 3 นาย ไม่เข้าข่ายเป็นความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 189
หวังว่า บรรดาผู้มีหน้ามีตาทั้งหลาย ควรจะเลิกชี้ช่องแบบผิดๆกันได้แล้วนะครับ

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

สยบข่าวลือ! "วัฒนา" ป้อง "สุดารัตน์" ยืนยันไม่มีต่อสาย คสช.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


"นี่แหละ...คนดี"

ถ้าผมเป็นคุณหญิงสุดารัตน์ฯ จะขอบคุณพลเอกประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรีและรองหัวหน้า คสช. ที่ออกมาตอบโต้คุณหญิงฯ ที่ไปแสดงความเห็นในเวทีการสัมมนาสาธารณะว่า "อยากมั่นใจให้มีการเลือกตั้งให้มาทำเอง" การตอบโต้ของพลเอกประวิตรฯ ทำให้ประชาชนหูตาสว่างถึงวาทกรรมของคำว่า "คนดี" เพราะพลเอกประวิตรฯ เป็นหนึ่งในบรรดาคนดีที่ถูกบุคคลสำคัญยกย่องว่าออกมาช่วยพลเอกประยุทธ์ฯ แก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง

ส่วนผมไม่เคยคิดว่าพวกที่ยึดอำนาจไปจากประชาชนเป็นคนดี เพราะเผด็จการก็คือเผด็จการที่ไม่เคยคิดอะไรมากไปกว่าการบริหารอำนาจที่ยึดไปจากประชาชนให้อยู่กับตัวเองนานที่สุด ไม่เคยสำนึกว่าอำนาจที่ยึดไปนั้นเป็นของประชาชนที่ยึดไปโดยไม่มีเงื่อนไข แต่เวลาจะคืนอำนาจกลับมีเงื่อนไขและข้ออ้างสารพัด ที่สำคัญคือการอ้างกระบวนการทางกฎหมายที่ตัวเองไม่เคยเคารพเพราะเป็นคนฉีกรัฐธรรมนูญกับมือ การออกมาตอบโต้ดังกล่าวยังทำให้ภาพทางการเมืองของคุณหญิงมีความชัดเจนขึ้น ใครที่เคยกล่าวหาว่าคุณหญิงมีคอนเนคชั่นกับพี่ใหญ่ของ คสช. นักวิชาการที่เคยกลัวว่าคุณหญิงจะนำพรรคเพื่อไทยไปฮั้วกับ คสช. การออกมาตอบโต้แบบไม่เกรงใจของพลเอกประวิตรฯ คงเป็นคำตอบ

"อนุสรณ์" ป้อง "สุดารัตน์" เร่ง "ประวิตร" กำหนดวันเลือกตั้ง


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบโต้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่เรียกร้องให้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ประกาศวันเลือกตั้งที่ชัดเจน หากไม่มั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งปี 2561 นั้นก็ให้คุณหญิงสุดารัตน์มาทำเอง ว่า ความจริงเรื่องนี้ไม่อยากตอบโต้และเคารพในความคิดเห็นของพลเอกประวิตร ประเด็นที่พูดถึงนั้นเกิดจากการที่ตัวแทนพรรคการเมืองไปร่วมอภิปรายสัมมนาสาธารณะ ซึ่งกล่าวตรงกันว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ หากได้กำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน คุณหญิงสุดารัตน์ยังได้ย้ำว่า นักการเมืองเป็นกลุ่มคนสุดท้ายที่จะเดือดร้อนหากไม่มีการเลือกตั้ง แต่ก็เกรงว่าประเทศชาติจะเสียโอกาส คุณหญิงสุดารัตน์พูดด้วยเจตนาที่ดี ส่วนการบอกว่าหากไม่มั่นใจให้มาทำเองนั้น ท่านเองก็รู้ดีว่าเข้าไปทำไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจ ไม่ได้เป็น คสช. กรธ. แต่คนที่กำหนดได้คือองคาพยพของแม่น้ำ 5 สาย ที่ต้องเร่งกำหนดวันเลือกตั้งและช่วยกันดำเนินการให้ทันตามโรดแมป เช่น กรธ. เพิ่มวันทำงานเสาร์-อาทิตย์ ทำงานให้หนักขึ้น เลิกให้ดึกขึ้น ส่วนที่บอกว่าประชาชนไม่อยากให้มีการเลือกตั้งนั้น ไม่แน่ใจว่าท่านนำข้อมูลมาจากไหน เพราะสวนดุสิตโพล และซูเปอร์โพล ต่างก็สะท้อนว่าประชาชนอยากเห็นเลือกตั้งเกิดขึ้นปี 2561 การกำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจนจะเป็นประโยชน์ในแง่เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมา

