วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561
"เพื่อไทย" แนะ ทบทวนสัญญาสัปทานบีทีเอส
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์ หัวหน้าคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย ได้กล่าวแสดงความห่วงใยในคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนกรุงเทพฯ สืบเนื่องจากเหตุการณ์บีทีเอส หรือ BTS ขัดข้อง ทำให้ประชาชนเกิดความเดือดร้อน ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาปี 2016 เกิดปัญหา 24 ครั้ง และปี 2017 เกิดปัญหา 46 ครั้ง จากการสำรวจ BTS มีการรายงานเหตุขัดข้องว่า 29% เกิดจากรถไฟฟ้าขัดข้อง 24% เกิดความล่าช้า และ 53% ไม่ระบุสาเหตุ โดยปัญหาที่พบบ่อยได้แก่ จุดสับรางขัดข้อง, ระบบควบคุมการเดินรถเกิดขัดข้อง และอาณัติสัญญาณขัดข้อง และในเดือน ก.พ.ปี 2016 เกิดเหตุขัดข้องนานที่สุดซึ่งกินเวลานานถึง 1,449 นาที โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นทางผู้ให้บริการแจ้งว่า เกิดเหตุขัดข้องบริเวณจุดสับรางในทิศทางจากสถานีชิดลมมุ่งหน้าเข้าสถานีสยาม จึงทำให้ไม่สามารถให้ขบวนรถไฟฟ้าวิ่งผ่านจุดดังกล่าวได้ และจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้รถไฟฟ้ากลับมาให้บริการปกติโดยไม่มีเหตุขัดข้องอยู่ 3 เดือน จนกระทั่งเดือน มิ.ย.ปี 2016 เกิดปัญหาอีกครั้ง ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงวันนี้ยังไม่มีเดือนไหนเลยที่รถไฟฟ้าไม่เกิดปัญหา จนกระทั่งเหตุการณ์ล่าสุดในเดือน มิ.ย.61 นี้ที่ รถไฟฟ้าเกิดปัญหาขัดข้องรวม 9 ครั้ง ใช้เวลาแก้ไขรวมทั้งหมด 561 นาที ทำให้คนกรุงที่ต้องใช้บริการ BTS ได้รับความเดือนดร้อนอย่างหนัก
"ดังนั้นทาง BTS จึงควรออกมาแสดงความรับผิดชอบเยียวยาคนกรุงที่ได้รับความเดือดร้อนจาก เหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วยการให้ประชาชนขึ้นฟรีตลอดเดือน ก.ค.61, และควรดำเนินการจัดการให้บริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ เข้ามาตรวจสอบมาตราฐานความปลอดภัย ซึ่งหาก BTS ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ กทม. ควรจะพิจารณายกเลิกสัปทานบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือไม่? และ กทม. จะมีมาตราการบทลงโทษ ต่อเหตุการณ์นี้อย่างไร?" ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าว
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ ได้แสดงความคิดเห็นและตั้งข้อสังเกตว่า จากการที่สัญญาสัปทานกว่าจะหมดอายุก็ปี 2572 ซึ่งเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน และสัญญาดังกล่าวไม่ได้เปิดช่องสำหรับบทลงโทษ ทำให้ กทม. ในฐานะที่เป็นผู้ให้สัมปทานเดินรถ ไม่สามารถทำอะไรได้มาก นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่า กทม. จึงทำได้เพียงส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยัง บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ผู้ได้รับสัมปทานดังกล่าวเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้ต้องตั้งข้อสังเกตุว่า ในการต่อสัมปทานครั้งต่อไป ควรจะต้องมีมาตรการป้องกัน และบทลงโทษไว้รองรับด้วย และจากการที่ มรว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่า กทม. สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในสมัยนั้น ได้อนุมัติให้ขยายสัญญาบริหารรถไฟฟ้าให้ BTS ไปอีก 13 ปีทั้งที่จะหมดสัญญาการสัมปทานในอีก 17 ปีข้างหน้า ทำให้เกิดฉุกคิดว่าเป็นการสมควรหรือไม่? และประชาชนได้รับผลประโยชน์อย่างไร? ดังนั้นหาก กทม.ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ รัฐบาลควรจะพิจารณาใช้ ม.44 ในการแก้ไขปัญหานี้หรือไม่อย่างไร? เพราะทุกวันนี้ประชาชนได้รับความลำบากจากปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และเราควรช่วยเหลือประชาชนทุกคนให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2561
“ยิ่งลักษณ์” ขอบคุณประชาชนอวยพรวันเกิด
วันเกิดปีนี้ เป็นปีแรกของดิฉัน ที่อยู่ในต่างประเทศ
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ยังคิดถึงและไม่ลืมกัน แม้ว่าวันนี้ ดิฉันจะต้องจากบ้านเกิดมา แต่พี่น้องประชาชนและแฟนคลับ ก็ยังส่งคำอวยพรมาให้ดิฉันแต่เช้า รวมถึงการ์ดอวยพร ขนม ดอกไม้ รูปภาพพร้อมกำลังใจและความห่วงใยมาให้ผ่านช่องทางต่างๆมากมาย แถมหลายคนยังขับรถมาไกลจากต่างจังหวัดเพื่อฝากของให้กับดิฉัน พร้อมกันนี้ขออนุโมทนาบุญกับอีกหลายคนที่ไปทำบุญวันเกิดให้กับดิฉันด้วยนะคะ
สิ่งเหล่านี้มีคุณค่ากับดิฉันเป็นอย่างมาก สำหรับมิตรภาพ ความรักความหวังดีที่มีต่อกันเสมอมา ดิฉันจะไม่มีวันลืมเลยค่ะ
ดิฉันต้องขอขอบคุณพี่ชายที่ทำให้วันเกิดของดิฉันเป็นไปอย่างอบอุ่น พี่ชายบอกว่าให้ทำตัวให้มีความสุขเพื่อคนที่เรารักจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะชีวิตทุกคนก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำรงชีวิต และท่านก็ให้เวลากับดิฉันทั้งวัน โดยเลี้ยงวันเกิดให้ทั้ง 2 มื้อ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ฉลองวันเกิดกับพี่ชายหลังจากที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน รู้สึกดีใจและประทับใจมากค่ะ
นอกจากนั้นดิฉันยังได้รับการ์ดที่ลูกชายสุดที่รักทำเองกับมือฝากมาให้ด้วย ตื้นตันใจค่ะ
สุดท้ายนี้ ดิฉันก็ขอส่งความสุขและกำลังใจผ่านเฟซบุ๊คนี้ไปยังพี่น้องประชาชนและแฟนเพจทุกท่านด้วยเช่นกันนะคะ ขอบคุณค่ะ
วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561
“อนุสรณ์” สอนประยุทธ์ตอบนานาชาติ เลือกตั้งวันไหน?
