วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

“จิรายุ” เปรียบเทียบ ประชานิยม คสช. กับยุคไทยรักไทย-เพื่อไทย


นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้ประชาชนไม่อยากรู้ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. จะรู้เห็นกับ สนช.หรือไม่เรื่องการเลื่อนเลือกตั้ง เพราะคนไทยคงรู้ดีและคงเบื่อหน่ายอยู่แล้วกับสัญญาที่ผู้นำไทยแลนด์ไปพูดไว้ถึง 3 ครั้ง เรื่องเลือกตั้ง ปี 2558 ที่โตเกียว ปี 2559 ที่สหประชาชาติ ปี 2560 ที่สหรัฐอเมริกา
     
แต่ประชาชนคงอยากรู้ว่าพลเอกประยุทธ์จะบอกสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และนานาชาติ อย่างไร ในภาวะผู้นำไทยแลนด์มากกว่า และที่ผ่านมาประชาชนเข้าใจลึกซึ่งแล้วว่า ความจริงคืออะไร การปฏิรูป การแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น ที่อุตส่าห์ไปเป่านกหวีดเรียกคนดีออกมานั้น วันนี้เป็นอย่างไร
     
แต่ประเด็นสำคัญคือประชาชนอยากรู้จริงๆ ว่า รัฐบาล คสช.จะเอาเปรียบคนอื่นก่อนการเลือกตั้งหรือไม่? ขนาดไหน? โดยเฉพาะการใช้กลไกของรัฐ และเงินงบประมาณที่วันนี้เรียกได้ว่ายิ่งกว่าแนวคิด “เฮเลคอปเตอร์มั่นนี่” โดยเฉพาะแจกเงินผ่านบัตรคนจน ที่พลเอกประยุทธ์ พยายามจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ประชานิยม ซึ่งที่จริงแล้ว ก็เป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หรือประชานิยมนั่นแหละ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าอายและทุกประเทศก็ทำกัน แต่ประชานิยมของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จะเป็นการแจกเงินเปล่า และไม่ได้สร้างให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นเอง ไม่เหมือนในอดีตที่นโยบายช่วยผู้มีรายได้น้อยของพรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทย ที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้ เช่น กองทุนหมู่บ้าน โอทอป 30 บาทรักษาทุกโรค SME และ SML นอกจากนี้ ประชาชนผู้มีรายได้น้อยลำบากกันกว่า 3 ปี แต่รัฐบาลพึ่งจะมาช่วย แล้วพลเอกประยุทธ์ ก็ประกาศเป็นนักการเมือง อดไม่ได้ที่ประชาชนต้องคิดว่าเป็นการแจกเงินเพื่อหาเสียงใช่หรือไม่? อีกทั้งบัตรคนจนก็ไปซื้อได้เฉพาะสินค้าของนายทุนบางคนเท่านั้น ไม่ได้ช่วยพ่อค้าแม่ค้าตามท้องตลาดเลย ซ้ำยังทำให้การค้าขายของพ่อค้าแม่ค้าในตลาดมียอดขายต่ำลงอีก เพราะถูกแย่งตลาดไป ดังนั้น ประชานิยมของพลเอกประยุทธ์แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร แถมยังจะเป็นภาระการเงิน การคลังของประเทศไปอีกนาน เพราะแจกแล้วก็จะเลิกแจกไม่ได้ ซึ่งต่างกับประชานิยมของพรรคเพื่อไทยที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน คือ ประชาชนต้องทำงานเพื่อให้ได้รายได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่แจกเงิน
   
วันนี้เมื่อเข้าสู่โหมดเตรียมตัวเลือกตั้ง รัฐบาลต้องไม่เอาเปรียบคนอื่นเหมือนกับที่เคยดูถูกไว้ในช่วงหลายรัฐบาลที่ผ่านมา และต้องออกมาอธิบายให้ได้ว่าตกลงแล้วเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างไร แย่ลงขนาดไหนและแนวทางจะแก้ไขในปีนี้เป็นอย่างไรประชาชนรอฟังอยู่ เพราะผลกระทบจากนานาชาติจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจในประเทศมีปัญหามากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นคนไทยควรเตรียมตัวรับมือกับมรสุมเศรษฐกิจลูกใหม่ตั้งแต่เดือนหน้านี้เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น