สุดทน! "วีระ" บุก ปปง. แนะอย่าเลือกปฏิบัติคดีฟอกเงินกรุงไทย


วันนี้ (25 กันยายน 2560) เวลา 10.00น. นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ณ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมายฐานฟอกเงินกับผู้กระทำความผิดอีกกว่า 140 ราย ในคดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เพื่อนำเงินที่เสียหายกลับคืนแผ่นดิน นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มเติมชื่อของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. เนื่องจาก นายมีชัย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนโดยยอมรับว่าเคยเป็นผู้บริหารของบริษัทดังกล่าว บริษัทกฤษดานคร ไม่มีความผิดเนื่องจากไม่รู้ว่าผู้ที่จะมาซื้อหุ้นจะกระทำการทุจริตในลักษณะใดมาก่อน และไม่ใช่หน้าที่ของบริษัทที่จะตรวจสอบที่มาของเงิน ซึ่งจากข้อมูลที่ นายวีระ ตรวจสอบพบว่า ภายหลังจากที่มีการดำเนินคดีในเรื่องดังกล่าวในปี 2555 นายมีชัย ก็ขอลาออกจากตำแหน่งประธาน คณะกรรมการบริหารบริษัททันที ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ นายมีชัย จะไม่รู้เรื่องการกระทำความผิดในลักษณะการฟอกเงินดังกล่าว ทั้งที่ผู้บริหารรายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องถูกดำเนินคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปเกือบทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้ จึงขอให้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินตั้งแต่ปี 2546 ว่าบุคคลต่างๆ มีความผิดปกติทางการเงินหรือไม่ ซึ่งหากพบการกระทำความผิดก็ให้ดำเนินการติดตามยึดทรัพย์ทันที


"ไม่ได้แปรพักตร์จากฝ่ายไหนมาเล่นงานใคร ยืนยันว่าจะทำการตรวจสอบผู้ที่กระทำการทุจริตทุกคนที่ตนมีข้อมูล" นายวีระ กล่าว


ด้าน ร.ต.อ.ไพรัตน์ เทศพานิช เลขานุการกรมสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ( ปปง.) เปิดเผยว่าในเบื้องต้น จะรับเรื่องของนายมีชัย ไว้แต่เนื่องจากคดีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับบุคคลและหน่วยงานต่างๆอีกหลายส่วน จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ ซึ่งภายในวันนี้ (25 กันยายน 2560) จะดำเนินการยื่นเรื่องให้เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ตรวจสอบและพิจารณาสั่งการทันที

"นพดล" ห่วงยอดอุบัติเหตุพุ่ง เร่งรัฐหามาตรการป้องกัน


นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงเหตุการณ์รถบรรทุกชนทำให้มีคนเสียชีวิต 5 ราย ที่จังหวัดสระบุรี ซึ่ง 4 รายเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่กำลังทำงาน ซึ่งเบื้องต้นยังไม่มีผู้รับผิดชอบในระดับนโยบายออกมาพูดอะไร และเสนอแนวทางในการแก้ปัญหา ว่า "ตนเคยเตือนและให้ความเห็น แต่รัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้างที่จะไม่ให้ไทยเป็นประเทศอันดับต้นของโลกที่มีคนตายจากอุบัติเหตุและสูญเสียทั้งในทางเศรษฐกิจปีละหลายหมื่นล้านและคนตายนับหมื่นคน และสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุเกือบร้อยละ 70 มาจากการขับรถเร็วเกินกำหนด และรถที่เกิดอุบัติเหตุแล้วทำให้คนตายจำนวนมาก เช่น รถตู้ รถโดยสาร และรถบรรทุก ตนเคยเสนอให้รถเหล่านี้ควรติดตั้งเครื่องจำกัดความเร็ว เพื่อป้องกันการขับรถเร็วเกินกำหนด ซึ่งจะช่วยลดอุบัติเหตุได้มาก มาตรการนี้ทำกันในยุโรปหลายประเทศ เพราะทำแล้วได้ผล ถ้าไม่ดีเขาคงไม่ทำ แต่น่าเสียดายที่ผู้รับผิดชอบในระดับนโยบายและหน่วยงานในระดับปฏิบัติการยังไม่ได้พิจารณาข้อเสนอการติดดั้งเครื่องจำกัดความเร็วในรถตู้ รถโดยสาร และรถบรรทุก"

นายนพดล กล่าวต่อไปว่า "ตนจึงขอเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางบก และผู้เกี่ยวข้อง โปรดไปพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง ตนเชื่อว่าจะช่วยลดอุบัติเหตุดียิ่งกว่าติด GPS ที่เป็นการแก้ปลายเหตุและหามาตรการเสริมอื่นๆ ทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง จะได้ผล ขอให้คิดเสียว่าการป้องกันไม่ให้คนไทยผู้บริสุทธิ์และเปรียบเสมือนญาติของเราต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการขับรถเร็วแม้แต่คนเดียวก็คุ้มค่าแล้ว"

