วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

"ชวลิต" โต้สมคิด ปีหน้าคนจนหมดประเทศ


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ประกาศว่า ปีหน้าคนจนจะหมดไป นั้น

นายชวลิต กล่าวว่า จริงๆ แล้วอยากจะให้กำลังใจให้แก้ปัญหาความยากจนให้สำเร็จ แต่ด้วยระบบที่เป็นอยู่และการปฏิบัติของรัฐบาลเองที่มุ่งรักษาอำนาจ และต่อท่ออำนาจ จึงสร้างระบบที่ผิดเพี้ยนไม่เหมือนใครในโลก แม้ในการบริหารจะ "ขยัน" แต่ขยันบนระบบที่ผิดเพี้ยนก็จะพาประเทศลงเหว

จึงขอชี้ให้เห็นถึงการกำหนดกติกาการเมือง การปกครองที่ไม่ปกติ ผิดเพี้ยนไปจากสากล  และการบริหารงานของรัฐบาลที่ทำลายความเชื่อมั่นประเทศเสียเอง สรุปได้ 2 ประการ ดังนี้

1. มีการวางระบบการเมือง การปกครอง ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเชื่อมโยงกับสากล และไม่มีเสถียรภาพ โดยได้กำหนดไว้อย่างแยบยล แต่ผิดเพี้ยนไม่เหมือนใครในโลกไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ อาทิเช่น หลักการกำหนดให้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่กลับให้นายกรัฐมนตรีมาจากคนนอก ได้สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง ระบบเลือกตั้งเป็นแบบจัดสรรปันส่วนผสม เพื่อให้การเมืองไม่มีเสถียรภาพ การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมีอำนาจครอบคลุมทุกองค์กร ฯลฯ ซึ่งเห็นชัดเจนว่าระบบการเมือง การปกครอง ดังกล่าว เป็นระบบอำนาจนิยม หาเป็นประชาธิปไตยที่เชื่อมโยงกับสากลไม่ แม้จะอ้างว่า ผ่านประชามติ แต่เป็นการทำประชามติในอำนาจของคณะรัฐประหาร รัฐบาลนี้จึงมีปัญหาที่ไม่ได้รับความเชื่อมั่นทางด้านการเมือง การปกครอง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญสูงสุดในการปกครองประเทศ
       
2. การบริหารงานของรัฐบาลที่ทำลายความเชื่อมั่นประเทศเสียเอง อาทิเช่น

  • การไปให้คำมั่นกับองค์กรระหว่างประเทศ และมิตรประเทศสำคัญ ต่างกรรม ต่างวาระ ว่าจะคืนอำนาจให้ประชาชน แต่ไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้ 
  • การไม่เคารพกฎหมายที่ออกมาเอง ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  แต่กลับมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาเหนือกว่ากฎหมายที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
  • การบริหารประเทศที่ขาดหลักนิติธรรม เช่น การออกกฎหมายให้มีผลย้อนหลังเป็นโทษกับบุคคลได้
  • การแก้ไขปัญหาทุจริต คอรัปชั่น ที่ลูบหน้าปะจมูก โดยจากการสำรวจของโพลหลายสำนัก ปัญหาการทุจริตมิได้ลดลง เพราะตรวจสอบไม่ได้ เห็นได้จาก แม้จะมีข่าวฉาวโฉ่ในประเด็นการทุจริต มีการร้องเรียนมากมาย แต่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่เคยมีการอภิปราย ตรวจสอบรัฐมนตรี หรือหน่วยงานในกำกับรัฐบาลเลย     

นายชวลิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ในที่สุดทั้งระบบการเมือง การปกครองที่ไม่ปกติ และการบริหารที่ผิดพลาด ส่งผลให้เห็นชัดเจนว่า ช่วง 3 ปีเศษที่ผ่านมา รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชนได้  ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนกว้างมากขึ้น คนรวยซึ่งมีส่วนน้อย ยิ่งรวยขึ้น แต่คนจนซึ่งมีมากอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น และถ้าคนจนเดือดร้อนมากขึ้น บ้านเมืองก็จะระส่ำระสาย ท่านจะกดดันเกษตรกร เรียกไปปรับทัศนคติได้อีกนานแค่ไหน ถ้าเขาไม่มีจะกิน ไม่มีเงินให้ค่าเทอมลูกไปเรียนหนังสือ ฯลฯ
       
จากเหตุผลที่ยกมาเป็นตัวอย่างพอสังเขปดังกล่าว ล้วนนำมาซึ่งความเดือดร้อน ทุกข์ยากของประชาชนทั้งสิ้น ผลสำรวจคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นโพลกันเองยังลดลงอย่างฮวบฮาบน่าใจหาย อันแสดงให้เห็นว่า แม้จะ "ขยัน" แต่ระบบและการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องดังกล่าว ก็ทำลายความเชื่อมั่นประเทศและนำมาซึ่งการบริหารที่ล้มเหลว
         
ทางออกของบ้านเมือง คือรัฐบาลรีบคืนอำนาจให้ประชาชน ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ สงบสุข ด้วยการทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง รักษาอัตลักษณ์ประเทศตามมาตรา 2 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญไว้อย่างสูงยิ่ง อันจะนำมาซึ่งความสงบร่มเย็นในบ้านเมืองสืบไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น