"อยากฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ข่าวการทำร้ายร่างกาย พลทหาร คชา พะนะ คือ อีกหนึ่งใบเสร็จที่ยืนยันได้ว่า การซ้อมทรมานมีอยู่จริงในกองทัพ ทั้งๆ ที่ เรื่องน้องเมย ยังไม่ทันจาง ก็มีเหยื่อรายใหม่โผล่ขึ้นมาซะแล้ว
โดย พลทหาร คชา เป็นทหารรายที่ 10 ในรอบ 9 ปี นับแต่ปี 2552 ที่มีข่าวว่าบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตเพราะถูกทำร้ายร่างกายจากผู้บังคับบัญชาหรือรุ่นพี่ ซึ่งสวนทางกับคำพูดของผู้ใหญ่ในกองทัพที่มักจะอ้างว่า มีกฎห้ามแตะต้องตัวทหารเกณฑ์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีอีกกี่เคสที่ถูกทรมานอีกโดยไม่เป็นข่าว และอย่าอ้างว่าเป็นเรื่องทะเลาะกันส่วนตัว เพราะชาวบ้านจะมองว่ากองทัพไม่ยอมรับความจริงและปัดความรับผิดชอบ แต่ที่จริง มันสะท้อนปัญหาของระบบการซ่อม ซึ่งทำให้กำลังพลมีความเครียดสะสม และไประบายความแค้นกับรุ่นน้อง ต่อไปเป็นทอดๆ
อย่ามาเลี่ยงบาลีเลยว่านี่คือการฝึกธำรงวินัย เพราะมันก็ไม่ต่างจากการซ้อมทรมาน ใครที่ทนมือทนเท้ารอดมาได้ ก็ถือว่าโชคดีไป แต่เมื่อพลั้งมือทำกันจนถึงตายหรือพิการขึ้นมา แล้วจะชดใช้ครอบครัวทหารเหล่านั้นอย่างไร คนหนุ่มเหล่านี้ มีอนาคตอีกไกลและเป็นความหวังของครอบครัว ไม่ควรจบชีวิตอย่างไม่สมควร
"ทั้งนี้ กองทัพยุค 4.0 ควรต้องปฏิรูปตัวเองให้โปร่งใสและเคารพสิทธิมนุษยชนของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย เช่น เปิดโอกาสให้ครอบครัวของทหารเกณฑ์หรือผู้ใต้บังคับบัญชาอื่น ๆ รวมทั้ง นักวิชาการ และ นักสิทธิมนุษยชน มีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการสอดส่องความเป็นอยู่ของทหารเกณฑ์และกำลังพลทั้งหลาย เพื่อให้มีช่องทางร้องทุกข์เกี่ยวกับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่ปล่อยให้ค่ายทหารเป็นแดนสนธยา"
ซึ่งที่ผ่านมา สังคมปล่อยให้กองทัพควบคุมกันเอง แต่ก็มีการปกป้องกันและปกปิดข้อเท็จจริง ทำให้ไม่มีการแก้ปัญหา จึงต้องมีบุคคลภายนอกร่วมตรวจสอบด้วย
นอกจากนี้ กองทัพยุค 4.0 ไม่จำเป็นต้องมีกำลังพลมากเพราะไม่สอดคล้องกับภัยคุกคามสมัยใหม แต่ต้องทันสมัยทางเทคโนโลยี จึงอาจไม่จำเป็นต้องเกณฑ์ทหารปีละแสนกว่าคนอย่างในปัจจุบัน และไม่จำเป็นต้องบังคับให้ทุกคนเกณฑ์ทหาร แต่ควรรับสมัครจากผู้ที่สมัครใจเป็นหลัก ซึ่งมีคนสมัครหลายหมื่นคนทุกปี โดยล่าสุดปีนี้ ก็มีคนสมัครเป็นทหาร ถึง 44,797 คน ก็อาจทำให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับได้ ซึ่งจะทำให้กองทัพได้คนที่มีใจรักและมีคุณภาพมาเป็นทหารอาชีพจริงๆ ย่อมดีกว่าได้คนที่ไม่สมัครใจมาทำงาน
ทั้งนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับกองทัพของประเทศเพื่อนบ้าน จะเห็นว่ามีขนาดเล็กกว่าไทยมาก โดยกองทัพไทยขณะนี้ มีกำลังพลที่เป็นทหารประจำการถึง 335,425 นาย เมื่อรวมกับทหารเกณฑ์ในแต่ละปี ซึ่งปีนี้มียอดสูงถึง 104,734 นาย จะรวมเป็น 440,159 นาย ซึ่งเยอะกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายเท่า เช่น ลาวมีกำลังพล เพียง 30,000 นาย น้อยกว่าไทย 15 เท่า ส่วนมาเลเซีย มี 110,000 นาย และกัมพูชา มี 125,000 นายเท่านั้น น้อยกว่าไทย 3 - 4 เท่า ในขณะที่ ประเทศที่มีการสู้รบอย่างอิสราเอล ยังมีกำลังพลเพียง 170,000 นาย เท่านั้น ส่วน เมียนมาร์ แม้จะมี กำลังพล 406,000 นาย แต่เมียนม่าร์ ไม่มีการบังคับเกณฑ์ทหาร ทั้ง ๆ ที่ ประเทศเหล่านั้น มีภัยคุกคามตามแนวชายแดนที่ชัดเจนกว่าไทยมาก
ส่วนประเทศไทย บทบาทหลักของทหารเกณฑ์ในปัจจุบัน ไม่ใช่การป้องกันประเทศจากข้าศึก แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแทรกแซงทางการเมือง เช่น เพื่อการยึดอำนาจ หรือ ถูกส่งไปคุกคามคนติดต่างจากรัฐบาลทหาร ในขณะที่ บางส่วนก็ถูกส่งไปรับใช้ผู้บังคับบัญชาในเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับประเทศชาติ เช่น เป็นทหารรับใช้ญาติโกโหติกาของผู้บังคับบัญชา ซักชุดชั้นใน ถุงเท้า ถูบ้าน เลี้ยงหมา หรือเลี้ยงไก่ เป็นต้น
อันที่จริง เรื่องแบบนี้ ต้องหมดไปได้แล้ว เพราะชีวิตของทุกคนมีค่า อย่าเอาลูกชายของครอบครัวคนอื่นไปเป็นกระสอบทรายหรือบังคับให้ไปเป็นคนรับใช้ คอยซักชุดชั้นในหรือเลี้ยงไก่ให้ใครอีกเลย เพราะนั่นคือการใช้แรงงานทาสที่ไม่เป็นธรรม ไม่สมกับเป็นกองทัพยุค 4.0 เลย
ทั้งนี้ กองทัพยุค 4.0 ควรมีขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพสูง และทันสมัยทางเทคโนโลยี รวมทั้ง ต้องมีความโปร่งใสและเคารพสิทธิมนุษยชน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น