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. จะเดินทางเยือน สหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 20-26 มิถุนายน 2561 ว่า รัฐบาลจะปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไอโออะไรก็ควรอยู่บนพื้นฐานความจริง การเดินทางไปครั้งนี้ ไม่ใช่ได้ไปเพราะเขายอมรับในผลงาน 4 ปีของคสช. แต่วัตถุประสงค์หลักคือไปทำสัญญาซื้อขายดาวเทียมธีออส 2 (THEOS II) มูลค่าหลายพันล้านบาทหรือไม่? การไปที่บ้านหมายเลข 10 ถนนดาวน์นิง ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร คงไม่ถึงขั้นได้คุยแค่เรื่องดินฟ้าอากาศ แต่อาจไม่มีสาระสำคัญอะไรมากหรือไม่? เพราะรัฐบาลอังกฤษบอกว่า จะมีเพียงการถ่ายรูปจับมือตามธรรมเนียมปกติที่หน้าบ้าน แต่จะไม่มีการแถลงข่าวร่วมหรือออกแถลงการณ์ ทั้งที่โดยปรกติถ้าเป็นสาระสำคัญต้องมีการแถลงข่าวร่วมหรือออกแถลงการณ์ร่วมว่ามีประเด็นการเจรจาอะไรที่มีนัยยะสำคัญหรือไม่ รัฐบาลต้องกล้าบอกความจริงกับประชาชนว่าสหภาพยุโรป เขาไม่เจรจาเรื่องเขตการค้าเสรี (FTA) กับรัฐบาลปัจจุบันของไทย ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร ทำให้การเจรจาที่เคยมีกับหลายประเทศต้องหยุดชะงักไป และตราบใดที่ยังไม่มีการเลือกตั้งการเจรจาก็จะไม่เกิดขึ้นหรือไม่? ดังนั้นผู้ส่งออก นักลงทุน ประชาชนไทย จะยังไม่ได้ประโยชน์หากยังไม่มีการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับสู่การเจรจาเขตการค้าเสรี ประเทศไทยเสียหาย เสียโอกาสไปมากเท่าไหร่แล้วที่ยังไม่มีการเลือกตั้ง รัฐบาลคสช.ต้องกล้าบอกความจริงกับประชาชน ไหนๆก็จะได้ไปพบนางเทเรซา เมย์ พบนายเอมานูว์แอล มาครง ช่วยไปยืนยันกับผู้นำทั้งสองประเทศด้วยว่า จะจัดการเลือกตั้งวันไหน? เมื่อไหร่? เพราะก่อนหน้านี้เคยไปบอกนายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จะเลือกตั้ง 2558 บอกนายบันคีมูน เลขาธิการยูเอ็น จะเลือกตั้ง 2560 ไปบันทึกไว้ในแถลงการณ์ร่วมกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในแถลงการณ์ข้อ 8 ชัดเจนว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งในปี 2561 และถ้ามีโอกาสลองถามนางเทเรซา เมย์ กับนายเอมานูว์แอล มาครง ว่าประเทศของเขา ไม่มีรัฐประหาร ประชาชน สื่อมวลชนได้รับการเคารพสิทธิเสรีภาพ มีสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์เสนอแนะความคิดเห็นอย่างเสรี เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้ประสบความสำเร็จและเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร?
“นปช.” เตรียมเข้าสังเกตการณ์ ป.ป.ช. แถลงรื้อคดีสลายการชุมนุม 10เมษา-19พฤษภา
“ณัฐวุฒิ” เผย 21 มิ.ย.ใช้สิทธิประชาชนร่วมฟังแถลงป.ป.ช.รื้อคดีสลายชุมนุมนปช.ตาย99ศพหรือไม่ ยํ้าไปด้วยความสงบ-เคารพบุคคล-ให้เกียรติสถานที่เหมือนทุกครั้ง ลั่นสู้จนกว่าคดีจะถึงศาล
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า เท่าที่เลขาธิการป.ป.ช.ชี้แจงว่าเจ้าหน้าที่ได้พิจารณากรณีรื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุมกลุ่มนปช. 99 ศพทั้งคำร้องและข้อมูลที่ตนยื่นไป รวมทั้งเปรียบเทียบการใช้ดุลยพินิจกับคดีกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อปี 2551 ก็จะรับฟังไว้ ส่วนจะมีข้อสรุปอย่างไรตนจะใช้สิทธิ์ความเป็นประชาชนเข้าสังเกตการณ์ในห้องแถลงข่าวในวันที่ 21 มิ.ย.ด้วย ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะไปด้วยความสงบ เคารพบุคคล ให้เกียรติสถานที่เหมือนทุกครั้งที่ตนไปติดตามเรื่องนี้ที่ป.ป.ช. ถ้าผลออกมาว่ารื้อคดีขึ้นพิจารณาใหม่ก็ต้องให้ ป.ป.ช.ว่าไปตามกระบวนการ หรือหากสรุปว่าไม่พิจารณาตนก็จะกลับบ้าน ไม่มีการแสดงออกใดๆ ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรมไม่เลิกรา และประกาศก่อนล่วงหน้าว่า ถ้าคนตาย 99 ศพแล้วคดีไม่ถึงศาลตนยอมรับไม่ได้ จะต่อสู้ทุกช่องทางตามกฎหมายต่อไป
"อยากให้กรรมการ ป.ป.ช.ตระหนักว่า ผู้มีอำนาจอำนวยความยุติธรรมอาจมีไม่มาก แต่ผู้ต้องการความยุติธรรมคือมนุษย์ทุกคนในโลก ท่านจะทำหน้าที่นี้ต้องสำรวจหัวใจตัวเองก่อนว่ามีความยุติธรรมหรือไม่ หากในใจท่านไม่มีความยุติธรรมเสียแล้วจะหยิบยื่นสิ่งที่ท่านไม่มีให้คนอื่นได้อย่างไร ข้อสอบวัดพื้นฐานก่อนใช้ดุลยพินิจในวันที่ 21 มิ.ย.คือ คดีพันธมิตรฯ อัยการสั่งไม่ฟ้อง แต่ป.ป.ช.จ้างทนายฟ้องเอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกฟ้องแล้วป.ป.ช.ยังยื่นอุทธรณ์ แต่คดีนปช.นั้น ป.ป.ช.จะให้จบที่ตัวเอง ไม่ส่งอัยการ ไม่ถึงศาล อย่างนี้เรียกว่าความยุติธรรมหรือไม่ ผมไม่มีคำเฉลย แต่จะรอคำตอบจากกรรมการ ป.ป.ช.ทุกท่าน" แกนนำนปช. กล่าว
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561
จำคุกอดีตรมว.ต่างประเทศ คืนหนังสือเดินทางให้ "ทักษิณ"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนระหว่างเดินทางมาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามกำหนดนัดอ่านคำพิพากษา คดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง เนื่องจากนายสุรพงษ์ ได้พิจารณาให้คืนหนังสือเดินทางบุคคลธรรมดาให้กับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า "ที่ผ่านมาในการให้ปากคำรวมถึงข้าราชการ ต่างมาให้ปากคำเรียบร้อยดี เดี๋ยวรอฟังผลว่าศาลท่านจะพิจารณาอย่างไร ผมมั่นใจว่าผมทำหน้าที่ทุกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแต่อย่างไร"
