#TV24 นายสุทิน คลังแสง อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จ.มหาสารคาม กล่าวถึงคำถามของ พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ ที่มีถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ว่า ใครคือคนทำให้เกิดความวุ่นวายในประเทศนั้น
ผมในฐานะเป็น ส.ส.รุ่นแรกของพรรคไทยรักไทยอยู่มาจนถึงปัจจุบัน คือพรรคเพื่อไทย อยู่ในทุกเหตุการณ์ ผ่านการรัฐประหารมาทั้ง 2 ครั้ง เห็นเหตุการณ์อัปยศในสภาต่อหน้า ได้รับทั้งบุญและกรรมร่วมกับนักการเมืองร่วมสมัยทุกคน ขอตอบคำถามแทน ดร.ทักษิณ ฝากไปยัง พล.อ.ประวิทย์ ว่า ต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งปวงเกิดจาก
1.พรรคการเมืองที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้จากการเลือกตั้ง
2.กลุ่มชนที่ทนเห็นการเบ่งบานของประชาธิปไตยและการเติบใหญ่ของภาคประชาชนไม่ได้
3.กลุ่มผู้ได้รับความสูญเสียจากนโยบายของรัฐบาล ดร.ทักษิณ
คนเหล่านี้สุมหัวกันวางแผนและสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายขึ้น เพื่อล้มรัฐบาล แล้วคนอีกกลุ่มหนึ่งได้รับลูกเข้ามากระทำอันเป็นการซ้ำเติมประเทศให้ดำดิ่งลงสู่ก้นเหวของการพัฒนา ฉุดประเทศให้ล้าหลัง คนกลุ่มนั้นคือคณะทหารที่ทำการยึดอำนาจหรือกระทำรัฐประหาร โดยกลุ่มแรกนำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน กลุ่มที่สองนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ
ส่วน ดร.ทักษิณ และพรรคคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งอ้างอิงได้จากการเลือกตั้งทุกครั้งเข้าใจตรงกันกับคนทั่วโลกว่า เป็นผู้ถูกกระทำ เป็นเหยื่อของสถานการณ์ เพราะ ดร.ทักษิณ เข้าสู่อำนาจและบริหารประเทศตามครรลองของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ภายใต้ระบบรัฐสภา ที่มีระบบถ่วงดุลย์และตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตย สืบทอดอำนาจโดยมติมหาชนที่ท้วมท้นทุกสมัยจากการเลือกตั้งที่นานาชาติยอมรับ
จึงไม่ใช่มูลเหตุอันใดที่จะมาอ้างได้ว่า ดร.ทักษิณ เป็นผู้ทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่ด้วยการเติบใหญ่ของพรรคไทยรักไทยคือสัญลักษณ์การเติบใหญ่ของอำนาจประชาชน และการที่พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งทุกครั้งคือสัญญานเตือนว่าอำนาจประชาชนจะแข็งขืนต่ออำนาจเก่าที่แฝงเร้นหรือเปล่า คือแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวายขึ้น
ผมฝากให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองและผู้เป็นต้นเหตุก่อความวุ่นวายทั้งหลายได้คิดทบทวนด้วยใจที่เปิดกว้างว่า การที่พวกเราชนะเลือกตั้งมาตลอดนั้น คือ ประชาชนเขาประทับรับรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ดร.ทักษิณ และพรรค มิได้สร้างปัญหาให้กับประเทศแต่เขามีความชอบธรรมที่จะได้อำนาจจากประชาชน ประกอบกับการที่ทั่วโลกเขาให้สถานะและให้เกียรติ ดร.ทักษิณ และคุณยิ่งลักษณ์นั้น นั่นคือกระจกบานใหญ่ที่ พล.อ.ประวิทย์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ควรส่องมอง แทนการชี้หน้าด่ากระจกและถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า ซึ่งล้วนแล้วแต่กลับมาหาตัวเองทั้งสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น