นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า ตามที่ The Credit Suisse Global Wealth Report 2018 ระบุ คนไทย 1 % ถือครองความมั่นคั่ง หรือมีทรัพย์สินรวม 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ มีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก หลังจากเคยได้อันดับ 3 เมื่อ 2 ปีก่อน ที่คนไทย 1% ถึงครองความมั่งคั่ง 58% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ โดยไทยได้แซงรัสเซียและอินเดียที่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ดีขึ้นแต่ไทยกลับแย่ลง ทั้งนี้ ก่อนจะรัฐประหาร อันดับความเหลื่อมล้ำของไทยอยู่อันดับที่ 11 แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการบริหารงานของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งบริหารคนรวยยิ่งรวยขึ้น และ คนจนกลับยิ่งจนลง มาโดยตลอด เพราะ 4 ปีที่ผ่านมา นอกจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะต่ำมากโดยเฉลี่ยโตปีละแค่ 2% กว่า และต่ำที่สุดในอาเซียนแล้ว รายได้ที่เพิ่มขึ้นน้อยอยู่แล้วยังไปกระจุกตัวอยู่กับคนรวยเท่านั้น ขนาดสื่อต่างประเทศเช่น บีบีซี ยังระบุว่า 96% ของรายได้ที่เพิ่มขึ้นตกอยู่กับ คนเพียง 1% เท่านั้น ยิ่งตอกย้ำปัญหา รวยกระจุก จนกระจาย ที่รัฐบาลพยายามจะปฏิเสธมาตลอด และยังแสดงให้เห็นอีกว่า โครงการประชารัฐที่รัฐบาลจัดให้บริษัทใหญ่เข้ามาร่วมช่วยเหลือประชาชนรายได้น้อยประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะกลับกลายเป็นว่าบริษัทใหญ่กลับรวยยิ่งขึ้น ในขณะที่ประชาชนกลับยิ่งจนลง นอกจากนี้ การแก้ปัญหาของรัฐบาลโดยการแจกเงินไม่ได้ช่วยให้ความเหลื่อมล้ำลดลง เพราะไม่ได้ทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างถาวร เป็นการใช้จ่ายงบประมาณอย่างสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ และหมดสมัยแล้วกับแนวคิดที่เป็นเหมือนแบบการให้ทาน ประชาชนต้องการโอกาสในการหารายได้ที่มั่นคง ทั้งที่รัฐบาลมีโอกาสสร้างรายได้อย่างมั่นคงให้กับประชาชนมากว่า 4 ปี แต่กลับไม่ทำอะไร ปล่อยให้ประชาชนลำบากกันอย่างมากมากว่า 4 ปี และเพิ่งจะมาแจกเงินโดยหวังว่าประชาชนจะดีใจที่ได้รับแจกเงินในยามยากลำบาก ทั้งๆที่ความยากลำบากน่าจะเกิดมาจากการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลเอง แถมยังเอาเงินภาษีของประชาชนมาแจกเสมือนหนึ่งเป็นการซื้อเสียงเพื่อหวังจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง และอาจจะต้องมาเก็บภาษีเพิ่มจากประชาชนเพื่อมาชดเชยเงินที่แจกไป ทั้งนี้เชื่อว่าประชาชนลำบากกันอย่างมากใน 4 ปีกว่าที่ผ่านมา และคงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งมีแนวทางการกำจัดการผูกขาดให้หมดไปเพื่อสร้างโอกาสให้กับคนทั้งประเทศ
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2561
“ทษช.” ห่วงไทยอันดับหนึ่งรายได้เหลื่อมล้ำ ตอกย้ำปัญหารวยกระจุก จนกระจาย
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า ตามที่ The Credit Suisse Global Wealth Report 2018 ระบุ คนไทย 1 % ถือครองความมั่นคั่ง หรือมีทรัพย์สินรวม 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ มีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก หลังจากเคยได้อันดับ 3 เมื่อ 2 ปีก่อน ที่คนไทย 1% ถึงครองความมั่งคั่ง 58% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ โดยไทยได้แซงรัสเซียและอินเดียที่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ดีขึ้นแต่ไทยกลับแย่ลง ทั้งนี้ ก่อนจะรัฐประหาร อันดับความเหลื่อมล้ำของไทยอยู่อันดับที่ 11 แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการบริหารงานของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งบริหารคนรวยยิ่งรวยขึ้น และ คนจนกลับยิ่งจนลง มาโดยตลอด เพราะ 4 ปีที่ผ่านมา นอกจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะต่ำมากโดยเฉลี่ยโตปีละแค่ 2% กว่า และต่ำที่สุดในอาเซียนแล้ว รายได้ที่เพิ่มขึ้นน้อยอยู่แล้วยังไปกระจุกตัวอยู่กับคนรวยเท่านั้น ขนาดสื่อต่างประเทศเช่น บีบีซี ยังระบุว่า 96% ของรายได้ที่เพิ่มขึ้นตกอยู่กับ คนเพียง 1% เท่านั้น ยิ่งตอกย้ำปัญหา รวยกระจุก จนกระจาย ที่รัฐบาลพยายามจะปฏิเสธมาตลอด และยังแสดงให้เห็นอีกว่า โครงการประชารัฐที่รัฐบาลจัดให้บริษัทใหญ่เข้ามาร่วมช่วยเหลือประชาชนรายได้น้อยประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะกลับกลายเป็นว่าบริษัทใหญ่กลับรวยยิ่งขึ้น ในขณะที่ประชาชนกลับยิ่งจนลง นอกจากนี้ การแก้ปัญหาของรัฐบาลโดยการแจกเงินไม่ได้ช่วยให้ความเหลื่อมล้ำลดลง เพราะไม่ได้ทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างถาวร เป็นการใช้จ่ายงบประมาณอย่างสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ และหมดสมัยแล้วกับแนวคิดที่เป็นเหมือนแบบการให้ทาน ประชาชนต้องการโอกาสในการหารายได้ที่มั่นคง ทั้งที่รัฐบาลมีโอกาสสร้างรายได้อย่างมั่นคงให้กับประชาชนมากว่า 4 ปี แต่กลับไม่ทำอะไร ปล่อยให้ประชาชนลำบากกันอย่างมากมากว่า 4 ปี และเพิ่งจะมาแจกเงินโดยหวังว่าประชาชนจะดีใจที่ได้รับแจกเงินในยามยากลำบาก ทั้งๆที่ความยากลำบากน่าจะเกิดมาจากการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลเอง แถมยังเอาเงินภาษีของประชาชนมาแจกเสมือนหนึ่งเป็นการซื้อเสียงเพื่อหวังจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง และอาจจะต้องมาเก็บภาษีเพิ่มจากประชาชนเพื่อมาชดเชยเงินที่แจกไป ทั้งนี้เชื่อว่าประชาชนลำบากกันอย่างมากใน 4 ปีกว่าที่ผ่านมา และคงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งมีแนวทางการกำจัดการผูกขาดให้หมดไปเพื่อสร้างโอกาสให้กับคนทั้งประเทศ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น