ทางด้าน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวก่อนฟังคำตัดสินว่า "ในการที่ดูคดีมาและในฐานะที่เป็นพยานคนหนึ่ง คิดว่าการตั้งข้อกล่าวหาของ ปปช. การสั่งฟ้องของอัยการ และข้อต่อสู้ของตัวท่านสุรพงษ์ ในฐานะจำเลย น่าจะเพียงพอให้องค์คณะผู้พิพากษาท่านได้ใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยาน ใช้ข้อกฏหมายที่จะพิจารณาได้อย่างเที่ยงธรรม โดยกฏหมายใหม่ ศาลฎีกานักการเมืองจะมี 2 ชั้น แม้ว่าจะตั้งโดยที่ประชุมใหญศาลฎีกาด้วยกันทั้งคู่ก็ตาม แต่ว่าคุณสมบัติของผู้ที่เป็นองค์คณะก็จะมีศักดิ์ต่างกันนิดหน่อย คือว่า ถ้าเป็นชั้นองค์คณะที่พิจารณาอุทธรณ์ก็จะต้องเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกขึ้นไป อันนี้ก็เป็นไปตามกฏหมายใหม่ ในลักษณะการฟัง โดยส่วนใหญ่คดีก็เป็นทั่วๆไปไม่มีอะไรมาก สิทธิ์ในความเป็นธรรม เราก็รอจากวันนี้ที่ศาลท่านจะพิจารณา ซึ่งเราก็ก้าวล่วงไม่ได้ แต่ว่าสิทธิ์การสู้คดีก็ถือว่าเราก็ว่าไปตามสิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญรับรองอยู่"
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเวลา14.00น. ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้เผยแพร่เอกสารข่าวศาลฎีกา ต่อสื่อมวลชน มีเนื้อหาสรุปว่า ศาลตัดสินว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่โทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
เลขาธิการพรรคเพื่อไทยแถลง ขอให้สมาชิกยึดมั่นในอุดมการณ์
ภูมิธรรมย้ำ ส.ส. พรรคอย่าหวั่นไหวต่อการดูด ให้คำนึงอุดมการณ์พรรคมากกว่าสิ่งเร้า ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน และให้บทเรียนครั้งสำคัญแก่นักการเมืองที่ไร้อุดมการณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 8.00น. นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้เผยแพร่คำแถลงในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย โดยมีเนื้อหาดังนี้
กระแสข่าวการดูด ส.ส. บางส่วนของพรรคเพื่อไทยในช่วงเวลาปัจจุบัน เป็นปรากฏการณ์ปกติที่สะท้อนให้เห็นจุดมุ่งหมายของกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ที่ยังไม่ได้ก้าวข้ามไปจากวิถี “การเมืองน้ำเน่าแบบดั้งเดิม”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความชัดเจน เรื่อง “ความต้องการสืบทอดอำนาจ” เราจึงได้เห็นการดำเนินการสนับสนุนการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ๆ อีกหลายพรรค จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการดูดตัว ส.ส. ของพรรคต่างๆ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ให้เข้ามาสู่พรรคที่ตนจัดตั้งขึ้น ใช้ตัวละครเดิมๆ ซึ่งมีภาพลักษณ์การใช้ทั้งเงิน อำนาจ การให้คุณให้โทษ การกดดันทางธุรกิจ และการให้ผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดใดๆ ที่ทุกครั้งที่มีเสียงปี่กลองการเลือกตั้งดังขึ้น “กระบวนการดูด ส.ส.” จะเป็นกระแสที่นักการเมืองแบบดั้งเดิมจะมีความเคลื่อนไหวตลอดโดยเฉพาะตั้งแต่การรัฐประหาร ปี 2549 เป็นต้นมา ฝ่ายผู้มีอำนาจได้สนับสนุนให้มีการจัดตั้งพรรคเพื่อแผ่นดินขึ้น ซึ่ง “คุณ ส... คนเดิมที่เป็นอดีตหัวขบวนของนักการเมืองตระกูล ส.” ที่อยู่เบื้องหลังการดูดคนของพรรคไทยรักไทยไปพรรคใหม่ของตน
ผลการเลือกตั้งระยะหลังๆ ได้สะท้อนการตัดสินใจของประชาชนคือ “ส.ส.คนเดิมที่ถูกดูด” ล้วนสอบตกเกือบหมดทุกคน ทั้งนี้เพราะประชาชนผู้ลงคะแนนเขารู้ดีว่า จุดยืนของคนเหล่านี้คือเงินและผลประโยชน์ของตน ที่สำคัญได้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนย้ายจาก “อุดมการณ์ประชาธิปไตยเพื่อประชาชน” ไปสู่อุดมการณ์แบบเผด็จการของกลุ่มทหารและผู้มีอำนาจซึ่งเป็นชนชั้นนำ ผลการเลือกตั้งหลายครั้งได้สะท้อนให้เห็นว่า คะแนนพรรคเพื่อไทยชนะคะแนนนิยมของ ส.ส.รายบุคคลในเกือบทุกเขตเลือกตั้ง
คุณอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคไทยรักไทย เคยพูดไว้ว่าผู้แทนฯ เปรียบเสมือน “ไก่ชน” ถ้าชนแพ้จะถูกชั่งขายเป็นกิโล ตัวหนึ่งไม่กี่ร้อยบาท ถ้าไก่ตัวไหนชนชนะ เขาขายได้ตัวละหลายแสน เพราะฉะนั้น “ห้ามแพ้”
หลายคนคิดว่า เงินเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่อย่าดูถูกประชาชน เพราะประชาชนรู้ว่าควรจะตัดสินใจเลือกผู้แทนฯ อย่างไร จึงจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและชุมชนของตนที่สุด
จำได้ไหมว่าเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พรรคเพื่อไทยชนะอย่างถล่มทลาย เพราะชาวบ้านเขาพูดกันเองว่า “รับเงินหมา กาเพื่อไทย” ผมเชื่อว่าสิ่งนี้ยังคงเป็นความคิดคำนึง และยังเป็นสิ่งที่อยู่ในใจพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด
ดังนั้นขอให้อดีตผู้แทนของพรรคทุกคนอย่าหวั่นไหว ถ้าคิดว่าเงินสำคัญ และมองข้ามหัวประชาชน ...เงินที่ได้จากการถูกดูด...มีมากเท่าไร ก็ไม่พอให้ชนะ
ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ผมขอให้สมาชิกและนักการเมืองของพรรคทุกคนมั่นใจในอุดมการณ์ และผลงานของพรรค ตลอดจนศรัทธาที่พี่น้องประชาชนมี และมอบให้กับพรรคของเรา
จงภูมิใจ มั่นใจ...อย่าให้ผลประโยชน์และสิ่งเร้าใดๆ มาทำลายศรัทธา และสิ่งที่พี่น้องประชาชนมอบให้แก่เรา
ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน และให้บทเรียนครั้งสำคัญแก่นักการเมืองที่ไร้อุดมการณ์
ภูมิธรรม เวชยชัย
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย
19 มิถุนายน 2561
“เพื่อไทย” ยัน ส.ส.อีสานไม่หวั่นไหวข่าวดูด
นายสมคิด เชื้อคง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ผมควรเอ่ยถึงตัวเองบ้าง ทางการเมือง..เนื่องจากมีคนทางการเมืองในเขตพื้นที่ผม(เขต 10 อุบลฯ)ไปกระจายข่าวเรื่องผมไม่สามารถลง ส.ส.ได้เพราะผมโดนคดีกรณี 40 ส.ส.ที่เสนอ พรบ.นิรโทษกรรม ที่เรื่องกำลังดำเนินการใน ปปช.
