วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561
"นปช." ไม่หวั่นเผด็จการดูดนักการเมือง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า ความพยายามดูดนักการเมืองเข้ารับตำแหน่งในรัฐบาลเพื่อวางงานสืบทอดอำนาจเป็นประเด็นที่สังคมกำลังให้ความสนใจ แต่ประวัติศาสตร์บอกเราว่า เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ของใหม่ และตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยมีเผด็จการคณะใดประสบความสำเร็จด้วยวิธีนี้ ตนเชื่อว่ายุคนี้คนส่วนใหญ่รู้เท่าทัน ถึงที่สุดจะดูดไปได้แต่นักการเมือง แต่คะแนนเสียงประชาชนจะไปอีกทาง เกมดูดนักการเมืองของอำนาจเผด็จการจึงน่าจับตา แต่ไม่น่ากังวล ทั้งนี้ สิ่งที่สังคมไทยควรสรุปบทเรียนได้ว่าน่ากลัวกว่า คือเกมที่นักการเมืองใช้ดูดอำนาจเผด็จการเข้ามาเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม เพราะมีความซับซ้อนแยบยลและสร้างความเสียหายต่อประชาธิปไตยมากกว่า ทั้งนี้ เผด็จการเต็มรูปแบบเมื่อดูดประชาชนไม่ได้สุดท้ายก็ต้องไป จะบอบช้ำแค่ไหนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจช่วงสำคัญ แต่ฝ่ายการเมืองประเภทดูดเผด็จการจะกลายร่างได้ วันหนึ่งเคยเปิดประตูให้ อีกวันก็จะปิดประตูใส่ ท่าทีขึ้นอยู่กับความสมประโยชน์ทางการเมือง
"สถานการณ์วันนี้จึงต้องดูให้ชัดว่า พรรคการเมืองที่ยืนวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจอยู่ตอนนี้เพราะมีจุดยืนเรื่องประชาธิปไตย หรือผิดหวังไม่ได้ดังใจกับเผด็จการ เพราะถ้าเป็นแบบหลังก็เป็นไปได้ว่าในอนาคตจะเป็นไส้ศึกให้คณะรัฐประหารอีก" นายณัฐวุฒิ กล่าว
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561
"จาตุรนต์" ติง คสช. ล้มสรรหา กสทช.-ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ความเห็นต่อเรื่องคสช.สั่งล้มการสรรหากรรมการกสทช.
การที่คสช.ออกคำสั่งล้มการสรรหาและกำหนดแนวทางดูแลทีวีดิจิตัล เป็นการรวมศูนย์ การกำหนดความเป็นไปและการตัดสินใจของกสทช.ไว้ในมือของคสช.โดยเฉพาะหัวหน้าคสช.ตามลำพัง
การออกคำสั่งเช่นนี้ เป็นเหมือนบทสรุปที่คสช.ได้กระทำต่อกสทช.คือ ยึดเอาอำนาจทุกอย่างไปจากกสทช.จนไม่เหลือสภาพของการเป็นองค์กรอิสระที่ควรจะวางตัวเป็นกลาง และมีหน้าที่ดูแลให้เกิดการกระจายการใช้คลื่นความถี่ซึ่งเป็นทรัพย่ากรส่วนรวมของชาติให้เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในสังคมให้มากที่สุด
ความจริง คสช.ได้ทำลายความเป็นอิสระของกสทช.จนเกือบไม่เหลืออะไรมานานแล้ว เช่น ออกคำสั่งกำหนดการใช้จ่ายเงินรายได้จากการประมูลเสียเอง และให้โอนเงินรายได้ที่เหลือเข้าคลัง การแทรกแซงกสทช.ครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งการทำให้กสทช.กลายเป็นเครื่องมือในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ด้วยการสั่งปิดทีวีหรือวิทยุที่เห็นว่าขัดคำสั่ง คสช. ตามอำเภอใจและเลือกปฏิบัติ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่กสทช.พึงกระทำเลย
การออกคำสั่งครั้งล่าสุดนี้ นอกจากทำให้กสทช.จะต้องอยู่ต่อไปอย่างไม่มีอนาคตและไม่มีหน้าที่รับผิดชอบที่เป็นแก่นสารแล้ว ยังมีการดูแลทีวีดิจิตัลที่ทำให้เกิดการได้หรือเสียผลผระโยชน์มหาศาลของบริษัทเอกชน ซึ่งแทนที่จะให้ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย การรับผิดชอบทั้งหมดกลับกลายเป็นของคสช.ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ที่ไม่มีใครตรวจสอบถ่วงดุลได้ หรือแม้แต่จะวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้ จึงไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดการเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องกันมากน้อยเพียงใด
ส่วนที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ปรึกษาคสช.ออกมาแก้ต่างให้คสช.ในเรื่องนี้ว่าเป็นเพราะกฎหมายกสทช.มีปัญหานั้น ต้องถามว่าอยู่กันมาจะ 4 ปีแล้ว ไปทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่แก้ไขเสีย และในครั้งนี้ทำไมจึงไม่เลือกวิธีแก้กฎหมายแทนที่จะออกคำสั่งที่เป็นการทำลายระบบเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรคลื่นความถี่ของประเทศและกำลังทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก
.......
วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561
"หมวดเจี๊ยบ" สอน กสม. หยุดให้ท้าย คสช.
ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ทำไมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนจึงไม่คิดจะตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่ามีพฤติกรรมลักษณะใดบ้างที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน เหตุใดจึงไปคุกคามคนทำรายงาน โดยการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบรายงานดังกล่าว โดยดูเหมือน กสม. จะปักใจเชื่อว่ารายงานดังกล่าวไม่ถูกต้อง อันที่จริง หน้าที่ของ กสม. คือปกป้องสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่คอยให้ท้ายรัฐบาล ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เวลานักศึกษา ประชาชน นักวิชาการ หรือ สื่อมวลชน โดนละเมิดสิทธิเสรีภาพ ก็ไม่เคยเห็นใครใน กสม. จะรู้สึกเดือดร้อน ผิดกับขณะนี้ ที่ กสม. ทุรนทุรายออกมาปกป้องรัฐบาล หรือว่าพวกท่านหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเมตตา และใช้มาตรา 44 ต่ออายุให้ เหมือนองค์กรอิสระอื่นๆ ที่ทำตัวเป็นเด็กดีของรัฐบาล เพราะ กสม. โดนเซ็ตซีโร่ไปแล้ว ถ้างั้น กสม. ก็ไม่สมควรอ้างว่าตนเองไม่ใช่เครื่องมือของรัฐบาล เพราะฟังไม่ขึ้น”
ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวต่อไปว่า “ที่สำคัญ กสม. เห็นหรือไม่ ว่าขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ข่มขู่จะดำเนินคดีนักการเมืองที่ออกมาเปิดเผยเรื่องการใช้พลังดูดอดีต ส.ส. เพื่อปูทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯคนนอก โดยมีผลประโยชน์ตอบแทน เหตุใด กสม. จึงนั่งทนดูการละเมิดเสรีภาพในการพูดแบบนี้ได้ ทั้งๆ ที่ เป็นการปิดกั้นการตรวจสอบ นอกจากนี้ เรื่องการดูด ส.ส. ก็เป็นประเด็นสาธารณะที่ประชาชนมีสิทธิรับรู้และสังคมควรถกเถียงกันในประเด็นนี้ได้ว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลหลายๆด้าน ว่า การดึงการเมืองกลับไปสู่ระบบมุ้งระบบก๊วนเพื่อต่อรองโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีต่างๆ นั้น เป็นการเมืองที่สกปรกอย่างไร ทั้งนี้ หากเราปล่อยให้นักการเมืองที่กล้าวิจารณ์ผู้มีอำนาจ ถูกดำเนินคดี สุดท้ายหากมีการเลือกตั้งในอนาคต ในสภาก็จะมีแต่ ส.ส. ที่เป็นเด็กในคาถาของ คสช. และ เห็นดีเห็นงามกับพล.อ.ประยุทธ์ ทุกเรื่อง แม้จะทำในสิ่งที่ผิด เพราะพวกเขาต้องการแค่มีตำแหน่งในสภา แต่ไม่ได้ตั้งใจทำงานเพื่อชาวบ้านหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศดีขึ้น แล้วใครจะคอยปกป้องผลประโยชน์ของชาวบ้าน แบบนี้ไม่ใช่บรรทัดฐานที่ถูกต้องและไม่ใช่การปฏิรูปประเทศที่แท้จริง”
"เพื่อไทย" แนะรัฐพิสูจน์ความจริงใจ-ยกเลิกคำสั่ง คสช.