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

"พิชัย" ห่วงรัฐเอื้อประโยชน์นายทุน แนะลดความเหลื่อมล้ำช่วยประชาชน


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะทำงานฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า "ตามที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ บอกว่าการส่งออกฟื้นทำให้รัฐบาลเป็นขาขึ้น ไม่ไ้ด้เป็นรัฐบาลช่วงขาลงเหมือนที่ประชาชนทั่วไปรู้สึกกันอยู่ในตอนนี้ จึงอยากให้นายสมคิด ฟังคำพูดของนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ที่บอกชัดเจนว่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้น มีเพียง 10 บริษัทใหญ่เท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ธุรกิจ SME ยังแย่ ความเหลื่อมล้ำยังเป็นปัญหา ประชาชนส่วนใหญ่ยังลำบากกันมาก ยิ่งตอกย้ำข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์แก่นายทุนมากกว่าจะเห็นประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ และจะเป็นรัฐบาลขาขึ้นได้อย่างไรในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังย่ำแย่ขนาดขาขึ้นก่ายหน้าผากไม่ใช่แค่มือก่ายหน้าผาก

นายพิชัย กล่าวอีกว่า "การที่ส่งออกพึ่งฟื้นจากที่ลดลงมาหลายปีติดกัน จะทำอย่างไรให้การส่งออกฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องหากไม่มีการลงทุนเพิ่ม เพราะการลงทุนจริงในครึ่งปีแรกต่ำมาก มียอดการขอการส่งเสริมการลงทุนลดลงไปอีก และอยากให้นายสมคิดแถลงว่าที่นักลงทุนญี่ปุ่น 500-600 คนมาไทย มีการลงทุนจริงๆเท่าไหร่? นักลงทุนที่มาส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนเดิมที่มาลงทุนอยู่ในไทยแล้วใช่หรือไม่? การลงทุนใหม่มีน้อยมากใช่หรือไม่? เป็นแค่การจัดฉากใช่หรือไม่? แล้วจะให้การส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร? ห่วงเป็นแค่การฟื้นตัวชั่วคราวตามเศรษฐกิจโลกเท่านั้น ส่วน GDP ที่อาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.7-3.8% ในปีนี้ ก็ยังถือว่าต่ำมาก ไม่ใช่เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ เพราะยังต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีฐานเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน อีกทั้งเป็นการเติบโตจากฐานเดิมที่โตต่ำติดกันมาหลายปี ซึ่งนายสมคิดน่าจะทราบดี"

นายพิชัย กล่าวในที่สุดว่า "ดังนั้นหากนายสมคิดจะหวังจะช่วยไม่ให้รัฐบาลเป็นช่วงขาลง นายสมคิดจะต้องบริหารเศรษฐกิจให้ได้ผลดีกว่านี้มาก เพราะปัญหารัฐบาลขาลงปัจจุบันนอกจากเรื่องเศรษฐกิจที่ยังย่ำแย่แล้ว ยังมีข้อครหาเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ทั้งในปัจจุบันและในอดีต เช่น เรือเหาะที่ใช้การไม่ค่อยได้และต้องปลดระวาง , GT200 , ข้อกล่าวหาเรื่องการระบายข้าวดีแต่ขายในราคาข้าวเสีย , การเอื้อประโยชน์ให้บริษัทใหญ่เช่าที่ดินในป่า โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อที่ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับเอง ฯลฯ ซึ่งรัฐบาลยังไม่สามารถชี้แจงให้ชัดเจนได้ และจะทำให้มีโอกาสจะเป็นรัฐบาลขาขึ้นชี้ฟ้าก็เป็นไปได้สูง"

วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

"อนุสรณ์" สอน "วรงค์" หัดดูพวกพ้องหนุนชัตดาวน์ประเทศ-ไม่แก้ปัญหาชาติ


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ในวันครบรอบ 11 ปี เหตุการณ์รัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ระบุ หวังว่าความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีก่อน จะไม่หายไปจากหัวใจของคนไทย และยังห่วงความเป็นอยู่ของคนไทยที่ยังให้การสนับสนุน กลับมีขาประจำอย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส. พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาตอบโต้เกินบริบทของเรื่องไปมาก ว่า "ความจริงตนไม่ประสงค์จะขยายความในประเด็นนี้ แต่ไม่อยากให้สาธารณชนเข้าใจผิด ความจริงสิ่งที่ ดร.ทักษิณ พูด ก็เป็นข้อความกลางๆที่เป็นการแสดงความห่วงใยต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนชาวไทย ไม่คิดว่าจะมีคนออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง แต่ดูจากพฤติกรรมในอดีตก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะถึงขนาดปาแฟ้มใส่ประธานรัฐสภาก็ทำได้และทำมาแล้ว ทั้งๆที่รัฐสภาเป็นสถานที่อันทรงเกียรติ ควรระงับยับยั้งอารมณ์ไม่ใช่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ การที่ นพ.วรงค์ บอก ดร.ทักษิณ ว่าควรหันกลับมาดูตัวเองด้วยนั้น ตนก็อยากบอกว่า นพ.วรงค์ ก็ควรหันกลับมาดูตัวเองและพรรคพวกด้วยเช่นกันว่า กลุ่มการเมืองที่ใกล้ชิดกับพรรคใดเป่านกหวีดชัตดาวน์ประเทศ สร้างเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่การรัฐประหาร จนเศรษฐกิจเสียหายอย่างหนัก คนกลุ่มใดนอนขวางคูหา ขัดขวางการเลือกตั้ง บอยคอตการเลือกตั้ง 2 ครั้ง จะตั้งรัฐบาลทั้งทีก็ต้องไปตั้งในค่ายทหาร ซึ่งตนไม่อยากรื้อฟื้น อยากให้มองไปที่อนาคตของประเทศ สร้างความหวัง สร้างอนาคตของประเทศให้กับลูกหลาน ลดละเลิกวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง ประชาชนเบื่อหน่ายกับความขัดแย้ง เลิกเป็นไก่จิกตีกันในเข่ง ซึ่งจะถูกนำเป็นเครื่องมือของผู้ที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้ง หันมาคิดนโยบายแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติและประชาชนดีกว่า"