รวมทั้งมีการสั่งการจากกลุ่มที่ไม่เปิดเผย..ให้ฝ่ายมีอำนาจทำทุกวิถีทาง..แม้กระทั่งสั่งหรือร้องขอให้นักธุรกิจใหญ่ไปสนับสนุนพรรคที่ตรงข้ามกับ พรรคเพื่อไทย เพื่อสก้ดผมมิให้เข้าสภาฯได้ หากมีการเลือกตั้ง
ผมขอบอกว่า..จะข่มขู่ใครก็ข่มไป..อย่ามาใช้กับผม..ผมประกาศวันงานผลไม้(15 มิ.ย.)ที่ ต.บุเปือย อ.น้ำยืน ว่า..ผมยังมีสิทธิ์ที่ลง สมัคร ส.ส.ได้เหมือนเดิม..ผมยังคงยืนอย่างมั่นคงกับพรรคเพื่อไทย..มันจะยากเย็นแสนเข็ญอย่างไร ผมก็เหมือนเดิม
เพราะผมจะสอบได้สอบตก..อยู่ที่พี่น้องประชาชนเท่านั้น..อำนาจเถื่อนหากทำได้ก็เชิญตามสบาย..อย่าใช้วิธีเจรจากับใครเขาไม่ยอมก็จะกลั่นแกล้ง (ผมไม่มีใครมาชวนหรอกครับ)
ผมทราบข่าวมีการเจรจากับอดีต ส.ส.เกรด A จริง..มีการเสนอเงินทอง. มีการเสนอรายเดือน ใครมาอยู่ด้วยอำนาจรัฐจะยื่นมือมาช่วยเหลือเมื่อมีการเลือกตั้ง..นี่คือการปฎิรูป..เป่านกหวีดแทบตายได้แค่นี้หรือ..?
ผมเรียนท่านที่สนใจทางการเมืองว่า..ผมจะเดินไปข้างหน้ากับฝ่าย ปชต.เช่นเดิม..ไม่กลัวการข่มในทุกเรื่อง..วันนี้ผมยังเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า..อดีต ส.ส.ภาคอีสานพรรคเพื่อไทย..ยังมั่นคงกับพรรค
อย่าหวั่นไหวกับข่าวดูดนะครับ
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561
“จาตุรนต์” ยันเพื่อไทยไม่ร่วมพรรคสุเทพ ชี้จุดยืนต่างกัน-ไม่หนุนเผด็จการ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
การที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นพันธมิตรกับพรรครวมพลังประชาชาติไทยคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากหรือต้องเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เพราะอุดมการณ์และนโยบายหลักต่างกันมากโดยเฉพาะในเรื่องการสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนการรัฐประหารและการปกครองของเผด็จการทหาร
พรรคหลายพรรคอาจได้รับเลือกตั้งเข้ามา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะร่วมกันเป็นรัฐบาลไปหมด ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น สันปันน้ำที่จะแยกพรรคการเมืองเป็นสองฝ่ายหลักๆคือการสนับสนุนหรือต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคสช. หลักง่ายๆอีกอย่างก็คือในระบบรัฐสภาจะมีแต่พรรครัฐบาลโดยไม่มีฝ่ายค้านไม่ได้
พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อเรื้อรังของสังคมไทย ได้เสนอความเห็นในวงประชุมสัมมนาไปก็ไม่น้อย การจะสร้างสังคมที่ผู้ที่เห็นต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขจะต้องใช้มาตรการหลายอย่าง ไม่ใช่นิรโทษแล้วปัญหาจะหมดไป
น้ำตาไหล! “พานทองแท้” โพสต์รูปกิจกรรม กองทุนหมู่บ้าน ยุค คสช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
คุณพ่อผมส่งรูปพวกนี้มาให้ผมทางไลน์ แล้วเขียนข้อความสั้นๆว่า
“เห็นแล้วน้ำตาจะไหล...” ครับ
“กองทุนหมู่บ้าน” คือโครงการหนึ่งที่คุณพ่อผมภูมิใจ และตั้งใจทำเพื่อพี่น้องประชาชน
เงิน 7 หมื่นกว่าล้านบาท ทุกบาททุกสตางค์ไม่มีการรั่วไหล ถูกส่งตรงไปถึงทุกหมู่บ้าน ที่มีความพร้อมในการรับผิดชอบเงินทั้งก้อนให้งอกเงยออกมาเป็นวิสาหกิจชุมชน สินค้า OTOP และเงินทุนประกอบอาชีพของคนในชุมชน เพื่อสนับสนุนนโยบาย “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส”
คุณพ่อผมมุ่งมั่นที่จะลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน โดยตั้งเป้าจะทำให้คนไทย “หายเจ็บ(ไข้ได้ป่วย) และหายจน” ภายในระยะเวลา 8 ปี จึงได้คิดนโยบายต่างๆขึ้นมามากมาย แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะโดนกระทำรัฐประหารเสียก่อน
จากการรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง กับอีก 1 รัฐบาลที่จัดตั้งในค่ายทหาร เคยมีความพยายามที่จะเลิกล้มนโยบายต่างๆที่คุณพ่อผมทำไว้ มีการยั่วยุให้ประชาชนเบี้ยวหนี้กองทุนบ้าง หาว่าเอาเงินไปซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยบ้าง แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถจะล้มเลิกได้ เพราะเป็นที่ชื่นชอบของพี่น้องประชาชน ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาจึงจำเป็นต้องทำต่อ
ปัจจุบันโครงการกองทุนหมู่บ้าน ถูกย้อมแมวสวมเขา จนหน้าตากลายเป็นร้านค้า ”ประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง” โดยตั้งชื่อให้สอดคล้องกับพรรคการเมืองที่ถูกกล่าวขวัญว่า เป็นนอมินีของทหาร และถูกจัดตั้งขึ้นมาจากในทำเนียบรัฐบาล
ส่วนวิธีในการทำงาน ก็ถูกปรับเปลี่ยนไปเหมือนกับมหรสพหาเสียงของนักการเมืองสมัยเก่า ที่ยังไม่มี กกต. คอยตรวจสอบ ใช้ทั้งนักร้อง หางเครื่อง โคโยตี้นุ่งน้อยห่มน้อย เพื่อดึงดูดชาวบ้านให้มางาน “ประชารัฐ” อะไรนี่ โดยไม่มีร่องรอยของโครงการกองทุนหมู่บ้านในอดีตหลงเหลืออยู่
นี่คือที่มาของคำว่า “เห็นแล้วน้ำตาจะไหล” ซึ่งประชาชนอย่างพวกเราก็คงทำอะไรมากไม่ได้ คงต้องปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ จนถึงวันที่ทหารจะกล้าเปิดโอกาสครับ
เปิดโอกาสให้ประชาชน “หย่อนบัตร” เมื่อไหร่ คงจะได้รู้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาชื่นชอบหรือรังเกียจกิจกรรมการเมืองที่รัฐบาลนี้กำลังทำอยู่ครับ
วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561
"นพดล" แนะเร่งแก้ปัญหาทีแคส ผ่าตัดระบบการศึกษา