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุ พรรคการเมืองควรมาหารือในเดือน มิ.ย.มิฉะนั้น จะตกขบวน ว่า ไม่รู้นายวิษณุ ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงพูดออกมาแบบนั้น การบอกว่าถ้าใครไม่ไปจะตกขบวน อาจเป็นการคิดเองเออเองของนายวิษณุเพียงฝ่ายเดียว และฟังดูคล้ายเป็นการข่มขู่เอาผลประโยชน์มาล่อพรรคการเมือง การจะเชิญใครไปหารือหรือพูดคุย ควรกำหนดกรอบ และเปิดเผยหัวข้อหรือเรื่องที่จะไปคุย ให้ชัดเจน ไม่ควรมีวาระแอบแฝง อย่างน้อยช่วงเวลาก่อนถึงเดือนมิถุนายน พรรคการเมืองควรจะได้ทำการบ้านเตรียมข้อมูลมาหารือกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน หากนายวิษณุมีความจริงใจที่อยากจะเชิญพรรคการเมืองมาหารืออย่างบริสุทธิ์ใจ ต้องรู้จักให้เกียรติพรรคการเมืองมากกว่านี้ เพราะให้เกียรติพรรคการเมือง คือ ให้เกียรติประชาชน พรรคเพื่อไทย เป็นสถาบันทางการเมือง ยึดถือข้อปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ การข่มขู่ว่าถ้าพรรคการเมืองไม่มาหารือ จะไม่สามารถกำหนดวันเลือกตั้งได้นั้น อาจเป็นความเข้าใจและการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน เพราะอำนาจกำหนดวันเลือกตั้งและกระบวนการต่างๆ เป็นหน้าที่ของกกต. ซึ่ง กกต.ต้องประสานกับรัฐบาลและครม. ไม่ได้มีกฎหมายใดระบุว่าพรรคการเมืองต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวในกระบวนการกำหนดวันเลือกตั้ง ตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย มีทั้งข้อเสนอแนะ ข้อสังเกต ที่เสนอมายังรัฐบาลคสช.เป็นจำนวนมาก ถามว่ามีสักเรื่องหรือไม่ ที่รับฟังแล้วนำไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงการเชิญพรรคการเมืองไปหารือก่อนหน้านี้ มีเรื่องใดที่เป็นข้อห่วงใยของพรรคการเมืองแล้วนำไปสู่การแก้ไข อยู่มา 4 ปี ไม่คิดจะฟังใคร ดันจะมาอยากฟังเอาในวาระสุดท้าย ถ้ารัฐบาลคสช.มีความจริงใจในการจะเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ควรยกเลิกข้อห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม และปลดล็อกทางการเมือง ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ 53/60 ยกเลิกข้อห้ามการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คน รัฐบาลคสช.ควรทบทวนว่าความไม่แน่นอนทางการเมือง จนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนนั้น ใครเป็นคนทำ แม้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ประกาศเลือกตั้ง กุมภาพันธ์ 2562 แต่ทำไมประชาชนไม่เชื่อมั่น เพราะท่าทีที่ไม่ความจริงใจและไม่ให้เกียรติประชาชนของรัฐบาลคสช.หรือไม่
วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561
"หมวดเจี๊ยบ" แนะรัฐรับความจริง ออกคำสั่งละเมิดสิทธิ์ประชาชน
"หมวดเจี๊ยบ" ระบุ รัฐบาล และ คสช. ควรเลิกแก้ตัวได้แล้วว่า ไม่ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่ามาอ้างว่าทำตามกฎหมาย ในเมื่อ กฎหมายหลายฉบับ และคำสั่ง คสช. ล้วนมีเนื้อหาขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ถ้ารัฐบาลไม่ยอมรับความจริง แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร เข้าตำราคนดีชอบแก้ไข ส่วนคนชอบแก้ตัวจัดเป็นคนประเภทใด ฝาก พล.อ.ประยุทธ์ ไปหาคำตอบเอาเอง
ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาล และ คสช. ควรเลิกแก้ตัวได้แล้วว่า ไม่ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชน และอย่ามาอ้างว่าต้องทำตามกฎหมาย ในเมื่อ กฎหมายหลายฉบับ และคำสั่ง คสช. ล้วนมีเนื้อหาขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน เช่น พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ คำสั่ง คสช. ที่ 3/58 ซึ่งห้ามชุมนุมทางการเมือง และการใช้อำนาจตาม ม.44 เป็นต้น ตนเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังคิดผิด และแก้ปัญหาไม่ถูกทาง เพราะการเคารพสิทธิมนุษยชนนั้น ต้องลงมือทำจริงๆ ไม่ใช่แค่รับปากไปส่งเดชว่าจะเคารพกติการะหว่างประเทศ แต่กลับปล่อยให้ลูกน้องออกมาดิสเครดิตประชาชนที่คิดต่าง โจมตีนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และกล่าวหาองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนว่าให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่เขาก็พูดเรื่องจริง ใครๆ ก็เห็นทั้งนั้นว่า ประชาชนร่วมร้อยคนต้องถูกดำเนินคดีข้อหาร้ายแรง เพราะอยากเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ พวกเขาทำในสิ่งที่ถูกต้องและใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แม้แต่นักเรียนนักศึกษาก็ถูก คสช. ยกกำลังไปคุกคามถึงบ้าน เพียงเพราะเขาคิดต่างจากรัฐบาล เรื่องเหล่านี้อยู่ในสายตาของโลกในยุคโซเชียลมีเดีย
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมรับความจริงว่าคนไทยและสื่อมวลชนในไทยถูกปิดกั้นสิทธิและเสรีภาพอย่างหนัก แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนตกต่ำในประเทศไทยได้อย่างไร ตนขอเตือนสติรัฐบาลว่า คนดีนั้นชอบแก้ไข ส่วนคนที่ชอบแก้ตัวจัดเป็นคนประเภทใดนั้น ขอฝากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปคิดหาคำตอบเอาเอง
"ทนายวิญญัติ" ยื่น ป.ป.ช. เร่งคดีโรงพักร้างไม่คืบ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่า ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อประธาน ป.ป.ช. ผ่าน นายวราพงษ์ อินต๊ะโมงค์ รักษาราชการแทน ผอ.สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ เพื่อขอให้ ป.ป.ช.เร่งรัดให้มีการดำเนินการตรวจสอบคดีทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำงานสถานีตำรวจทดแทน 396 ที่ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กับพวกไปแล้ว
นายวิญญัติ กล่าวว่า "วันนี้ตนได้นำเอกสารหลักฐานรวม 5 ฉบับมายื่นให้ ป.ป.ช.ด้วย ซึ่งจากข้อมูลในเอกสารหลักฐานทั้งหมดมีความชัดเจนว่าคดีดังกล่าวผู้อนุมัติมีความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามมติ ครม.อย่างชัดเจน โดยคดีดังกล่าวอยู่ในการดำเนินการของ ป.ป.ช.กว่า 5 ปีแล้ว แต่กลับยังไม่มีการเร่งรีบสรุปชี้มูลความผิดทั้งที่พฤติการณ์ในการกระทำความผิด และความเสียหายปรากฏชัดเจน พอที่จะดำเนินการหาตัวผู้รับผิดชอบและเอาผิดได้ เนื่องจาก ครม.เคยมีมติให้ใช้วิธรการจัดจ้างก่อสร้างแบบเป็นรายภาค แต่นายสุเทพ ในฐานะรองนายกฯที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ในขณะนั้น ได้อนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างให้มีผู้รับจ้างเพียงรายเดียวทั่วประเทศ และไม่มีการเสนอให้ ครม.อนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้าง จนส่งผลให้โครงการไม่แล้วเสร็จ ซึ่งก่อนหน้านี้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์(กวพ.อ.) กรมบัญชีกลาง ซึ่งมีน.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลังในขณะนั้นเป็นประธาน เคยมีการตรวจสอบและมีข้อสรุปว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามมติของ ครม. แต่พอเรื่องอยู่ในการดำเนินการของ ป.ป.ช.กลับเป็นไปด้วยความล่าช้า ทั้งที่บางคดีมีการดำเนินการไม่ถึง 1 ปีก็สามารถสรุปได้ ดังนั้นจึงอยากให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยเฉพาะ น.ส.สุภา ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตในกรณีนี้อย่างมีประสิทธิภาพ สุจริต เที่ยงธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ"
"ตนจะเกาะติดเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนกว่า ป.ป.ช.จะมีมติเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หากภายในสิ้นปีนี้ ป.ป.ช.ยังไม่มีการดำเนินการใดๆหรือมีมติไม่ชี้มูลความผิด ตนก็เตรียมจะรวบรวมรายชื่อประชาชน 20,000 รายชื่อ ร้องต่อประธานรัฐสภา เพื่อเสนอให้ประธานศาลฎีกาตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 ขึ้นมาไต่สวนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฐานจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง" นายวิญญัติ กล่าว
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561
ม่วนใจ๋! "วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล" นั่งนายกสมาคมชาวเหนือ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากโรงแรมโรงแรมเอสซี ปาร์ค ว่า สมาคมชาวเหนือ จัดการประชุมใหญ่สามัญประจําปี โดยมีการเลือกตั้งคณะกรรมการสมัยที่ 30 แทนที่กรรมการชุดเดิมที่หมดวาระลง ผลการลงคะแนนปรากฏว่า คุณวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ได้รับการคัดเลือกเป็นนายกสมาคมคนใหม่ โดยรับตำแหน่งต่อจากคุณเยาวเรศ ชินวัตร
ทั้งนี้ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ สังกัดพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมชาวเหนือ ในการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2560 ในครั้งนี้ด้วย