"เพื่อไทย" ผิดหวัง "ประยุทธ์" จัดครม.สัญจร ไร้วาระช่วยเกษตรกร


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีรัฐบาลวางยุทธศาสตร์จัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร (ครม.สัญจร) พื้นที่ภาคกลาง จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า ไม่แน่ใจว่าวัตถุประสงค์หลักของการจัด ครม.สัญจรอย่างต่อเนื่องนั้นเพื่ออะไร งบประมาณการจัดประชุมระหว่าง ครม.ในสถานที่กับ ครม.สัญจรแตกต่างกันอย่างไร ได้มีการประเมินความคุ้มค่า ความเหมาะสมหรือผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเทียบกับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างไร หรือเป็นเพียงยุทธศาสตร์เรียกเรตติ้งรัฐบาลในช่วงขาลงหรือไม่? การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปฟังลำตัด ชิมกาแฟ นั่งรถไถนา เป็นไฮไลท์ที่กลบสาระที่พึงมีของการประชุม ครม.หรือไม่? พลเอกประยุทธ์พยายามบอกว่าไม่ใช่นักการเมือง ทั้งที่ความเป็นจริงยากจะปฏิเสธ การอ้อนขอเวลา ขอโอกาส ในการอยู่แก้ปัญหาประเทศนั้น ไม่ทราบว่าท่านจะขอเวลาและโอกาสไปถึงเมื่อไหร่ ระยะเวลา 3-4 ปี ที่ผ่านมาเวลาและโอกาสที่ได้รับยังไม่พออีกหรือ? ทุกภาคส่วนในสังคมเรียกร้องให้กำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน แต่ไม่เคยได้รับความชัดเจนเลย ขนาดโรดแมปที่ท่านกำหนดเองยังเลื่อนเองเลย การที่ท่านบอกว่าเลือกตั้งครั้งหน้าให้ใช้สิทธิให้ดี อย่าหลงเชื่อแค่คารมนั้น อยากให้ท่านเคารพและเชื่อมั่นในวิจารณญาณของประชาชน เพราะอย่างน้อยการได้เลือกก็ดีกว่าการไม่ได้เลือก มติ ครม.จากการจัดประชุม ครม.สัญจรเท่าที่ได้ติดตามดู ประชาชนรู้สึกผิดหวังเพราะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจพิเศษอะไรออกมา ไม่มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ประชาชนในระดับฐานรากที่เป็นรูปธรรม ผลิตผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรไม่มีอำนาจในการจับจ่าย เศรษฐกิจฐานรากกระทบหนัก กำลังซื้อมีปัญหา ขนาดยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังตก เพราะประชาชนไม่มีกำลังซื้อ รัฐบาลจะแก้ไขอย่างไร ดังนั้น ประชาชนแทบไม่ได้ประโยชน์ ในความตื่นเต้นและสีสันของท่านในการลงพื้นที่เรียกคะแนนนิยม ในสถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้สังคมต้องการเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การออกมาตรการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่เพียงการจัดอีเว้นท์ทางการเมืองนอกสถานที่ แล้วก็ปล่อยให้ทุกอย่างหายไปแบบไฟไหม้ฟาง

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

"เรืองไกร" ยื่นสอบ "อภิสิทธิ์" อนุมัติจัดซื้อเรือเหาะ


ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า เมื่อเวลา 10.00น. ที่ผ่านมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เดินทางมายื่นหนังสือร้องต่อประธาน ป.ป.ช. ขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบคณะรัฐมนตรีสมัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี กรณีที่ประชุมครม.ในขณะนั้นมีมติอนุมัติให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2552 งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจัดหาระบบเรือเหาะพร้อมกล้องตรวจการณ์กลางวัน/กลางคืน วงเงิน 350 ล้านบาท เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่?


