นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในสมัยรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
24 กุมภาพันธ์ 2562 : "14 ตุลา" แห่งทศวรรษ 2560
......................................................................
.
บ่ายวันนี้เมื่อ 45 ปีที่แล้ว
ประชาชนนับแสนคนยังคงปักหลักบนท้องถนนราชดำเนิน
ท่ามกลางห่ากระสุนปืน รอยเลือดและคราบน้ำตา
.
บางคนออกจากบ้านของตนตั้งแต่เช้าวันที่ 13 ตุลาคม 2516 แล้วไม่ได้กลับบ้านอีกเลย
เพราะเขาเหล่านั้นก้าวเท้าเข้าไปสู่หน้าประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไทย
.
ผ่านมา 45 ปี
"คนเดือนตุลา" บางคนเปลี่ยนไป
มุมมองต่อเหตุการณ์ในวันนั้นก็มีหลายแง่มุม แตกต่างกันไป
แต่ความใฝ่ฝันของคนในห้วงเวลานั้นไม่เคยเปลี่ยน
.
ความใฝ่ฝันของผู้คนที่หยัดยืนอย่างไม่กลัวตายบนท้องถนน วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งผมขอเรียกว่า #เจตนารมณ์เดือนตุลา คือ
- ต้องการประชาธิปไตย ต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง และประเทศชาติ
- ต้องการเสรีภาพในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น
- ต้องการโอกาสในชีวิตและสิทธิที่เท่าเทียมกัน
- ด้วยการเรียกร้องอย่างสันติวิธี มีแต่สองมือเปล่า และใจที่แน่วแน่
.
วันนั้น เราได้ประชาธิปไตย เสรีภาพ และโอกาสที่เพรียกหา
แม้สามสิ่งที่ว่านั้น อายุแสนสั้นเพียงแค่ 3 ปี
แต่ 3 ปีก็มากพอที่ทำให้การเมืองไทยเปลี่ยนไปตลอดกาล
.
ใครหลายคนบอกว่า ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย...
และผ่านมา 45 ปี การเมืองไทยยังไปไม่ถึงไหน
แต่ผมไม่เคยเชื่อ..และไม่เคยสิ้นหวัง
.
การเมืองวันนี้กับการเมืองเมื่อ 45 ปีที่แล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
.
จากการเมืองของคนเพียงหยิบมือเดียวบนยอดพีระมิดของสังคม แปรเปลี่ยนเป็นการเมืองที่คนหลายสิบล้านสนใจติดตาม เพราะกระทบชีวิตและความอยู่ดีกินดี
.
จากการเมืองบนโต๊ะกาแฟยามเช้าของคนกลุ่มเล็กๆ กลายเป็น การเมืองที่ถกเถียงกันบนโลก Social Media ผ่านยอดวิวนับล้าน และยอดไลค์-แชร์เกือบแสน
.
จากการเมืองที่ดูห่างไกลเกินฝัน กลายเป็นการเมืองที่จับต้องได้ กินได้ และเป็นการเมืองที่ต้องฟังเสียงประชาชน
.
ถูกล่ะ วันนี้เราต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลหลังรัฐประหารมากว่า 4 ปีแล้ว และเสียงของประชาชนอาจก้องดังได้ เพียงแค่เรื่อง ตีทะเบียนหมาแมว ค่าปรับใบขับขี่ และการนั่งหลังรถกระบะ
.
แต่ใช่หรือไม่ว่า
เพียงเมื่อต้นปี 2561 นี้เอง ไม่มีใครเลยที่เชื่อว่า จะยังคงมีการเลือกตั้ง หรือถ้าจะมี อย่างน้อยก็ต้องอีก 2-3 ปี
ผมถามใครต่อใคร ต่างบอกว่า การเลือกตั้งปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้
.
แล้วการเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 มาถึงได้อย่างไร
แน่นอน ไม่ใช่การอดทน นั่งรอคอยไปวันๆ
แต่จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมือวันที่ 27 มกราคม 2561
วันที่สัญญลักษณ์ #MBK39 เกิดขึ้นโดยไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
.
หลังจากนั้น คำว่า "วันเลือกตั้ง" ก็ไม่เคยห่างหายจากกระแสข่าวอีกเลย
.
ใช่หรือไม่ว่า
.
เพียงเมื่อต้นปี 2561 นี้เอง ใครต่อใครบอกว่า การเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง ก็คงกลับไปสู่วังวนเดิม คนกลุ่มเดิม และกโลบายการเมืองแบบเดิมๆ
.
แต่เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งบทความ "ไพร่หมื่นล้าน" ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับ"โรดแมป" การเมือง ของ หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย ปรากฎขึ้นและสร้างแรงกระเพื่อมใน Social Media อย่างถล่มทลาย
.
หลังจากนั้น คำว่า "คนรุ่นใหม่" ก็กลายเป็นเทรนด์ของการเมืองไทยยุคปัจจุบันไปแล้ว
.
มาถึงวันนี้
"ใครต่อใคร" ที่ชอบทำนายทายทัก ต่างก็บอกอีกว่า อย่าหวังอะไรมากกับ การเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เพราะรู้อยู่แล้ว ใครจะมาเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง เนื่องจากกติกาที่แปลกพิสดารของรัฐธรรมนูญ 2560
.
เอาอีกแล้ว
"ใครต่อใคร"จะมาบอกให้เรางอมืองอเท้า นั่งรอคอยไปวันๆอีกหรือ
.
วันนี้ เมื่อ 45 ปีที่แล้ว 14 ตุลาคม 2516
ประชาชนมีเพียงสองมือเปล่า วิ่งหลบกระสุนไปมา แต่ยังไม่ยอมถอยจากถนนราชดำเนิน
.
วันนี้ 14 ตุลาคม 2561
ประชาชนยังคงมีเพียงสองมือเปล่า เรามานับถอยหลังสู่วันเลือกตั้งกัน
.
เราจะต้องรณรงค์ให้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม และมีผลดีต่อประเทศ
.
เรามาช่วยกันรณรงค์ให้มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน เกิน 80% (41 ล้านคน) เพราะหากมีผู้ใช้สิทธิมาก คะแนนจัดตั้งจะมีผลน้อยลง และต้องใช้ถึง 80,000 คะแนนจึงจะได้ ส.ส. 1 ที่นั่ง (จากเดิมที่คาดกันว่าประมาณ 70,000 คะแนน) คนที่นึกว่าจะกวาดต้อนคะแนนเสียงอย่างง่ายๆ จะต้องคิดใหม่
.
เรามาช่วยกันเรียกร้องให้มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของทุกพรรคการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แต่ต้องถึงแก่น เพื่อประชาชนจะได้รับทราบตัวตนที่แท้จริงของนักการเมืองและพรรคการเมือง
.
เรามาช่วยกันป้องกันการทุจริตการเลือกตั้งในทุกขั้นตอนและทุกระดับ
.
มาร่วมกัน ก้าวเดินตามความใฝ่ฝันครั้งใหม่
ทำให้ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 คือ " #14ตุลา " ของทศวรรษ 2560
.
เช้าวันนั้น เรา, ประชาชนกว่า 41 ล้านคน, จะออกจากบ้านของเรา แล้วก้าวเท้าเข้าไปสู่หน้าประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไทยอีกครั้งหนึ่ง
.
ครั้งนี้ เราไม่ได้มีเพียงสองมือเปล่า
เรามีบัตรเลือกตั้ง และ เจตนารมณ์เดือนตุลา แน่วแน่ในดวงใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น