สมาคมชาวเหนือ เป็นองค์กรสาธารณะกุศล ดําเนินกิจกรรมเกี่ยวกับส่งเสริม และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาวเหนือตลอดจนส่งเสริมการศึกษา การ ศาสนาและร่วมมือกับองค์กรภาครัฐ และเอกชนในการดําเนินกิจกรรมสาธารณะ ประโยชน์ เป็นต้น และประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามวัตถุประสงค์ของ สมาคมฯ คือ เป็นศูนย์กลางที่ปรึกษา การประสานการมีส่วนร่วมของประชาชนชาวเหนือและองค์กรเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และภาคประชาชนชาวเหนือในประเทศและต่างประเทศ เป็นองค์กรประสานการมีส่วนร่วมในการศึกษา พัฒนาและส่งเสริมกิจกรรม โครงการต่าง ๆ ที่ครอบคลุมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม สาธารณสุข อุตสาหกรรม การเกษตร สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ใน พื้นที่จังหวัดภาคเหนือ หรือในพื้นที่เครือข่ายองค์กรชาวเหนืออาศัยอยู่ทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังนําแผนนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการความร่วมมือไปดําเนินการให้ สําเร็จตามเป้าหมาย ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม ส่งเสริม สนับสนุน ร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561
"วัฒนา" แนะปฏิรูปกองทัพ ลดขนาด-ยกเลิกเกณฑ์ทหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
“ยกเลิกเกณฑ์ทหาร”
ปัญหาเรื่องการเกณฑ์ทหารไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะบุคคล หรือเป็นปัญหาของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง แต่เป็นหนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างของกองทัพ ทั้งนี้เนื่องจากภัยคุกคามประชาชาติได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว การทำสงครามแบบเดิมที่ต้องเกณฑ์ไพร่พลจำนวนมากเพื่อทำศึกได้เปลี่ยนเป็นภัยคุกคามในรูปการก่อการร้าย การก่อวินาศกรรม และการใช้เทคโนโลยีด้วยการยิงขีปนาวุธพิสัยไกลที่มีอำนาจการทำลายล้างมหาศาล โลกปัจจุบันจึงเน้นนโยบายการสร้างความร่วมมือเพื่อลดเงื่อนไขการก่อสงคราม
หน้าที่ของกองทัพคือการป้องกันประเทศจากภัยคุกคามภายนอก กระทรวงกลาโหมจึงมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Ministry of Defence” ส่วนการดูแลความมั่นคงภายในเป็นหน้าที่ของตำรวจและกระทรวงมหาดไทย ซึ่งตรงกับชื่อภาษาอังกฤษว่า “Ministry of Interior” แต่กองทัพกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือทำรัฐประหาร จากนั้นใช้รักษาอำนาจคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เช่น อุ้มคนเห็นต่างเข้าค่าย แจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนที่ใช้สิทธิและเสรีภาพ หรือไปเยี่ยมบ้านของนิสิตนักศึกษาและผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เป็นต้น การมีกำลังพลมากเกินความจำเป็นทั้งยังถูกใช้งานผิดวัตถุประสงค์
การปฏิรูปกองทัพผ่านกระบวนการทางรัฐสภาจึงมีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อสร้างวัฒนธรรมทหารมืออาชีพที่มีหน้าที่ป้องกันประเทศจากภัยคุกคามภายนอก การยกเลิกการเกณฑ์ทหารเปลี่ยนเป็นรับสมัครและการลดขนาดของกองทัพลงเพื่อให้มีกำลังพลเหมาะสมกับภารกิจ การย้ายหน่วยงานของกองทัพออกไปอยู่ตามหัวเมือง และการป้องกันไม่ให้กองทัพถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่เพียงเพื่อรักษาประโยชน์ด้านงบประมาณและความมั่นคง แต่ยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการใช้อำนาจในทางที่ผิดอีกต่อไป นี่คือภารกิจสำคัญที่พวกเราจะต้องกระทำให้สำเร็จหากชนะการเลือกตั้ง
"ชวลิต" สับ 4 ปี คสช. ข่าวทุจริตครึกโครม-ไร้ปฏิรูป-ไม่ปรองดอง
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณีครบ 4 ปี คสช.และแม่น้ำห้าสาย และกรณี สนช. ล้มการสรรหา กสทช. โดยระบุว่า หนีไม่พ้นข้อครหาว่าต้องการคุมสื่อเบ็ดเสร็จ
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ กล่าวกับสื่อมวลชนว่า จะขอยกตัวอย่างสำคัญ ๆ ที่ คสช. และแม่น้ำห้าสายดำเนินการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
1. การล้มร่าง รธน.ฉบับที่นายบวรศักดิ์ อุวรรโณ เป็นประธาน กรธ.
2. เลื่อนโรดแมพการเลือกตั้งซ้ำซาก ทั้งที่รับปากกับประชาชนและชาวโลก ต่างกรรมต่างวาระ
3. สนช.ล้มการสรรหา กกต.
4. พรป. พรรคการเมือง ประกาศในราชกิจจานุเบกษามีผลบังคับใช้แล้ว แต่มีคำสั่ง คสช.อยู่เหนือ พรป. ทำให้พรรคการเมืองไม่อาจดำเนินการตามกฎหมายที่รัฐบาลและแม่น้ำห้าสายออกมาเอง
5. คสช.และแม่น้ำห้าสายโฆษณาชวนเชื่อตลอดมาว่าจะปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมือง แต่การที่รัฐบาลใช้พลังดูดพรรคการเมือง นักการเมือง โดยตั้งให้เป็นที่ปรึกษา และผู้ช่วยรัฐมนตรี สอดคล้องกับข่าวการตั้งพรรคการเมืองโดยรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลจะเป็นทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค โดยอาศัยทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ประชุมหารือ ทั้งถูกวิพากษ์ว่ามีการหาเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น การดำเนินการดังกล่าวข้างต้น เป็นการปฏิรูปการเมืองอย่างไร?
6. โดยเฉพาะการตรวจสอบที่เป็นสองมาตรฐาน ขอยกตัวอย่างเพียงเรื่องเดียว คือ การตรวจสอบการทุจริตในการขุดลอกคู คลองทั่วประเทศของ อผศ. ซึ่งใช้งบประมาณจำนวนมาก มีข่าวการทุจริตครึกโครมในการจ้างช่วง 3 - 4 ช่วง เหตุใด ครม. ยกเลิกสิทธิพิเศษที่ให้กับ อผศ. ในการขุดลอกคู คลอง ทั้งไม่เคยตอบข้อร้องเรียนต่อผู้ร้องให้ทราบความคืบหน้าแต่ประการใด
7. ประการสำคัญที่สุด คือ การสร้างความปรองดองในบ้านเมือง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้ แทนที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วยการวางตนเป็นกลาง เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง แล้วดำเนินการสร้างความปรองดองซึ่งมีหลายภาคส่วนเคยศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองไว้ นอกจากไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างปรองดองอย่างแท้จริง ยังไปตีท้ายครัวของพรรคการเมืองอื่น ด้วยการที่ตนเองและคณะไปตีกอล์ฟได้ แต่พอสมาชิกพรรคการเมืองจะไปบ้างในสถานที่เดียวกัน ก็ปรามว่าระวังจะผิดกฎหมาย พฤติการณ์ที่ไม่มีน้ำใจอย่างนี้หรือจะเอื้อต่อการเชิญชวนให้พรรคการเมืองไปร่วมเสวนาด้วย เพราะท่านไม่ได้วางตนเป็นกลาง ไม่ได้วางตนเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่จะบริหารจัดการเลือกตั้งให้เป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชนและชาวโลก
นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า ที่ยกตัวอย่างมานั้น เป็นเพียงบางส่วน ซึ่งตนก็จนใจไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมยังทนนั่งอยู่ในอำนาจอยู่ได้
"เพื่อไทย" ทวงความคืบหน้าคดีมหากาพย์ 5 ปี โรงพักร้าง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมหากาพย์ 5 ปี โรงพักร้าง ที่หลักฐานชัดแต่คดีไม่คืบหน้า ว่า ประชาชนและตำรวจทั้งประเทศต่างจับตาดูการดำเนินคดีโครงการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง ที่สร้างไม่เสร็จ เพราะมีผู้รับเหมาเพียงรายเดียวทั่วประเทศ หลังจาก ครม.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีมติเห็นชอบให้สร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง ใช้งบประมาณไทยเข้มแข็ง จำนวน 5,848 ล้านบาท โดยให้สตช.จัดจ้างเป็นรายภาค (ภาค 1-9)ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และต้องรื้ออาคารเดิม ตามความเห็นคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในเวลาต่อมาเสนอเปลี่ยนแปลงการจัดจ้างป็นแบบรวมกันที่ส่วนกลางในครั้งเดียวทั้งประเทศ ทำให้ได้ผู้รับเหมารายเดียว คดีนี้ดีเอสไอรับเรื่องร้องเรียน ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนทั่วประเทศ สรุปผลดำเนินคดีต่อผู้อนุมัติฯขัดมติครม.ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ตั้งแต่ ปี 2556 อนุกรรมการไต่สวนฯป.ป.ช.โดยนายวิชา มหาคุณ ประธานไต่สวนฯแถลง มีมติแจ้งข้อหาว่ารู้ทั้งรู้แต่กลับเปลี่ยนแปลงการจัดจ้าง จึงขัดมติ ครม.ต้องดำเนินการคดีอาญา ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 บัดนี้ 5 ปีผ่านไป คดีไม่คืบหน้า ป.ป.ช.ต้องตอบคำถามกับสังคมให้ได้ว่า การดำเนินการเรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนใด สามารถเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบได้หรือไม่? อย่าให้ประชาชนต้องตั้งคำถามว่าทีเรื่องของฝ่ายการเมืองตรงข้าม ท่านเร่งได้เร่งเอา เร่งรัดเต็มสูบ แต่เรื่องที่เป็นความทุกข์ร้อนของตำรวจและประชาชนทั่วทั้งประเทศ ดึงได้ดึง ยื้อได้ยื้อหรือไม่? ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ความจริงใจในการทำงานของ ป.ป.ช.