นายเรืองไกร กล่าวว่า การที่ ครม.รัฐบาลอภิสิทธ์ ได้มีมติอนุมัติแนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ในวันที่ 17 ก.พ.52 ซึ่งมีการกำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะต้องเป็นกรณีที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องรีบดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการเท่านั้น ส่วนกรณีที่มีวงเงินเกินกว่า 100 ล้านบาท ให้เสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติในหลักการก่อน รวมถึงได้ยกเลิกแนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง จากมติ ครม.เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 51 ด้วย ซึ่งต่อมาในการประชุม ครม.ในวันที่ 10 มี.ค.52 ก็มีมติอนุมัติให้ กอ.รมน.เบิกจ่ายงบกลาง เพื่อจัดหาระบบเรือเหาะพร้อมกล้องตรวจการณ์ วงเงิน 350 ล้านบาท โดยอ้างมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2551 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ครม.มีมติยกเลิกแนวทางดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้นการที่ ครม. เมื่อวันที่ 10 มี.ค.มีมติอนุมัติให้ กอ.รมน.เบิกจ่ายงบกลาง เพื่อจัดหาระบบเรือเหาะพร้อมกล้องตรวจการณ์ วงเงิน 350 ล้านบาทจึงอาจจะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การใช้งบกลางหรือไม่ นอกจากนั้นการที่เรือเหาะใช้การไม่ได้ตามวัตถุประสงค์และมีการยกเลิกไปแล้วนั้น ก็เป็นข้อเท็จจริงว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้จำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างใด จึงอาจเข้าข่ายก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐหรือไม่จึงขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ






"ทักษิณ" แจ้งความเอาผิด "สมชาย แสวงการ" หมิ่นประมาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00น. ที่ผ่านมา นายชุมสาย ศรียาภัย ทนายความผู้รับมอบอำนาจ จาก ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้ามาที่สถานีตำรวจนครบาลมักกะสัน แจ้งความดำเนินคดีกับ นายสมชาย แสวงการ ในข้อหาหมิ่นประมาท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ผ่านรายการ New)คุยเคาะเจาะข่าว


นายชุมสาย กล่าวว่า "วันนี้ผมได้รับมอบอำนาจจากท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้มาดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กับผู้ที่ได้กระทำผิดในข้อหาหมิ่นประมาทและหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ก็คือ นายสมชาย แสวงการ ในครั้งที่ได้กล่าวในลักษณะสัมภาษณ์สดในรายการNew)คุยเคาะเจาะข่าว เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา เวลาประมาณ 08.00 น. ในข้อหาดังกล่าวมันมีพฤติการณ์ที่เป็นการให้ร้ายใส่ความท่านอดีตนายกฯทักษิณ ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้ว ประชาชนโดยทั่วไปได้ฟังได้อ่านได้เห็น รวมถึงตัวท่านเองได้ทราบแล้ว ท่านก็รู้สึกว่าตัวท่านเองได้รับความเสียหาย โดยจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาในลักษณะเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลอาญา มาตรา 326 และเป็นการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามมาตรา 328 หลักฐานจะมีคลิปวีดีโอในการให้สัมภาษณ์สดทางโทรศัพท์ในวันนั้น และมีการถอดเทปข้อความที่มีการให้สัมภาษณ์ครับ"








วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560

"จิรายุ" ห่วงเกษตรกร 3ปีหนี้พุ่ง-สั่งรัฐแก้ปัญหาระยะยาว


นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ของพลเอกประยุทธ์ ในสัปดาห์นี้ว่า สังคมอาจไม่ทราบว่า ครม. มีการอนุมัติเงินงบประมาณจากภาษีประชาชนไปเกือบแสนล้านบาทเพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปใช้พยุงราคาข้าวเปลือกปี 60/61 นั้น ซึ่งตนดีใจแทนเกษตรกรและเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลก็ต้องให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ทั้งการรับจำนำข้าว การรับประกันข้าว หรือแม้แต่กระทั่งการพยุงราคาข้าวของรัฐบาล คสช. ก็ยังใช้เงินไปแล้วหลายแสนล้านบาท แต่สังคมกังขาเพราะเป็นการใช้งบประมาณนี้ก็ขาดทุนเห็นๆ และกระบวนการจ่ายมีขั้นตอนอย่างไร จะมีการทุจริตหรือไม่และนายกรัฐมนตรีจะต้องมีการรับผิดชอบในการออกนโยบายอนุมัติเงินหรือไม่ในอนาคต

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า เกษตรกรชาวไร่ชาวนาไทย จนดักดารกันมานานนม พอจะลืมตาอ้าปากในช่วงรัฐบาลที่แล้ว ก็หยุดชะงัก และ 3 ปีกว่ามานี้รัฐบาลชุดนี้ก็แก้แต่ปัญหาเฉพาะหน้า ใช่หรือไม่ “ถ้าจะเอาใจเกษตรกร พลเอกประยุทธ์ ลองไปดูหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับพืชผลทางการเกษตร วันนี้ได้แก้ปัญหาอะไรแบบยั่งยืนให้กับข้าวไทยหรือไม่ และ 3 ปีมานี้ได้ทำอะไรเพื่อพี่น้องเกษตรกรบ้างนอกจากแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ ยิ่งปีนี้ ชาวนาในภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลางถูกน้ำท่วมเสียหายหนัก รัฐบาลต้องให้การช่วยเหลือพี่น้องชาวนาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และน่าเป็นห่วงที่ในอนาคตชาวนาอาจต้องซื้อข้าวกิน”