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และแกนนำพรรคเพื่อไทย เห็นว่าระบบการรับคนเข้ามหาวิทยาลัยที่ใช้ในปัจจุบันหรือทีแคสนั้น แม้คนออกแบบมีเจตนาดี แต่อาจมีปัญหาเช่นเรื่องการกั๊กที่ สอบหลายครั้ง ยืดเยื้อ นักเรียนและผู้ปกครองมีภาระค่าใช้จ่าย แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำยังไม่ได้ ตนยังเสนอให้เปิดเวทีระดมสมองหาฉันทามติ เนื่องจากเรื่องนี้กระทบคนนับแสน ไม่อยากให้ด่วนสรุปโดยคนนับสิบ จึงขอเรียกร้องให้ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และรัฐบาลเปิดเวทีรับฟังความเห็นของเด็ก ผู้ปกครองและนักวิชาการอีกครั้ง เพื่อให้ได้ระบบที่สมบูรณ์มากที่สุด
นายนพดล กล่าวต่อว่า สมาชิกพรรคเพื่อไทยเห็นว่าควรยกเลิกทีแคสในรูปแบบปัจจุบัน หรือผ่าตัดขนานใหญ่ให้มีระบบใหม่ที่ให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางที่สั้น ง่ายและเป็นธรรมกว่านี้เช่น การสอบนั้นอาจมีเพียงสองรอบเป็นต้นโดยรอบแรกใช้การรับตรงร่วมกันและมีระบบเคลียริ่งเฮาส์ ซึ่งอาจมีสัดส่วนคะแนนของโครงงานและเกรดเฉลี่ยในโรงเรียนประกอบ แล้วใช้คะแนนการทดสอบ GAT/PAT บวกวิชาความถนัดเฉพาะ โดยในรอบนี้ควรให้ผู้สอบเลือกคณะที่ตนสนใจเรียงตามลำดับ และไม่ควรให้เลือกจองที่หลายคณะเต็มไปหมด เพราะจะกันที่คนอื่น ส่วนรอบสอง อาจใช้ระบบแอดมิชชั่นก็ได้ คนที่พลาดในรอบแรกก็ยังมีโอกาสในรอบสองและหากรอบแรกได้ที่นั่งแล้ว ผู้สอบรอบสองต้องสละสิทธิ์ที่นั่งในรอบแรกก่อน นอกจากนั้นการออกข้อสอบควรเน้นเนื้อหาที่สอนในโรงเรียน สอบในสิ่งที่สอน อาจช่วยลดการกวดวิชาได้ ข้อเสนอนี้เป็นเพียงข้อเสนอเบื้องต้นเพื่อถกเถียงกันต่อไป เป้าหมายคือให้ได้ระบบที่เป็นธรรมกับลูกหลานของเรา และพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรต้องมาปวดหัวกับระบบคัดเลือกที่ซับซ้อน
วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2561
“ชวลิต” ยันเพื่อไทยไม่ย้ายพรรค-ถูกดูดก็ไม่ไป
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า “ยิ่งใกล้เข้าโหมดเลือกตั้ง พลังดูดยิ่งรุนแรง นี่หรือคือการปฏิรูปการเมือง? ปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง? รู้สึกเสียดายเวลา 4 ปีที่ผ่านมา การเมืองยังอยู่ในวังวนเดิมที่อำนาจอธิปไตยยังมิได้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง แล้วประเทศของเราจะเหลือความเชื่อมั่นให้สังคมโลกเชื่อถือได้อย่างไร? อดีต ส.ส. ของพรรคที่ถูกเชิญตัวไปพบผู้ใหญ่ในอำนาจ เขามาสารภาพกับผู้ใหญ่ในพรรคว่า ถูกพลังดูดจริง แต่เขาไม่ยอมย้ายพรรค ได้แต่ขอบคุณไป เพราะไม่รู้จะหันหน้าไปบอกประชาชนอย่างไร ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลคงป่นปี้ ถูกพี่น้องประชาชนสาปแช่ง ไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิด และถ้าย้ายไป ก็คงสอบตกเหมือนกับผู้ที่ขายตัวในอดีต คือ สอบตกทุกราย ถูกประชาชนลงโทษ”
นายชวลิต กล่าวต่อไปว่า “อดีต ส.ส. ท่านนั้นยังบอกกับผมว่า ขณะนี้ประชาชนจำนวนมาก รอด้วยใจจดใจจ่อเพื่อติดตามการพิจารณาคดีความผิดตามมาตรา 113 ในวันที่ 22 มิถุนายน 2561 ถ้าโชคไม่ดี ประชาชนคนไทยก็ยังอยู่ในวังวนเก่าที่ประเทศไทยยังยอมรับอำนาจการรัฐประหาร ซึ่งก็จะไม่ได้รับการยอมรับในสังคมโลก แต่ถ้าโชคดีเป็นของประชาชนชาวไทย อาจจะเป็นทางออกที่ทำให้ได้รัฐบาลที่เป็นกลางมาจัดการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อความเรียบร้อย และความสงบสุข ของบ้านเมือง”
"นพดล" เร่ง คสช. ปลคล็อคพรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายแก้ปัญหาการศึกษา
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดถึงปัญหาการศึกษาเช่นเรื่องการสอบเข้า ป.1 เรื่องการบ้านเด็ก ข้อเสนอการสอบประจำวัน ประจำสัปดาห์ นั้นว่า “ผมเห็นว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่เราจะชี้นิ้วว่าใครบกพร่องในการแก้ปัญหาการศึกษา แต่ทุกฝ่ายต้องประสานนิ้วให้เป็นหนึ่งเพื่อแก้ปัญหานี้ให้ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ท่านนายกฯพูดเป็นเรื่องปลีกย่อยและรัฐบาลต้องตั้งหลักให้มั่นและเข้าใจว่าโจทย์ใหญ่ด้านการศึกษาคือเรื่องคุณภาพ ความเท่าเทียม และประสิทธิภาพในการบริหาร เราเคยบ่นว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้งเปลี่ยนรัฐมนตรีและนโยบายด้านการศึกษาบ่อยจึงทำให้งานไม่ต่อเนื่อง แต่รัฐบาลนี้อยู่ในอำนาจจะย่างเข้าปีที่ 5 แล้ว ยาวกว่ารัฐบาลเลือกตั้งเสียอีก ถามว่าการปฏิรูปการศึกษาคืบหน้าไปแค่ไหน? มีเรื่องใหญ่ๆที่ทำสำเร็จไปแล้วอะไรบ้าง? เช่น เรื่องหลักสูตร การเรียนการสอน การพัฒนาครู สมรรถนะของผู้เรียน การกระจายอำนาจในการจัดการศึกษา เป็นต้น”
นายนพดล กล่าวต่อไปว่า “ผมทราบว่างานด้านการศึกษาเป็นงานยากและต้องใช้เวลา ไม่เหมือนการสร้างทางรถไฟ ทำถนน แต่อย่างน้อยผู้นำต้องเข้าใจถ่องแท้ และสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่รัฐบาลเอาจริงกับเรื่องนี้มากแค่ไหน? ทำไมยังมีปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ผลประเมินขององค์กรต่างประเทศคะแนนเรายังตำ่ บัณฑิตจำนวนมากยังตกงาน พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา และเชื่อว่าเมื่อปลดล็อคการเมืองแล้ว จะสามารถนำเสนอนโยบายเรื่องนี้ให้ประชาชนพิจารณา”
วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561
“อนุสรณ์” แนะรัฐชี้แจงข่าวใช้ ม.44 สนับสนุนเครือข่าย คสช.