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561
ต้องอ่าน! "วีระ" โชว์จดหมายผ่าปมร้อนคดีกรุงไทย-แนะอย่าเลือกปฏิบัติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน(คปต.) ได้เผยแพร่เนื้อหาของจดหมายที่ถูกส่งมาถึง โดยระบุว่า "อ่านหนังสือร้องเรียนของเจ้าหน้าที่ DSI ที่ส่งให้ผมช่วยเปิดเผยต่อสาธารณะ อ่านจบจะเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นใน DSI และจะเข้าใจภาพจริงที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม" ทั้งนี้ จดหมายดังกล่าว เขียนโดย ถูกส่งมาจากกลุ่มข้าราชการผู้ปฏิบัติงานอย่างเป็นธรรม โดยมีเนื้อหาดังนี้
วันที่ 18 เมษายน 2561
เอกสารแนบ แผนผังเส้นทางการเงินและธุรกรรมของเงินที่ได้จากการปล่อยสินเชื่อธนาคารกรุงไทย
เรียน คุณวีระ สมความคิด
ข้าพเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในสายงานกระบวนการยุติธรรม มีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินคดีฟอกเงินต่อผู้เกี่ยวข้องในคดีปล่อยกู้ของผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ข้าพเจ้าจึงทราบถึงรายละเอียด ข้อเท็จจริงและหลักฐาน รวมถึงคำให้การของพยานต่างๆในคดีนี้ ตลอดจนได้รับทราบและได้รับแรงกดดันจากข้าราชการระดับสูงที่พยายามสั่งการให้ผู้รับผิดชอบคดีดำเนินการหรือปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามความเห็นส่วนตนของข้าราชการระดับสูงดังกล่าว โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตลอดมา
จากการที่คุณวีระ สมความคิด ได้ติดตามการดำเนินคดีฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตปล่อยสินเชื่อธนาคารกรุงไทย และได้เรียกร้องความเป็นธรรมในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตลอดจนการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้มาอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้าจึงขอชื่นชมการทำหน้าที่ท่าน ที่ได้ทำไปโดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนหรือเข้าข้างคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่มุ่งรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวมโดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลหรืออำนาจรัฐเผด็จการใดๆมาโดยตลอด
เพื่อให้การพิจารณาคดีนี้ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม อำนวยความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย และเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบในคดีจะต้องปฏิบัติหน้าที่หรือดำเนินการในสิ่งที่ขัดต่อหลักการของกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติจากบุคคลทุกกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากคดีนี้ ข้าพเจ้าเห็นความจำเป็นที่ท่านควรได้รับข้อมูลและข้อเท็จจริงที่มีความสำคัญต่อคดี ซึ่งข้อมูลและข้อเท็จจริงสำคัญเหล่านี้จะสูญเปล่า หากไม่นำมาเปิดเผยต่อประชาชน ข้าพเจ้าจึงขอส่งข้อมูลและข้อเท็จจริงตามเอกสารแนบท้ายจดหมายฉบับนี้ ซึ่งอาจเป็นหลักฐานสำคัญของคดี เพื่อให้ท่านได้พิจารณาดำเนินการเรียกร้องให้นำหลักฐานข้อเท็จจริงเหล่านี้เข้าสู่กระบวนแห่งคดี เพื่อให้กระบวนการยุติธรรม จักได้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ข้าพเจ้ามีความเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในคดีนี้ ดังต่อไปนี้
1. ความเห็นต่อการพิจารณาคดีนี้ ในความรู้สึกของข้าราชการที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะพนักงานเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในคดี ข้าฯขอเรียนว่าทุกคน ต่างปฏิบัติงานด้วยความอึดอัด กดดัน และไม่สบายใจ เนื่องจากในข้อเท็จจริงคดีนี้ ปรากฏว่ามีธุรกรรมการโอนเงินหรือสั่งจ่ายเงิน จากบัญชีเงินฝากของนายวิชัย กฤษดาธานนท์ ซึ่งได้รับมาจากบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ที่ได้รับเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย ไปยังผู้รับโอนจำนวนมาก นับเป็นหลายร้อยธุรกรรม คิดเป็นวงเงินจำนวนหลายพันล้านบาท แต่การดำเนินการกลับมีการเร่งรัด โดยการแยกดำเนินคดีพิเศษเฉพาะกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คน คิดเป็นมูลค่าทางคดีน้อยมาก เมื่อเทียบกับมูลค่าธุรกรรมการโอนเงินเกิดขึ้นจริงหลายพันล้านบาท (ดังมีหมายเลขบัญชี รายชื่อบุคคลและนิติบุคคล เส้นทางการทำธุรกรรม ตามเอกสารแนบ)
2. โดยหลักปฏิบัติ ในการสืบสวนเส้นทางการเงินในคดีฟอกเงิน พนักงานเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบจะต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินและวิเคราะห์ธุรกรรมทั้งหมด (กรณีนี้คือ ตรวจสอบและวิเคราะห์ธุรกรรมทั้งหมดที่นายวิชัยและพวก ได้โอนเงินหรือสั่งจ่ายเงินอันเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้รับมาจากการปล่อยสินเชื่อกรุงไทยฯ ทุกธุรกรรม) และจะต้องตรวจสอบที่มาของการทำธุรกรรมแต่ละรายการจนครบถ้วน มิใช่คัดเลือกเฉพาะรายการธุรกรรมของบุคคลบางรายหรือบางกลุ่ม แล้วเลือกระบุว่า ธุรกรรมดังกล่าวเป็นธุรกรรมที่มีความผิดปกติ ดังที่สำนักงาน ปปง. ใช้เป็นข้อกล่าวอ้างในการร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีพิเศษที่ 25/2560 และแม้ในชั้นการสอบสวนในคดีพิเศษ การที่คณะพนักงานสอบสวนฯ จะมีความเห็นอันเกิดจากการสอบสวนพยานหลักฐานทั้งหมดตามดุลยพินิจของตนเอง แต่ก็ต้องคำนึงว่าหากปรากฎหลักฐานว่ามีการทำธุรกรรมในเส้นทางการเงินเดียวกันในการโอนทอดเดียวกัน คณะพนักงานสอบสวนย่อมมีหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวทุกธุรกรรมให้ครบถ้วน มิใช่เลือกพิจารณาหรือใช้ดุลยพินิจเฉพาะรายที่ต้องการจะเอาผิดเท่านั้น
3. คดีฟอกเงินจากความผิดเกี่ยวกับการทุจริตกรณีปล่อยสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยนี้ ถือเป็นคดีอาญาแผ่นดินซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายร่วมหมื่นล้านต่อรัฐ โดยหลักการกรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ทันทีที่พบว่ามีการกระทำความผิด ดังเช่นคดีพิเศษที่ 36/2550 ซึ่งเป็นคดีหลักในการพิจารณาการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหลีกเลี่ยงการร้องทุกข์กล่าวโทษและอ้างว่า สำนักงาน ปปง. เป็นฝ่ายร้องทุกข์มาเอง ทั้งที่เคยปรากฏในรายงานการประชุมเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในคดีพิเศษที่ 25/2560 ว่าคณะพนักงานสอบสวนหลายท่านยืนยันไม่แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายพานทองแท้และพวก ประกอบกับ สำนักงาน ปปง. อ้างว่า พบว่า ธุรกรรมที่นายวิชัยโอนเงินหรือสั่งจ่ายเงินให้นายพานทองแท้และพวก มีความผิดปกติทั้งที่สำนักงาน ปปง. ได้ดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมทั้งหมดมาตั้งแต่ในชั้น คสช. มีคำสั่ง เป็นข้อยืนยันที่ข้าพเจ้าได้เรียนแก่ท่านว่า ข้าราชการระดับสูงของหน่วยงานได้สั่งการและกดดันให้พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นอันเป็นอคติของตน ทำให้เกิดเป็นคดีพิเศษที่ 25/2560 ซึ่งสำนักงาน ปปง. เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษในที่สุด โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ประสานให้ ปปง. มาร้องทุกข์กล่าวโทษเฉพาะกลุ่มบุคคล ที่มีเป้าหมายว่าจะดำเนินคดี โดยแยกคดีออกมาพิจารณาใหม่ โดยประเมินได้ว่าคดีนี้ มีความพยายามจะให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี กับคนเพียงกลุ่มเดียว และปล่อยให้ผู้เกี่ยวข้องที่รับโอนเงินจากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อีกกว่าร้อยราย หมดอายุความไป ซึ่งหากกระบวนการนี้ได้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง กลุ่มผู้รับเงินจากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ กับพวกทั้งหมดย่อมต้องได้รับการสอบสวนและดำเนินคดีดังเช่น นายพานทองแท้และพวก