นายจิรายุ กล่าวว่า เวลา 3 ปีกว่า หากตั้งใจทำการพัฒนาอย่างเป็นระบบและมีแบบแผนป่านนี้ข้าวไทยไม่ตกเป็นสองรองใคร เช่นการปฏิรูปข้าวทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทำกันไปถึงไหนแล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เช่น เทคโนโลยีการผลิต เทคโนโลยีการพัฒนาน้ำ เทคโนโลยีการวิจัยสายพันธุ์ ได้ทำการไปถึงไหนแล้ว ไม่ใช่มัวแต่มาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุทุกปีไป หลังหมดฝนนี้รัฐบาลพึงระวังเพราะข้าวจากประเทศไทยจะตกอันดับลงไป เพราะวันนี้ทั้งเวียดนาม อินเดียและประเทศผู้ปลูกข้าวต่างพัฒนาเทคโนโลยีการปลูกข้าวของตนเองไปไกลแล้ว ถ้าจะเอานโยบายที่ดีๆของฝ่ายการเมือง การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆไปใช้ก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก และน่าเป็นการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรได้ลืมตาอ้าปากมากกว่า

"ทนายวันชัย" ยื่นอัยการสูงสุด-แนะคดีกรุงไทยอย่าเลือกปฏิบัติ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 9.50น. ที่ผ่านมา ทนายวันชัย บุนนาค นักวิชาการด้านกฎหมาย เดินทางมายื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด เพื่อขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ในคดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทย 





ทนายวันชัย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า จากรายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย ครั้งที่48/2546(257) ลงวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2546 โดยศาลฯพิพากษาว่าปล่อยกู้ผิดกฎหมาย ซึ่งผู้บริหารทั้งหมดที่ลงนามอนุมัติปล่อยกู้นั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษที่ 36/2550 โดยผู้อนุมัติทั้งหมดต้องเป็นผู้ต้องหา ทั้งนี้ ทนายวันชัยตั้งข้อสังเกตว่า นายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ และ นายอุตตม สาวนายน ซึ่งปัจจุบันเป็นรมว.อุตสาหกรรม ไม่ถูกฟ้อง และควรมีคำสั่งว่าเห็นควรสั่งฟ้องหรือไม่ในสำนวน จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไปอย่างเสมอภาคเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ
















"วัฒนา" ป้อง "พานทองแท้" ไม่ผิดคดีกรุงไทย-แฉ "มีชัย" นั่งประธานบอร์ดกฤษดานคร


นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

"นามสกุลผิด ชีวิตเปลี่ยน"

เรื่องเงินกู้กรุงไทยกลายเป็นมหากาพย์ ล่าสุดคุณวีระ สมความคิด ได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ดำเนินคดีฐานฟอกเงินกับผู้ที่เกี่ยวข้องอีกประมาณ 200 ราย คุณวีระ ยังเปิดเผยอีกว่าระหว่างปี 2535-2555 บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานกรรมการ ส่วนธนาคารกรุงเทพฯ ใครเป็นประธานผมไม่ทราบ

การกล่าวหาใครในทางอาญาต้องมีหลักฐานว่าบุคคลนั้นกระทำความผิด สำหรับความผิดฐานฟอกเงิน ผู้ที่โอนหรือรับโอนจะต้องทราบว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด และต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อช่วยซุกซ่อน หรือปกปิดฯ เมื่อพิจารณาฐานะของผู้ชำระเงินคือนายวิชัย กฤษดาธานนท์ ที่เป็นนักธุรกิจเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์มากมาย ก่อหนี้ได้นับหมื่นล้านบาท ขนาดนายมีชัยฯ ยังเชื่อถือมาเป็นประธานกรรมการบริษัทให้ อีกทั้งในปี 2547 ยังไม่มีการกล่าวหานายวิชัย ดังนั้น ผู้ที่ได้รับเงินจากนายวิชัยย่อมเชื่อว่าเป็นเงินสุจริตและคงไม่มีใครไปสอบถามที่มาของเงิน รวมถึงที่บริจาคให้กับมูลนิธิ และจ่ายให้กับนายทหารยศนายพล ซึ่งผมก็เชื่อว่ามูลนิธิและนายทหารคงไม่ได้สอบถามที่มาของเงินเช่นกัน ส่วนการรับเงินที่เกิน 3,000 บาทจะผิดกฎหมาย ป.ป.ช. หรือไม่ผมไม่ก้าวล่วง ผมจึงเชื่อว่าไม่มีใครตาทิพย์ไปรู้เห็นที่มาของเงินก่อนศาลตัดสิน โอ๊คก็เช่นกัน ไม่มีทางทราบว่าเช็คที่ได้มานั้นมาจากการกระทำความผิด ที่แปลกคือเป็นคนเดียวที่คืนเงินแต่ถูกดำเนินคดี ส่วนพวกที่ไม่คืนเงินไม่มีใครถูกดำเนินคดี คงผิดที่นามสกุล