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการคืนตำแหน่งให้ 4 นายก อบจ. ว่า ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับการคืนตำแหน่ง แต่ประชาชนคงอยากตั้งคำถามถึงหลักการเกณฑ์การพิจารณาในการคืนตำแหน่งดังกล่าว เป็นการหวังผลทางการเมือง หรือมีนัยยะทางการเมืองอย่างไรหรือไม่? สังคมยังไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า ที่คืนตำแหน่งให้ คืนเพราะเหตุอะไร แล้วคนอื่นๆ ที่เหลือจะได้คืนหรือไม่? มีเงื่อนไขใดในการพิจารณาคืนก่อน คืนหลัง เพราะหากจะคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ถูกกล่าวหาอย่างถูกต้องโปร่งใส คณะกรรมการที่สอบก็ต้องแถลงต่อสังคมให้ชัดด้วยว่า ที่สอบไม่ผิดแล้วนั้น ไม่ผิดอย่างไร? เพราะตอนใช้คำสั่งมาตรา 44 สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ถือว่าไม่ชัดเจนมาแล้ว แล้วจู่ๆ บทจะคืนก็คืนตำแหน่งให้ ก็ยังไม่มีการแจ้งให้สังคมรับรู้อย่างเปิดเผยโปร่งใสตรงไปตรงมา หรือจะเป็นไปตามกระแสข่าวที่มีการปล่อยกันออกมาอย่างเป็นระบบหรือไม่ว่าถ้าเป็นไปตามกระแสข่าวนี้ จะเป็นไปตามยุทธวิธีล่าเมืองขึ้น เพื่อหาฐานเครือข่ายสนับสนุนพรรคของ คสช. ในอนาคตหรือไม่? ประชาชนรอฟังคำตอบ
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561
“พานทองแท้” เชิญชวนประชาชนสวมใส่เสื้อลายฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
นายพานทองแท้ ชินวัตร เชิญชวนประชาชนสวมใส่เสื้อลายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 หลังสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เปิดจำหน่ายเสื้อจากร้านจิตอาสา 904 โดยลายเสื้อด้านหน้าจะเป็นลายฝีพระหัตถ์เป็นรูปการละเล่นพื้นบ้านในราคาตัวละ 299 บาท และมีกระเป๋าผ้าลายฝีพระหัตถ์จำหน่ายราคา 350 บาท
สำนักนายกรัฐมนตรี จำหน่ายเสื้อลายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 สวมใส่ได้ทุกโอกาส โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลเชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าโทนสีเหลือง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561
นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมข้าราชการสำนักนายกรัฐมนตรี นำเสื้อจากร้านจิตอาสา 904 ซึ่งเป็นเสื้อลายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 มาจำหน่ายบริเวณด้านหน้าสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยลายเสื้อจะเป็นภาพวาดฝีพระหัตถ์ ลวดลายการละเล่นไทย สามารถเลือกซื้อได้ในราคาตัวละ 299 บาท มีให้เลือกทั้งสีเหลือง และสีขาว ซึ่งประชาชนสามารถสวมใส่ได้ทุกโอกาส โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561
ขณะที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า “ทราบว่าสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นำเสื้อลายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 จากร้านจิตอาสา 904 มาจำหน่าย วันนี้หลังประชุมเสร็จผมได้มีโอกาสไปซื้อเสื้อและถุงผ้ามา ตั้งใจว่าจะส่งให้ไปให้คุณพ่อและอาปู ขอเชิญชวนพี่น้องและเพื่อนๆ ไปเลือกซื้อกันนะครับ”
“ทนายวันชัย” ยื่นเอาผิด คดีฟอกเงินกรุงไทย
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวันชัย บุนนาค ทนายความอิสระ เข้ายื่นหนังสือติดตามทวงถามความคืบหน้าคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้จากธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร โดยมี ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ผอ.กองบริหารคดีพิเศษ เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว
นายวันชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือขอให้ดีเอสไอดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องในการทุจริตเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย แต่ปรากฏว่ากรรมการธนาคารกรุงไทย 5 คนที่ร่วมกันอนุมัติปล่อยกู้ถูกดำเนินคดีและถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงโทษเพียง 3 คน โดยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ ไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าบุคคลทั้ง 2 จะไม่ถูกดำเนินคดีอาญา แต่ไม่มีผลผูกพันกับคดีฟอกเงิน ดังนั้นดีเอสไอจึงมีหน้าที่ต้องดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน รวมถึงธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของกลุ่มกฤษดามหานคร โดยมีพฤติการณ์ปรับโครงสร้างหนี้ให้จาก 7,800 ล้านบาท เหลือ 4,500 ล้านบาท หากกลุ่มกฤษดาไม่ได้รับการปรับลดหนี้ก็คงไม่เกิดการทุจริตและการฟอกเงิน อย่างไรก็ตาม ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาตนได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้ดีเอสไอดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้ง 3 รายแต่ก็ไม่เคยได้รับทราบความคืบหน้าใดๆ เลยจึงจำเป็นต้องมาทวงถามความคืบหน้า เนื่องจากคดีจะครบอายุความ 15 ปีภายในเดือนธันวาคม 2561
วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561
“นพดล” ห่วงปัญหาทีแคส สร้างภาระผู้ปกครอง-เยาวชน