4. หากข้าพเจ้า และคณะพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในการสอบสวนเส้นทางการเงินและสอบสวนข้อเท็จจริงในคดีนี้ ปล่อยให้มีการกระทำสองมาตรฐานเช่นนี้ต่อไป หากมีการตรวจสอบในภายหลัง และพบว่าการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินคดีฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากการปล่อยกู้โดยทุจริตของธนาคารกรุงไทยนี้ เจ้าหน้าที่ได้พิจารณาโดยมิได้ใช้มาตรฐานเดียวกันอย่างเป็นธรรม หรือเลือกปฏิบัติเฉพาะกับกลุ่มบุคคลหนึ่ง ประกอบกับคดีมีมูลค่าความเสียหายหลายพันล้านบาท แต่เจ้าหน้าที่กลับมาเพ่งเล็งตรวจสอบแค่เพียงเส้นทางการเงินเฉพาะธุรกรรมบางรายซึ่งมีมูลค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความเสียหายต่อรัฐ นอกจากหน่วยงานจะเสื่อมเสียความน่าเชื่อถือจากประชาชนแล้ว ผู้ที่ไม่อาจพ้นผิดและจะต้องถูกดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบย่อมได้แก่พวกข้าพเจ้า ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงานในการดำเนินคดีนี้ตลอดทั้งสาย
5. ในการทำหน้าที่ตรวจสอบ สืบสวนและสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้รับมาจากการปล่อยสินเชื่อโดยทุจริตของธนาคารกรุงไทยที่ผ่านมา ได้มีข้าราชการระดับสูงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งรับผิดชอบคดีนี้ถูกโอนย้ายไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรีโดยไม่เป็นธรรม อันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริตและเป็นกลาง ซึ่งข้าราชการดังกล่าวได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยังประธานคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ว่า ตนถูกเรียกไปสั่งการให้ควบคุมให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่รับผิดชอบดำเนินคดี มีความเห็นทางคดีควรสั่งฟ้อง นายพานทองแท้และพวกเป็นการเฉพาะซึ่งขัดต่อหลักการใน(การ)ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมโดยสิ้นเชิง ซึ่งหากปัจจุบัน ยังมีการกดดันหรือสั่งการ จากผู้บริหารระดับสูงขององค์กรบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวในลักษณะเดิมอยู่ เจ้าหน้าที่ฯ ทุกคนย่อมอึดอัดใจในการปฏิบัติหน้าที่ และเรื่องร้องเรียนดังกล่าวก็ยังไม่มีการตรวจสอบจนเป็นที่ยุติว่า การโยกย้ายดังกล่าวไม่เป็นธรรม และมีการสั่งการโดยมิชอบตามที่ร้องเรียนหรือไม่ ซึ่งผลจากการพิจารณาอาจกระทบถึงการดำเนินการของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 25/2560 ชุดปัจจุบันได้
6. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 25/2560 กำลังถูกเร่งรัดให้ลงมติหรือให้ความเห็นทางคดีประกอบสำนวนคดีพิเศษที่ 25/2560 ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนดังกล่าว ยังคงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกดดันและไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยทราบตามข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่าการดำเนินคดีในคดีพิเศษที่ 25/2560 นี้ไม่ชอบธรรมและเลือกปฏิบัติ แต่หากไม่ลงมติเห็นควรสั่งฟ้องหรือหากไม่ให้ความเห็นทางคดีว่าควรสั่งฟ้อง ก็ย่อมเกรงจะถูกย้ายหรือขาดความก้าวหน้าในหน้าที่การงานดังที่เกิดขึ้นกับข้าราชการระดับสูงที่ได้กล่าวมาในข้อ 5 แต่หากจะให้ความเห็นทางคดีตามคำสั่งหรือความต้องการของข้าราชการระดับสูงของหน่วยงาน ก็ย่อมจะมีความกังวลว่า จะถูกดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในภายหน้าต่อไป ซึ่งทำให้คณะพนักงานสอบสวนเกิดความกังวลในการปฏิบัติหน้าที่อย่างมาก
นอกจากนี้ ข้าพเจ้ายังทราบมาว่าอาจมีการสั่งการให้ปิดสำนวนคดีโดยเร็ว โดยให้หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หรือ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผู้ชี้ขาดแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีการลงมติให้ความเห็นทางคดีจากคณะพนักงานสอบสวนแต่ละราย ซึ่งหากกระทำเช่นนี้ ก็จะชัดเจนว่าคดีนี้ไม่มีความชอบธรรมและไม่มีความยุติธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และทำให้กระบวนการยุติธรรมล้มเหลว เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยต่อสาธารณชน มิได้ผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมดังที่ควรจะเป็น
ข้าพเจ้าในฐานะตัวแทนของข้าราชการในกระบวนการยุติธรรมที่ปฏิบัติหน้าที่ในคดีนี้ด้วยความเป็น กลาง และปรารถนาจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อให้คดีอันเป็นที่สนใจของประชาชนนี้ ได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง ยังคงความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย และรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติจนถึงที่สุด จึงขอส่งข้อมูลแผนผังเส้นทางการเงินในคดีนี้ ซึ่งนายวิชัยและพวกได้ทำธุรกรรมการโอนเงินหรือสั่งจ่ายเงินไปยังบุคคลและนิติบุคคลจำนวนมาก โดยข้อมูลนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดทำมาจากผลการตรวจสอบธุรกรรมของเงินกู้ทั้งหมดในคดีนี้ ตั้งแต่บริษัทในเครือกฤษดามหานครได้รับจากธนาคารกรุงไทย เป็นต้นมา
ข้าพเจ้าขอให้ท่านมุ่งมั่นที่จะต่อสู้แทนประชาชนและผู้เสียหาย (ประเทศชาติ) และทำหน้าที่เรียกร้องให้หัวหน้าหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมเอาผิดต่อทุกธุรกรรมที่กระทำโดยบุคคล และนิติบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงสถานะของตัวบุคคล โดยไม่มีการเลือก ปฏิบัติ และติดตามทวงคืนผลประโยชน์ของแผ่นดิน ที่อาจตกหล่นเสียหายจากคดีปล่อยสินเชื่อโดยทุจริตของผู้บริหารธนาคารกรุงไทยนี้ ก่อนที่คดีของผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากธุรกรรมการฟอกเงินหลายร้อยรายจะหมดอายุความในเร็ววันนี้
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและดำเนินการ
กลุ่มข้าราชการผู้ปฏิบัติงานอย่างเป็นธรรม
"อนุสรณ์" ท้าปลดรัฐมนตรีสายทหาร ยกเก้าอี้ให้พลังดูด
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี รัฐบาล คสช. โชว์พลังดูดกลุ่มการเมืองเข้าร่วมงานกับรัฐบาลว่า รัฐบาล คสช. มีอำนาจเบ็ดเสร็จ มีเครื่องมือ มีเครือข่าย องคาพยพ มีงบประมาณ ที่สามารถบริหารจัดการทุกอย่างตามความประสงค์ของตัวเอง จะใช้มาตรา 44 ปลดใครก็ได้ ปลดแล้วอยากตั้งใหม่ให้รับตำแหน่งที่ใหญ่กว่าก็ได้ โชว์พลังดูดยิ่งกว่าพญาแร้งที่เอามาสูบปลาในบ่อคนอื่น จะเททิ้งใคร จะ กกต. หรือ กสทช. ก็ง่ายยิ่งกว่ากดรีโมท และไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านใดๆ หรือไม่ เท่าที่ดูแทบไม่มีอะไรที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ทำไม่ได้ นอกจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้พี่น้องประชาชน การปฏิรูปประเทศ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การปราบปรามทุจริตคอรัปชั่น พลเอกประยุทธ์ไม่กลัวใคร แต่กลัวการเลือกตั้งหรือไม่? ไปที่ไหน ก็ดูดที่นั่น กลัวดูดไม่ทัน ก็กล้าเปิดหน้าตัก วางมัดจำ ดูดให้มารับตำแหน่งทั้งๆที่ยังไม่มีการเลือกตั้ง ต่อไปอาจได้เห็นการปลดรัฐมนตรีสายทหาร เพื่อเอาโควต้ามามัดจำให้กับพวกที่ถูกดูด นี่คือผลสำเร็จของการปฏิรูปการเมืองหรือไม่?