มีผู้หวังดีส่งหนังสือร้องทุกข์ของ ปปง. ที่ขอให้ดีเอสไอให้ดำเนินคดีโอ๊คกับพวกรวม 4 คน มาให้ ผมอ่านแล้วตกใจเพราะความในหนังสือที่ระบุว่า "ขอให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณารวบรวมพยานหลักฐาน ที่บ่งชี้ถึงเจตนา ที่ผู้กระทำรู้ว่าทรัพย์สินที่ได้รับโอน หรือที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และกระทำโดยเจตนาพิเศษเพื่อซุกซ่อน ปกปิด อำพราง แหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น" ไม่อาจแปลเป็นอย่างอื่นได้นอกจากว่า ปปง. มาร้องทุกข์โดยยังไม่ทราบว่าผู้ที่ตัวเองกล่าวหานั้นได้ทำความผิดหรือไม่ จึงขอให้ดีเอสไอไปรวบรวมหลักฐานหาเอาเอง ทำแบบนี้ระวังติดคุกทั้งคนกล่าวหาและคนรับร้องทุกข์

วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

ชาวเน็ตซึ้ง! "พินทองทา" โพสต์ภูมิใจเป็นลูกทักษิณ-ขอจับมือพ่อเดินตลอดไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ บุตรสาว ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


วันนี้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว...เอมเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้เจอพ่อหลังจากปฏิวัติ 19 กันยายน ปี 2549 ตอนนั้นเรียนปริญญาโทอยู่ที่ลอนดอน

วันนี้ ปีนี้ เอมก็ได้มาอยู่ที่ลอนดอนกับพ่ออีกครั้ง พร้อมครอบครัวลูก3ของเรา... 11 ปีผ่านไป พ่อยังมีพลังงานที่จะคิดเรื่องธุรกิจต่างๆ มีหลายโปรเจ็คที่เริ่มทำไปแล้วและกำลังจะเริ่มทำ มีพลังงานคิดเรื่องอื่น ไม่ปล่อยให้เรื่องการเมืองมาหยุดทุกอย่าง...ชีวิตก้าวไปข้างหน้า

เอมยังจำได้ดี เมื่อ 6 ปี ที่แล้วเอมบอกพ่อว่า อยากรอพ่อกลับมาเอมถึงจะแต่งงาน...แต่พ่อและแม่ยืนยันให้เอมดำเนินชีวิตต่อไป อย่าหยุดรอเรื่องการเมือง ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า...จนวันนี้เอมมีลูก3คนมาอยู่ตรงหน้าคุณตาตาแล้ว💕💚...(ถ้าวันนั้นรอ...คงยังไม่มี👧🏻👧🏻👶🏻) หรือแม้กระทั่งก่อนมาเจอพ่อคราวนี้ เอมเองยังเครียด กังวล เป็นห่วง ท้อใจกับเรื่องที่เกิดกับครอบครัวเรา และกับคนที่เรารัก...แต่พอมาเจอพ่อ กลับกลายเป็นสบายใจและมีกำลังใจขึ้นมาก แปลกใจเสมอว่าพ่อเอาพลังบวกมาจากไหนตลอด11ปีนี้...พ่อบอกว่า "We live for today and tomorrow, not yesterday" ใช้ชีวิตแบบมองวันนี้และวันข้างหน้า ไม่ใช่อดีต! พ่อทำให้คนรอบข้างมีรอยยิ้มได้ทุกวันอย่างน่าทึ่ง 😊 การมาหาพ่อเพื่อมาให้กำลังใจพ่อ กลับได้กำลังใจกันเองกลับไปทุกที❤️...ลูกภูมิใจในความอดทนและพลังบวกของพ่อจริงๆค่ะ จะจับมือพ่อเดินแบบนี้ตลอดไปค่ะ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากคุณพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ โพสต์ข้อความดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายสังคมออนไลน์กดถูกใจและส่งต่อกันเป็นจำนวนมาก โดยความเห็นทั้งหมดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ รักและชื่นชม ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัว รวมทั้งให้กำลังครอบครัวชินวัตรที่ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง มายาวนานกว่า 11 ปี

อุทาหรณ์! สาวใหญ่โร่ขอโทษทักษิณ ปราศรัยคลาดเคลื่อนความจริงบนเวที กปปส.


ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจ ของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หลังศูนย์ประนอมข้อพิพาท (Thai Mediation Center) ศาลอาญาเผยแพร่ข่าวแจกสื่อมวลชน โดยมีเนื้อหาระบุว่า ผศ.ดร.วรพรรณ เรืองผกา ปราศรัยพาดพิงหมิ่นประมาท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตามหมายเลขคดีดำที่ 388/2557 โดย ผศ.ดร.วรพรรณ ระบุว่ามีคำพูดที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิด จึงขอแสดงความเสียใจและขออภัยต่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นั้น


ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี กล่าวว่า "สืบเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่คู่ความมีการฟ้องคดีหมิ่นประมาทกัน เนื่องจากจำเลยในคดีนี้กล่าวปราศัยในเวทีการชุมนุมเมื่อปลายปี 2556 มาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อต้นปี 2557 ทางศาลอาญาได้ไต่สวนมูลฟ้อง มีคำสั่งคดีมีมูลรับไว้พิจารณาในศาลชั้นต้น จากความพยายามหลายๆครั้ง ที่ทางฝ่ายจำเลยอยากจะขอพูดคุยเจรจากัน ดร.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้ให้นโยบายมาว่า ถ้ามีการขออภัยอย่างเป็นทางการและขออภัยผ่านสื่อสาธารณชน ท่านก็ยินดีที่จะให้อภัย ซึ่งก็มีหลายคดีท่านก็ให้อภัยเช่นกัน หลายๆคนที่รู้สำนึกหรือทราบว่าสิ่งที่กล่าวไปนั้นทำให้ท่านได้รับความเสียหาย มีการขออภัยก็ยินดีครับ"


"ดังนั้นคดีนี้เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง ทางศาลอาญาได้จัดให้มีการประนอมข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก็เป็นไปตามนโยบายการตั้งศูนย์ประนอมข้อผิดพลาดที่ชั้น7 ศาลอาญา ซึ่งก็ได้รับเกียรติจากอธิบดีศาลอาญาและก็ท่านหัวหน้าคณะไกล่เกลี่ยก็ขอขอบพระคุณอย่างสูงที่ท่านเจรจาให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นคนไทยที่อยู่ที่ไหนในมุมโลกนี้ทุกคนก็ถือว่าเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง มีสิทธิและเสรีภาพ รวมทั้งมีสิทธิส่วนบุคคลที่ตัวเองจะต้องปกป้องแล้วก็ทุกคนต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฉะนั้นคนอื่นที่จะใช้สิทธิในการล่วงละเมิดหรือทำให้ท่านได้รับความเสียหาย ท่านเองไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ยังมีสิทธินั้นอยู่ และท่านจะมีสิทธิที่จะมอบหมายหรือมอบอำนาจให้บุคคลที่ท่านสามารถที่จะมอบได้ ดำเนินการเรื่องนี้เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเองตามกฎหมายไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร ต้องถือว่าท่านก็เป็นอดีตผู้นำ อดีตนายกรัฐมนตรีที่สร้างคุณูปการให้ประเทศชาติมาเยอะ แน่นอนว่าอาจจะมีทั้งคนที่ชื่นชอบ รักท่าน และชอบท่าน ก็เป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นคนที่วิจารณ์เรื่องนี้ท่านรับฟังอยู่แล้ว" ทนายวิญญัติ กล่าว






"จิรายุ" แนะ "อภิสิทธิ์" รับผิดชอบอนุมัติจัดซื้อเรือเหาะ


นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเรียกร้องกองทัพบกให้สรุปปัญหาการใช้งานเรือเหาะตรวจการณ์กองทัพอย่าอ้างแค่ปลดประจำการ นั้น นายจิรายุ กล่าวว่า "ตนรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นคนเซ็นอนุมัติกับมือจะออกมาเรียกร้องเรื่องนี้"
 
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ น่าจะเป็นโต้โผ ที่จะออกมาเปิดเผยเลยว่าเอกสารข้อมูลที่ประกอบการเซ็นอนุมัติ มีรายละเอียดอย่างไร เช่น 1. เรื่องนี้มีการเข้าประชุมใน ครม. ยุคนายอภิสิทธิ์หรือไม่? 2. รายละเอียดประกอบการเซ็นของนายกรัฐมนตรี ระบุว่าสเปคบินได้สูงกี่เมตร? และบินจริงได้กี่เมตร? เหตุใดยังเซ็นอนุมัติ? 3. TOR ที่ร่างกันมาตกลงมีการรับประกันอย่างไร? มีบริการหลังการขายอย่างไร? เพราะหากซื้อรถแค่คันละ 5 ล้านบาท หากวิ่งไม่ได้ ผู้ขายก็ต้องรับผิดชอบ นี่สินค้าราคา 350 ล้านบาท และบริษัทไหนเป็นผู้ขาย ทำไมจึงไม่มีบริการหลังการขาย หรืออยู่ในวารันตี
 
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า "วันนี้แม้นายอภิสิทธิ์จะอ้างว่าตอนเซ็นไปนั้นเป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงเสนอมา ก็ต้องดูว่าเกิดจากอะไร? ใครต้องรับผิดชอบ? วันนี้ตกลงแล้วผู้เซ็นอนุมัติในตำแหน่งอดีตนายกรัฐมนตรีจะออกมาบอกสังคมอย่างไร? จะรับผิดชอบอย่างไร?"