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาที่เกิดกับระบบการคัดเลือกและสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทีแคส ที่ใช้เป็นปีแรกว่า ตนคิดว่าคนที่ออกแบบระบบมีเจตนาที่ดี แต่เมื่อระบบยังมีปัญหาและสร้างความทุกข์ให้นักเรียนและผู้ปกครอง จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผู้มีหน้าที่ความรับผิดชอบ เช่น ทปอ. และรัฐบาลควรจัดเวทีรับฟังความเห็นของนักเรียนและผู้ปกครอง รวมทั้งครูและนักวิชาการและผู้สนใจเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเร็วที่สุด ปีหน้าไม่ควรมีปัญหาเช่นปีนี้ ต้องไม่ให้ลูกหลานเรามีความกังวลและความทุกข์ที่เกิดจากระบบและต้องรับฟังความเห็นของฝ่ายต่างๆ ให้มากขึ้นเพื่อสร้างระบบที่ไม่ซับซ้อน ยุ่งยาก ยืดเยื้อ ไม่สร้างภาระค่าใช้จ่ายแก่เด็กและผู้ปกครองในการวิ่งสมัครตามสถาบันการศึกษาต่างๆ
คำถามคือระบบที่ใช้ในปัจจุบันยังคงสร้างความเหลื่อมล้ำหรือไม่? เนื่องจากปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาต้องได้รับการแก้ไข ระบบที่ดีต้องไม่ให้มีความเหลื่อมล้ำระหว่างเด็กที่มีฐานะและเด็กยากจน และถ้าหากฟังนักวิชาการด้านการศึกษาเผยตัวเลขและภาระทางการเงินที่ผู้ปกครองทั้งประเทศต้องเสียไปในการเตรียมตัวลูกหลานและกวดวิชาเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งๆ นับหมื่นๆ ล้านบาทยิ่งน่าตกใจ ตนหวังว่าทุกฝ่ายที่มีหน้าที่จะมีคำตอบและแก้ไขปรับปรุงหรือสร้างระบบที่ดีที่เอาเด็กและลูกหลานเราเป็นศูนย์กลางให้ได้โดยเร็ว
“หมวดเจี๊ยบ” เชื่อ “ดอน” ไม่มีสปิริต
ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้ เมื่อวานซืน เจี๊ยบได้รับมอบหมายให้นำแจกันดอกไม้ของ คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไปร่วมแสดงความยินดีเนื่องในวันชาติโปรตุเกส ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตโปรตุเกสประจำประเทศไทย แถวๆ ท่าเรือสี่พระยา ย่านเจริญกรุง ค่ะ
ทำเนียบท่านทูตฯ เป็นบ้านไม้โบราณ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาค่ะ หน้าบ้านมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ทอดยาวไปถึงริมแม่น้ำ และตรงบริเวณท่าน้ำก็มีศาลาเอาไว้ให้นั่งชมความงามของแม่น้ำอย่างใกล้ชิด บรรยากาศเหมือนอยู่ในละครย้อนยุค เช่น ปริศนา ยังไงยังงั้น เพราะไม่ว่าจะหันไปทางซ้ายหรือขวาก็เจอแต่นักการทูต ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ชื่อว่า นาย ดอน ปรมัตถ์วินัย ซึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าสมควรจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ ในเมื่อภรรยาของ นาย ดอน ถูก กกต. ชี้ว่าถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และ ไม่ได้แจ้งการถือครองหุ้นให้ปปช. ทราบภายใน 30 วัน ตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย
ตรงนี้กระมัง ที่ไม่เหมือนในละคร เพราะถ้าเป็นละครทั่วๆ ไป ป่านนี้พระเอกย่อมต้องโชว์สปิริตลาออกจากตำแหน่งเพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองที่ดีไปแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลไหนๆ มาตัดสิน เพราะถ้ามัวแต่อ้างว่าต้องรอให้คดีถึงที่สุดก่อน แล้วค่อยลาออก ก็อาจถูกครหาได้ว่ายึดติดกับตำแหน่ง แบบนี้ มันก็ไม่เป็นพระเอกน่ะสิ
แต่ในโลกของความเป็นจริง นาย ดอน กลับพูดหน้าตาเฉยว่า อย่ามาถามหาสปิริตใดๆ จากเขา เพราะตัวเขานั้นไม่ใช่นักกีฬา จึงไม่จำเป็นต้องมีสปิริต อะไรทำนองนั้น
เชื่อแล้วค่ะ ว่า คุณ ดอน ไม่มีสปิริตเพราะไม่ใช่นักกีฬา และพระเอกดีๆ ก็คงมีแต่ในละครค่ะ
“จิรายุ” ตะเพิด สนช. ไม่ไหวให้ลาออก-หากง่วงให้ไปนอน
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าตนในฐานะอดีตสื่อมวลชน เห็นว่าการที่สื่อมวลชนรัฐสภาถ่ายภาพ สนช. นั่งหลับดังกล่าว ก็ไม่ใช่การตกแต่งภาพหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง แต่เป็นภาพจริงที่เกิดขึ้นคำพูดล้านคำยังไม่เท่าภาพที่เห็น เพราะวันดังกล่าวมีการฟังผู้นำพูดเรื่องใช้เงินภาษีประชาชนในการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณจริง
ซึ่งหากสมาชิก สนช. ได้ทำหน้าที่แทนประชาชนเจ้าของเงินภาษี ด้วยการอภิปรายให้ข้อคิด ทักท้วง ติดตาม ตรวจสอบ ในการตั้งงบประมาณแบบขาดดุลติดต่อกันถึง 4 ปี เป็นเงินหลายล้านๆ บาท จนไม่รู้ว่าลูกหลานจะใช้หนี้หมดกันตอนไหน ตนเชื่อว่าคงจะไม่มีใครง่วงนอนอย่างแน่นอน ถึงแม้ สนช. คนไหนจะไม่สบายเจ็บใข้ได้ป่วย รัฐสภาก็มีแพทย์พยาบาลหรือส่วนนั่งพักให้บริการ หรือไม่ไหวก็ควรลาออกไปพักผ่อนเลี้ยงเหลนที่บ้าน
นายจิรายุกล่าว กรณีที่นายสมชาย แสวงการ ออกมาโทษว่าสื่อบิดเบือนนั้น เพื่อนๆ สื่อจำนวนมากโทรมาบ่นกับตนว่า หมดแล้วยุค “นกน้อยในไร่ส้ม“ แต่ยุคนี้มีแต่ยุค ”ถิ่นกาขาว“ และ “นกน้อยในดงปืนที่ชื่นชมกลิ่นเผด็จการ” นายสมชายเคยเป็นสื่อ แม้จะได้ดิบได้ดีจากการปฏิวัติรัฐประหาร ก็น่าจะมี ”รากฝอย” ของคนที่เคยได้รับเกียรติว่า เป็นฐานันดร 4 บ้าง นายสมชายควรเป็น โต้โผตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐบาลอย่างถึงลูกถึงคน ทำหน้าที่แทนประชาชน และควรนึกถึงหน้าของชาวบ้านคนจนๆ ที่ต้องเสียภาษีให้พวกท่านเข้าไปนั่งชูคอในสภาที่พวกเขาไม่ได้เลือกด้วย