"ประชาชนตั้งตารอการเลือกตั้ง และหวังว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติและประชาชน ชาวบ้านไม่ได้ตื่นเต้นกับเหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่กลัวเหล้าเสียหมดอายุ ในขวดเน่า ดูดเข้าไปยังไง ก็มีแต่เสียกับเสีย ประชาชนอยากเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง รัฐบาล คสช. อย่ามัวแต่แก้ไขปัญหาของตัวเอง แล้วละเลยปัญหาของประเทศชาติและประชาชน" นายอนุสรณ์ กล่าว
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561
"อนุสรณ์" สอน "ชวน" หยุดสาดโคลน-แนะการเมืองต้องสร้างสรรค์
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ รัฐบาลทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์กลั่นแกล้งไม่จัดงบประมาณให้ซ่อมแซมถนนในภาคใต้ ว่า ขออนุญาตใช้สิทธิที่นายชวนพาดพิงเรื่องการตัดงบประมาณ ขออธิบายด้วยความเคารพ จากการตรวจสอบตั้งแต่ปี 2535 ถึง 2557 เกือบ 22 ปี รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งชวน 1 ชวน 2 รวมถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ บริหารประเทศเกือบ 9 ปี คิดเป็น 40% รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ บริหารประเทศ 7 ปีคิดเป็น 33% ซึ่งบริหารน้อยกว่าเกือบ 2 ปี แต่มีผลงานที่ประชาชนได้รับโอกาสมากมาย เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค โอทอป หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน กองทุนหมู่บ้าน คนได้ประโยชน์ทั่วทั้งประเทศ ราคายางพาราในยุคทักษิณ ยิ่งลักษณ์ สูงมาก จนผู้นำไม่เคยมีนโยบายโค่นต้นยางพาราไปปลูกจำปาดะ นโยบายค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท ประชาชนได้ประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าปัญหาการซ่อมแซมถนนภาคใต้ไม่ได้รับการพัฒนา ควรโทษใคร ใครที่ทำให้เสียหาย ทำให้ประชาชนเสียโอกาส การจัดสรรงบประมาณในภาคใต้ช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร ได้ตรวจสอบหรือไม่? การที่บอกว่ารัฐบาลทักษิณ ยิ่งลักษณ์ตัดงบซ่อมถนนไม่เป็นความจริงและทำไม่ได้ เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเรื่องซ่อมแซมถนนแบ่งเป็นหลายหมวด เช่น เส้นทางไหนจำเป็นเร่งด่วน เส้นทางไหนที่เป็นเส้นทางหลัก ความต้องการในการใช้เร่งด่วน สภาพความเสียหายของพื้นผิวถนน บางส่วนอิงจากจำนวนประชากรในพื้นที่ ซึ่งมีนักวิชาการ มีเจ้าหน้าที่ มีเครื่องมือและองค์ความรู้ที่เป็นมืออาชีพพิจารณาอย่างเป็นระบบ เช่น ถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนดวงจันทร์ ก็ต้องได้รับงบประมาณในการซ่อมแซมถนนก่อน
ขณะนี้ประเทศกำลังเดินหน้าเข้าสู่โหมดเตรียมการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยขอชี้ชวนทุกพรรคการเมืองให้ทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ มุ่งมั่นในการแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้กับพี่น้องประชาชน แนวทางของพรรคใดจะสามารถทำได้จริงและพาประเทศชาติประชาชนเดินไปข้างหน้าได้มากกว่า ดังนั้นจึงขอเรียนด้วยความเคารพว่า พรรคการเมืองไม่ควรโจมตีสาดโคลนกันไปมาเป็นแผ่นเสียงตกร่อง เพราะประชาชนจะรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่ควรทำตัวเป็นไก่ในเข่งที่จิกตีกัน ควรมาร่วมทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ประชาชนจะเบื่อหน่าย เส้นแบ่งของการเมืองยุคเก่า คือการกดให้พรรคการเมืองคู่แข่งดูตกต่ำด้วยการใส่ร้ายป้ายสี การเมืองยุคใหม่ ต้องทำงานสร้างสรรค์ ยึดเอาประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง พรรคเพื่อไทยได้เน้นย้ำกำชับเหล่าสมาชิกพรรคว่า อย่าไปโจมตีพรรคอื่น เพราะจุดขายของพรรคเพื่อไทยคือมุ่งเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง เพื่อทำให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน พัฒนาไปสู่ความอยู่ดีกินดี จึงไม่ควรทำงานการเมืองแบบโบราณ
วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561
"จิรายุ" ยืนยัน "ทักษิณ" พัฒนาภาคใต้-เตือนประชาธิปัตย์หยุดสาดโคลน
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้อยากให้การเมืองเลิกสาดโคลนใส่กัน วันนี้แม้จะเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ แต่ก็ต้องมีผู้ใหญ่ที่เป็นไอดอลที่ดี ที่ไม่เล่นการเมืองแบบเก่า พรรคเพื่อไทยไม่มีแนวคิดในการสาดโคลนใส่ผู้อื่นให้ตนเองดูดี นโยบายของผู้ใหญ่ ที่ผ่านมาเน้นไปที่ผลงานที่ทำได้จริง และทำให้เห็นว่าได้รับการพัฒนาทุกๆพื้นที่จนทำให้สถาบันจัดอันดับเศรษฐกิจ ยกให้ในช่วงปี 2544-2548 ในรัฐบาลอดีตนายกฯทักษิณ เป็นช่วงที่ประเทศไทยได้รับการพัฒนามากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า พี่น้องในพื้นที่ภาคใต้ได้รับการพัฒนาในสมัยรัฐบาลอดีตนายกฯทักษิณจำนวนมาก อย่างในปี 2547 ตามโครงการพัฒนาจังหวัดสงขลา-พัทลุง อาทิ ถนนสายบ้านไสกลิ้ง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง , บ้านหัวป่า อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“ผมอยากให้พลพรรคประชาธิปัตย์เปิดใจให้กว้าง ว่า หากตอนเป็นรัฐบาล ทำอะไรให้พี่น้องชาวใต้ไว้บ้าง ก็ออกมาบอก หรือหากขาดตกบกพร่องก็เติมไป วันนี้การใช้วิธีสาดโคลนหมดยุคการเมืองสมัยใหม่แล้ว” นายจิรายุ กล่าว
"ชวลิต" อัดรัฐบริหารรัฐวิสาหกิจไร้ประสิทธิภาพ-กระทบเศรษฐกิจ
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า 4 ปี คสช. ควรยอมรับความจริงเชิงประจักษ์ว่า เศรษฐกิจฐานรากย่ำแย่ เห็นได้จากชาวบ้านบ่นกันถ้วนทั่วว่า เงินในกระเป๋าถดถอย หนี้สินครัวเรือนเพิ่มพูน โพลทุกสำนักสำรวจครั้งใดปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง เป็นปัญหาสำคัญสูงสุดมาตลอด 4 ปี
นายชวลิต กล่าวว่า ยังมีอีกภาคส่วนหนึ่งที่ประชาชนทั่วไปอาจไม่ทราบว่ากำลังประสบปัญหาในเชิงนโยบายและการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพและขาดการตรวจสอบ คือ บรรดารัฐวิสาหกิจทั้งหลาย ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง ปรากฎว่า 4 ปี ของ คสช. และรัฐบาล รัฐวิสาหกิจหลายแห่งกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก สะท้อนนโยบายที่ผิดพลาด และการตั้งบอร์ดที่ไม่มีประสบการณ์เข้าไปบริหาร ทั้งนี้ ขอให้ติดตามอีกหลายรัฐวิสาหกิจที่พนักงานเริ่มทนสภาพความเสียหายต่อไปไม่ไหว ทั้งจากนโยบายของรัฐบาล และความรู้ ความสามารถของบอร์ดที่ทำให้องค์กรและประเทศชาติเสียประโยชน์