วันนี้สิ่งที่ประชาชนอยากฟังคือการจัดทำงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นทุกปีต่อเนื่องมาถึง 4 ปี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแผนอย่างไรในการใช้หนี้ ควรใส่แผนการหาเงินใช้หนี้เข้าไปในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย ลูกหลานเติบโตขึ้นมาจะได้รู้อนาคตว่าจะต้องเป็นหนี้กี่ปี? จะใช้หนี้อย่างไร? หรือจะต้องขอกู้เงินจากกองทุนระหว่างประเทศ IMF อีกหรือไม่? นายจิรายุกล่าว
“อนุสรณ์” ชี้ ภาพ สนช. หลับอย่าโทษคนถ่าย
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ระบุถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หลับระหว่างนายกฯ ชี้แจงร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 62 จำนวน 3 ล้านล้านบาท ไล่กลับไปนอนบ้าน คราวหน้าไม่ต้องเป็นอะไรอีก ว่า ประชาชนที่ได้ฟังท่าทีนี้จาก พล.อ.ประยุทธ์ คงงง และตกใจ จนอยากตั้งคำถามว่า มันยังจะมีการแต่งตั้งให้รับตำแหน่งอะไรในอนาคตอีกหรือ การแต่งตั้งพวกพ้องมารับตำแหน่งโดยปราศจากการยึดโยงกับประชาชนยังไม่ยุติอีกหรือ เรื่องหลับระหว่างคนตั้งมากับมาพูดอยู่เป็นเรื่องระหว่างคนตั้งกับคนถูกตั้งจะต้องไปว่ากันเอง
"สนช. ประชุมพิจารณางบประมาณ 3 ล้านล้านวันเดียวผ่านฉลุย สมาชิกยังนั่งหลับ แต่ในอดีตสภาผู้แทนราษฎรประชุมพิจารณาข้ามวันข้ามคืน หลายคนอ่อนเพลียแค่นั่งหลับตา ถูกตำหนิว่าขี้เกียจทำงานไม่คุ้มเงินเดือน แต่ สนช. ยุคนี้พิจารณาวันเดียวยังไม่ถึงเที่ยงคืนนั่งหลับแบบนี้โดนเขาด่าทำเป็นมาโวยวาย การหลับในที่ประชุมหรือในสภาของผู้สูงอายุ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่การหลับในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังพูดนั้น ต้องไปตรวจสอบ แอร์เย็นไป คนพูดพูดน่าเบื่อไปหรือไม่ ขนาดพวกเดียวกันยังหลับ" นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ท่านต้องพิจารณาว่ารายการต่างๆที่ท่านพูดเรตติ้งเป็นอย่างไร หรือคนฟังรู้อยู่แล้วว่าที่สุดงบประมาณต้องผ่าน ไม่ต้องทำอะไร ถึงเวลาวิป สนช. มาบอกให้ยกมือก็ยกมือให้ ไม่ต้องคิดอะไรหรือไม่ สะท้อนว่าการทำงานหลายอย่าง รับหลายได้หลายทาง ของผู้สูงอายุนั้น มันมีข้อจำกัด ในอดีต ส.ส. ถ้าไปเป็นรัฐมนตรีต้องรับเงินทางเดียว แต่ยุค คสช. แม่น้ำ 5 สาย รับกันหลายทาง ทั้งที่เวลาเท่ากัน แบ่งภาคไปทำงานยังไง เพราะถ้าทำงาน สนช. มากมันก็กระทบกับงานอื่นที่ต้องมีเวลาน้อยลง หรือเพราะรับหลายทาง เลยหลับหลายคนหรือไม่ แต่ละคนอายุก็ปูนนี้ เสียสละบ้างเถอะ รัฐมนตรีคลังของญี่ปุ่น คืนเงินจำนวน 1.7 ล้านเยน ซึ่งเป็นเงินเดือนที่เขาได้รับในฐานะรัฐมนตรี คลังกลับคืนสู่คลังของประเทศ ดร.มหาเธร์ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประกาศตัดเงินเดือนรัฐมนตรีลง10% หวังช่วยลดหนี้ของประเทศ
"แต่พวกท่านรับหลายตำแหน่ง เสื้อไม่พอติดเครื่องหมาย รับเงินเดือนหลายทาง รับเบี้ยประชุมหลายคณะ เบ็ดเสร็จเดือนหนึ่งรับคนละ 2-3 แสนบาทหรือไม่ ทำไม ไม่คิดเสียสละบ้าง เอาเงินเดือนไปสนับสนุนโรงพยาบาล จัดหาวัคซีนฉีดให้ประชาชน เอาไปช่วยกระทรวงศึกษาธิการ เด็กนักเรียนจะได้ไม่ต้องกินขนมจีนกับน้ำปลา ได้กินนมโรงเรียนที่มีคุณภาพ การที่พวกท่านรับเงินเดือนหลายทาง แต่ทำงานไม่เต็มที่ เป็นธรรมกับสังคมหรือไม่ แทนที่จะโทษคนหลับ ดันไปโทษคนถ่าย ตรรกะน่าจะผิดเพี้ยนเหมือนเร่งดำเนินคดีกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งไม่มีใครหลุดรอด แต่ปล่อยพวกนกหวีดชัตดาวน์ก่อจลาจลขัดขวางการเลือกตั้งให้ลอยนวลอีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เลิกโทษสื่อ เลิกโทษคนอื่นแล้วหันมาปฏิรูปตัวเองอย่างจริงจังได้แล้ว" นายอนุสรณ์ กล่าว
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2561
นักวิชาการ ชี้ เครือข่ายสังคมออนไลน์ หนุนประชาธิปไตย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ที่ ห้อง ร.102 ชั้น 1 คณะรัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการจัดการประชุมระดมสมอง (Focus Group) งานวิจัย “พลวัตทางการเมือง เรื่องการเลือกตั้งและประชาธิปไตย: ศึกษาเปรียบเทียบ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์” โดยมีผู้ร่วมวงอภิปรายทางวิชาการประมาณ 30 คน ใช้เวลาอภิปรายกว่า 4 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ กล่าวในวงอภิปรายระบุว่า ปัจจุบันสื่อเครือข่ายสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยลงหลักปักฐาน พร้อมกับยกตัวอย่างการเมืองอินโดนีเซียช่วงที่มีการเลือกตั้ง มีหลายกรณีที่พรรคการเมืองที่จ่ายเงินมากกว่าแต่แพ้เลือกตั้ง เป็นเพราะมีปัจจัยเรื่องอื่นประกอบมากกว่าเงิน อาทิ ผลงานในอดีต รวมทั้งเปรียบเทียบว่า การเลือกตั้งของอินโดนีเซีย สามารถจัดการเลือกตั้งได้อย่างสงบ สันติมาก และจากการศึกษาวิจัย การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ (Party-list) หากการจัดรายชื่อเป็นระบบเปิดนั้น จะทำให้พรรคอ่อนแอลง ผู้สมัครเลือกที่จะนำเสนอตัวเอง มากกว่าที่จะนำเสนอนโยบายพรรค พรรคก็จะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)