นายชวลิต กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลถูกวิพากษ์อย่างมากมาตลอดว่า การตั้งบุคคลที่ไม่มีประสบการณ์เข้าไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ทำให้รัฐวิสาหกิจนั้นๆ เสียโอกาสในการแข่งขัน ทำความเสียหายให้กับประเทศอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบหรอกว่า รัฐวิสาหกิจมีงบลงทุนประจำปีมากพอๆ กับงบลงทุนของรัฐบาล นับเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนควรติดตาม และให้ความสำคัญในการตรวจสอบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ
นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า ปกติในการลงทุนพัฒนาประเทศที่สมบูรณ์ ภาคเอกชนจะนำหน้า ภาครัฐสนับสนุน เดินไปด้วยกัน เกื้อกูลสนับสนุนกัน เหมือนกับคนที่ต้องเดินสองขา ร่างกายถึงจะสมดุล แต่ประเทศไทยขณะนี้ ลงทุนโดยภาครัฐเป็นหลัก เพราะภาคเอกชนไม่เชื่อมั่นรัฐบาล จึงเหมือนกับเดินขาเดียว กลายเป็นคนพิการที่เดินกระโผลกกระเผลก ทั้งยังพิการซ้ำซ้อนจากงบประมาณที่ทุ่มเทลงไปมหาศาลในรอบ 4 ปี แต่ผลลัพธ์ที่กลับคืนมาปรากฎว่า รวยกระจุกกับภาคส่วนกลุ่มทุนบางกลุ่ม แต่จนกระจายในภาคเกษตรและผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ดังนั้น เวลา 4 ปีที่ผ่านมาจึงเป็นเครื่องพิสูจน์เชิงประจักษ์แล้วว่า ด้วยระบบการเมือง การปกครองที่ไม่ปกติ และผู้บริหารที่ยึดติดในอำนาจสมควรที่จะหันมามองตัวเองว่า สมควรที่จะพอแล้วหรือยังกับอำนาจที่ทำความเสียหายให้กับประเทศชาติและประชาชน
ขอฝากข้อสังเกตว่า ผู้นำที่อยู่ในอำนาจบนความทุกข์ยากของประชาชนจะนั่งอย่างเป็นสุขได้อย่างไร? อารมณ์จะกราดเกรี้ยว หงุดหงิดง่าย ขาดสติ จึงฝากให้นำหลักพุทธมาปฏิบัติ คือ ละวางจากอำนาจ ให้บ้านเมืองเดินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น เฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ควรใช้กลไกอำนาจรัฐปูทางสืบทอดอำนาจ เพราะยิ่งจะสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง
วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561
"พิชัย" อัดรัฐยิ่งเลื่อนเลือกตั้ง เศรษฐกิจยิ่งแย่
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่ ธนาคารโลก และ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) บอกว่าแม้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะขยายตัวได้ประมาณ 4% ซึ่งรัฐบาลโดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พยายามจะบอกว่าดีสุดๆ นั้น ความเป็นจริงคือ ธนาคารโลกและ ADB บอกชัดเจนว่า การเจริญเติบโตที่ 4% นี้ต่ำกว่า อัตราเฉลี่ยที่ ธนาคารโลก และ ADB ทำนายการเจริญของโลก ซึ่งเป็นตัวเลขการเจริญเติบโตที่แย่ที่สุดในภูมิภาค และเป็นตัวเลขการเจริญเติบโตที่แย่ที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั้งหมดในเอเชียตะวันออก ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในการคาดประมาณการเจริญเติบโต โดยต่ำกว่า เวียดนาม (6.9%) มาเลเซีย (5.9%) กัมพูชา (7%) และ ลาว (7.3%) และที่ต้องเน้น เรื่องที่แย่ที่สุดคือ ทั้งธนาคารโลก และ ADB ไม่เห็นโอกาสที่เศรษฐกิจของไทย ภายใต้การนำของรัฐบาลปัจจุบัน จะสามารถทำให้ดีขึ้นได้ นอกจากจะยิ่งตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนทุกประเทศ ซึ่งเป็นไปตามที่ตนได้พูดอยู่เสมอแต่รัฐบาลหาว่าตนให้ข้อมูลที่บิดเบือน แล้วอย่างนี้ ธนาคารโลกและ ADB ให้ข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่? วิกฤตกบต้มที่เศรษฐกิจไทยจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านยังเป็นอยู่ และเป็นแบบนี้มาตลอดหลายปีแล้วตั้งแต่มีการรัฐประหาร จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ฟังความจริงจากองค์กรสากลระหว่างประเทศ และอย่าเชื่อนายสมคิดทั้งหมด และอยากให้นายสมคิดได้ฟังและอยากให้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวด้วย อย่าให้ข้อมูลเกินจริง ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนและสื่อมวลชนสับสนได้ และไม่อยากให้นักการเมืองชื่นชม รัฐบาล และ คสช. เพียงเพราะรัฐบาลและ คสช. ช่วยพัฒนาซ่อมแซมถนนในพื้นที่ให้เท่านั้น ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศยังย่ำแย่ และหากเลื่อนเลือกตั้งออกไปอีกเรื่อยๆ จะยิ่งไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้
วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2561
"ทักษิณ" อวยพรสงกรานต์ ขอให้คนไทยมีความสุข
ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาระบุว่า "สงกรานต์ปีนี้ ผมขอกราบอวยพรให้พี่น้องคนไทยทุกคนมีความสุข มีสุขภาพที่ดี และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านมีแรงฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไปได้ เราหวังร่วมกันว่า สงกรานต์ปีหน้าเราจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเสียที ด้วยความรัก ห่วงใย และปรารถนาดี
วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561
"สุดารัตน์" โพสต์แนะประชาชนขับขี่งดดื่ม-เดินทางปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาระบุว่า "ช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ขอให้พี่น้องทุกคนกลับบ้านอย่างมีสติ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ จะกลับบ้านเจอคนที่เรารักและรักเราอย่างปลอดภัยและมีความสุข เพราะช่วงเวลาที่พร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาดีๆที่ทุกคนจะร่วมกันแบ่งปันความสุขซึ่งกันและกัน กลับบ้านกันดีๆนะคะ คนที่รักเรารออยู่ค่ะ"
"พิชัย" ติงรัฐ-ครม.เศรษฐกิจไม่เก่ง ทำยอดลงทุนวูบ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่ คณะรัฐมนตรี มีมติย้ายฟ้าผ่าให้ ปลัดกระทรวงการคลัง นายสมชัย สัจจพงษ์ ไปเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ นายปรเมธี วิมลศิริ มาเป็นปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จนนายสมชัย ได้ยื่นหนังสือลาออกแล้วนั้น แสดงถึงว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ เลือกใช้คนไม่ถูกกับงาน หรือ อาจจะไม่พอใจการทำงานของทั้งสองคนที่ไม่สนองนโยบายที่สับสนของรัฐบาลอยู่ในปัจจุบัน โดยทั้งสองคนนี้ถือเป็นบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจที่หาได้ยากในปัจจุบัน แถมยังต้องมาแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นครั้งมโหฬารแทบทุกจังหวัด การโยกย้ายครั้งนี้จะเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถในทุกกระทรวง
อีกทั้งยิ่งจะทำให้ความนิยมของรัฐบาลที่ลดต่ำอยู่แล้วยิ่งลดต่ำลงไปอีก และเชื่อว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คาดเพราะการลงทุนในไตรมาสแรกลดลงอย่างมาก โดยยอดการตั้งโรงงานลดลง 26.96% และ การลงทุนจริงวูบลงถึง 25,700 ล้านบาท และหากมีสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน การเติบโตของไทยจะลดลงไปอีก หาก ครม. เศรษฐกิจไม่เก่งพอและยังโยกย้ายคนเก่งออกไปอีก จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจแย่ลง ประชาชนจะยิ่งลำบาก
วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561
"ณัฐวุฒิ" เดินหน้าเอาผิดคดีสลายการชุมนุม'53
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า เห็นด้วยที่ประธาน ป.ป.ช.บอกว่าจะพิจารณาข้อเรียกร้องกรณี 99 ศพช่วงหลังสงกรานต์ แม้ว่าควรจะดำเนินการตั้งนานแล้ว แต่อยากให้เข้าใจตรงกันว่า ข้อเรียกร้องของเรามี 2 ประเด็นคือ
1.การนำคดีที่ยกคำร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ไปแล้วขึ้นพิจารณาใหม่ ซึ่งคงต้องใช้เวลาอยู่บ้าง
2.การร้องขอสำนวนการไต่สวนยกคำร้องดังกล่าวเพื่อศึกษาการใช้ดุลยพินิจของ ป.ป.ช.เปรียบเทียบกับคำฟ้องคดีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ เพื่อประโยชน์ในการที่พวกตนและญาติผู้เสียชีวิตจะรวบรวมหลักฐานใหม่มามอบให้ ป.ป.ช.ได้ เรื่องนี้ไม่ต้องใช้กระบวนการอะไรแล้ว เป็นของสำเร็จรูปที่สามารถมอบให้ได้ทันที และไม่มีเหตุผลที่ ป.ป.ช.จะปกปิดไว้อีกต่อไป หวังว่าหลังสงกรานต์เราจะได้รับสำนวนนี้ ตนยินดีจะไปรับด้วยตัวเองทันทีที่ได้รับการติดต่อ
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์มอบหมายรองโฆษกพรรคคนหนึ่งให้ตามตอบโต้เรื่องนี้นั้น ตนไม่สนใจจะต่อปากต่อคำด้วย แต่ยืนยันว่าทุกอย่างที่พูดยืนอยู่บนความจริง ไม่มีประเด็นใดบิดเบือนคำพิพากษา ความพยายามอ้างว่าศาลยกฟ้องเรื่องนี้ไปแล้วต่างหากที่ต้องระวังเรื่องละเมิดอำนาจศาล เพราะศาลไม่ได้ยกฟ้องคดีฆ่า ไม่ได้ชี้ว่านายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ให้เป็นอำนาจของ ป.ป.ช.ในการพิจารณา ซึ่งตนกำลังติดตามเรื่องนี้ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นผู้เกี่ยวข้องรู้แก่ใจดีว่าทำอะไรลงไป ใครจะใช้เทคนิคการเมืองอย่างไรก็ช่าง แต่ตนจะเดินตรงๆ และทำทุกวิถีทางให้คดีนี้ถึงศาลให้ได้
วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561
"พานทองแท้" ถามหาจริยธรรมคนดี รับเช็คคดีฟอกเงินกรุงไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
เช็คคนดัง-คดีดัง ตอนที่ 2
ครบรอบ 1 สัปดาห์ ที่ผมโพสต์รูปเช็คสั่งจ่ายเงินเข้าบัญชีบุคคลที่มีชื่อเสียง 2 ท่าน ที่ได้รับเงินจากเงินกู้กรุงไทยแล้ว วันนี้ผมจะขอเล่าให้ฟังต่อ เป็นตอนที่ 2 นะครับ
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า โลกโซเชี่ยลในปัจจุบันนี้ ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ อย่างสุดยอดมาก อาจจะเรียกได้ว่า ดีกว่าการตรวจสอบโดยหน่วยงานที่ตั้งมาอย่างเป็นทางการเลยด้วยซ้ำ
เพราะนอกจากโซเชี่ยลจะทำหน้าที่กระจายข่าว ความไม่ชอบมาพากล ที่มีปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดเวลาในช่วงปีขาลงของรัฐบาลนี้แล้ว โลกโซเชี่ยลยังช่วยกันตรวจสอบและชี้ข้อผิดสังเกต ที่เกิดขึ้นในหน่วยงานของรัฐ อันอาจนำมาซึ่งการกระทำผิดกฎหมายในเรื่องต่างๆได้
ซึ่งในกรณีนี้ อาจเป็นเรื่องของการเลือกปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนหรือบางตำแหน่งก็ได้ (ซึ่งผมได้ทำเรื่องสงวนสิทธิ์ที่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นรายบุคคลในทุกตัวบทกฎหมายไว้แล้ว หากตรวจพบการกระทำผิด)
มีแฟนเพจ และผู้ที่ได้ติดตามข่าวหลายท่าน ได้ตั้งข้อสังเกตและชี้ประเด็น ตลอดจนเสนอแนะกันเข้ามามากมาย ทั้งคอมเมนต์ในเพจนี้ ส่งข้อความเข้ามาหลังไมค์ และติดต่อเข้ามา เพื่อให้ข้อมูลที่น่าสนใจเยอะมาก ซึ่งผมจะขอสรุปรวมกัน แล้วเปิดมาขยี้ทีละประเด็นให้เห็นกันชัดๆไป โดยวันนี้จะขอเริ่มที่ประเด็นแรกคือ
>> เช็คที่ถูกนำมาเข้าบัญชี พล.ร.ท.พะจุณณ์ จำนวน 1 แสนบาท ซึ่งสั่งจ่ายจากเงินก้อนเดียวกันกับคดีที่เร่งรีบจะฟ้องผม แถมมีเลขที่เช็คติดกันกับของผม คือเช็คเลขที่ 2724851 และ 2724852 ซึ่งมีตัวแทน พล.ร.ท.(ย่อว่า PJ ละกันสั้นดี) ออกมาชี้แจงว่า เป็นเช็คที่จ่ายค่างานเลี้ยง(ในข่าวว่าเป็นงานเลี้ยงรุ่น วปอ. หรือไงนี่แหละ) แต่..ปรากฏว่า..
“เช็คเงินสดฉบับนี้ พล.ร.ท.PJ เป็นคนเซ็นต์นำฝากเอง โดยเขียนระบุด้วยลายมือว่า ให้นำเงินไปเข้าบัญชีเงินฝากประจำประเภท 12 เดือน อันเป็นบัญชีของออเจ้า พีเจ เองเจ้าค่ะ..!!”
เรื่องนี้ มีข้อสังเกตจากนักสืบออนไลน์ และนักกฎหมายออนไลน์หลายท่านที่ส่งข้อมูลมาให้ ผมขอสรุปเป็นข้อๆดังนี้
1. เงินก้อนที่บอกว่าเป็นเงินจากการกระทำความผิด ถูกนำไปเข้าบัญชีโดยระบุว่า เป็นการฝากประจำ 12 เดือน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นบัญชีเงินฝากประเภทที่ให้ดอกผลสูงสุด มากกว่าการฝากประเภท 6 เดือน หรือการฝากออมทรัพย์ ถือเป็นเจตนาหาประโยชน์งอกเงย จากเงินก้อนนี้หรือไม่..?
2. เงินที่บอกว่านำมาชำระหนี้ค่างานเลี้ยง - งานเลี้ยงที่ว่านี้ เป็นงานเลี้ยงในกลุ่มเพื่อนหรือลูกน้อง ของ PJ เองหรือไม่?
2.1 ทำไมเจ้าของธุรกิจใหญ่ จึงต้องมาจ่ายค่างานเลี้ยงเป็นแสนๆ ให้นายทหาร?
2.2 เงินจ่ายหนี้ค่างานเลี้ยง ทำไมจึงนำมาเข้าบัญชีฝากประจำ?
2.3 กรณีนี้ ถือเป็นการรับทรัพย์เกิน 3,000 บาท ที่ทหารชั้นนายพลจะต้องสำแดงหรือไม่? ได้เคยสำแดงหรือยัง?
2.4 หน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ได้สอบสวนความผิดในประเด็นเหล่านี้หรือยัง?
2.5 จนป่านนี้ยังไม่มีความคืบหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะปล่อยไปจนหมดอายุความหรือไม่?
2.6 จะเร่งเอาผิดเฉพาะคดี พานทองแท้และพวก เท่านั้นหรือไม่?
3. เมื่อนำกรณีนี้ มาเปรียบเทียบกับกรณีเช็ค 26 ล้านของพานทองแท้ ที่ตัวเงินยังไม่ทันเข้าบัญชีเลย เช็คก็ถูกยกเลิกไปก่อนแล้ว ไม่มีเงินเข้าบัญชีแม้แต่บาทเดียว ภายหลังเงินถูกนำไปเข้าบัญชีผู้อื่น ซึ่งผมได้ทราบว่า ได้มีการคืนเงินกลับไปแล้วทุกบาททุกสตางค์เช่นกัน ไม่มีใครได้รับผลประโยชน์ แต่ผมกลับจะโดนคดี..เฮ้อออ..!!
ส่งท้ายวันนี้ผมขอตั้งคำถามไปถึงผู้รับเช็ค เป็นคำถามในเชิงจริยธรรม(ที่คนดีพึงมี) ซึ่งถ้าท่านคือคนดีของแผ่นดินจริง ขอให้ท่านตอบต่อสาธารณชนด้วย
“เงินที่ท่านได้มาฟรีๆ โดยที่ไม่ได้ทำงานทำการอะไร และท่านได้นำไปเข้าบัญชี หรือจะนำไปเลี้ยงลูกน้องก็แล้วแต่ (รวมถึงเงินที่นำไปเข้ามูลนิธิฯก้อนนั้นด้วย)
ในทางกฎหมายอาจสาวไปไม่ถึงตัวท่าน เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจจะไม่กล้าเอาผิด และไม่กล้าสั่งฟ้องท่าน
แต่ในทางจริยธรรมที่ท่านพึงมี เมื่อท่านได้ทราบที่มาที่ไปของเงินก้อนนี้อย่างกระจ่างชัด ว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบแล้ว
ท่านมีความคิดที่จะนำเงินมาคืนให้กับเจ้าของ หรือผู้เสียหายหรือไม่ครับ..!!”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)