ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
เมื่อเดือนที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปดูการปลูกเกษตรอินทรีย์ที่ไร่ทองออร์แกนิคฟาร์ม คุณตุ้ยได้เป็นคนริเริ่มการปลูกออร์แกนิคเป็นเจ้าแรกๆ ในจังหวัดศรีสะเกษประมาณ 12 ปีหลังจากที่จบอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คุณตุ้ยเป็นชาวนารุ่นที่ 3 ต่อจากปู่และคุณพ่อ แต่ได้ใช้วิธีการปลูกต่างไป คือใช้วิธีการปลูกแบบออร์แกนิคโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งตอนนี้ทางไร่ทองฟาร์มมีสินค้าหลากหลายมากไปกว่าข้าวแล้วครับ คุณตุ้ยได้ทำเส้นพาสต้าข้าวกล้องออร์แกนิค อาหารเหลวสำหรับเด็กเล็ก และตอนนี้กำลังปลูกแตงโมออร์แกนิคเป็นปีแรก ส่วนข้าวมีทั้งหมด 7 ชนิด โดยมีข้าวขาว, ข้าวกล้อง, ข้าวแดง, ข้าวดำ, ข้าวกาบ้า, ข้าวไรซ์เบอรี่, ข้าวหอมมะลิแดงและข้าวหอมนิล
ที่น่าสนใจมากคือคุณตุ้ยบอกผมว่าชาวสิงคโปร์ชอบบริโภคข้าวกล้องมาก เพราะรัฐบาลส่งเสริมให้มาทานข้าวกล้องเพื่อสุขภาพ โดยข้าวกล้องปลอดสารพิษของคุณตุ้ยได้วางขายที่ประเทศสิงคโปร์ ได้ราคาสูงถึง 200 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาขายข้าวหอมมะลิที่วางขายในไทยและสิงคโปร์จะอยู่ประมาณ 50-60 บาทต่อกิโลกรัม
การปลูกแบบเกษตรอินทรีย์หรือออร์แกนิคน่าสนใจตรงที่กระบวนการปลูกทั้งหมดใช้วิธีตามธรรมชาติโดยไม่พึ่งสารเคมี การแก้ปัญหาต่างๆ จะใช้วิธีธรรมชาติเข้าช่วย ผมถามคุณตุ้ยว่า การเปลี่ยนมาใช้วิธีการปลูกแบบนี้มีผลดีอย่างไร คุณตุ้ยตอบว่า การปลูกแบบออร์แกนิคได้ราคามากขึ้นกว่าการปลูกแบบปกติ ยิ่งไปกว่านั้นการปลูกออร์แกนิคจะช่วยเรื่องอื่นด้วยในระยะยาว เช่น ผลผลิตจะเพิ่มมากขึ้นในระยะยาว ค่าปุ๋ยและต้นทุนลดลง สิ่งแวดล้อมดีขึ้น สุขภาพก็ดีขึ้น ดังนั้นการผลิตออร์แกนิคต้นทุนคือส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้กลับมาอย่างอื่นมันคุ้มค่ามากกว่า
เพื่อให้เกษตรกรไทยมีศักยภาพในการปรับปรุงพื้นที่เพาะปลูกจนสามารถผลิตสินค้าเกษตรปลอดสารพิษและออร์แกนิคราคาดี ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลก พรรคเพื่อไทยจึงมีนโยบายจัดตั้ง “กองทุนเปลี่ยนหน้าดิน” เพื่อจัดหาเงินทุนดอกเบี้ยต่ำหรือให้เงินอุดหนุนเพื่อการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับปรุงพื้นที่การเพาะปลูกให้สภาพดินที่เสื่อมโทรมได้รับการฟื้นฟูเป็นดินดี โครงการนี้ไม่ใช่การอุดหนุนราคาสินค้าแบบเดิมๆ เพราะนโยบายนี้คือการ “ลงทุน” เพื่อให้เกษตรกรหลุดพ้นจากวัฏจักรสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐไปตลอด
จากแนวโน้มปัจจุบันที่คนทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น จำนวนผู้บริโภคที่ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อซื้ออาหารสะอาดที่ปราศจากสารเคมีเติบโตขึ้นทุกวัน โดยในอีกแค่ 4 ปีข้างหน้า ตลาดสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพของโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 35 ล้านล้านบาท หากเราสามารถเข้าถึงส่วนแบ่งตลาดสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพของโลกแค่ 4-5% จะทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มอย่างน้อย 1.4 ล้านล้านบาท หรือให้ GDP ไทยโตขึ้นราว 10% นี้คือหนึ่งในเป้าหมายของพรรคเพื่อไทย ที่จะปรับโครงสร้างภาคเกษตรไทยให้เติบโตไปกับโอกาสในตลาดโลก
เราต้องร่วมมือกันช่วยให้เกษตรกรของไทยปลูกสินค้าปลอดสารพิษคุณภาพและมีตลาดรองรับเพื่อขายผลิตผลให้ได้ราคาดี มีศักยภาพในการสร้างรายได้ด้วยตนเองอย่างมีศักดิ์ศรีในระยะยาว ไม่ต้องทนทุกข์และรอเงินอุดหนุนจากภาครัฐไปตลอดชีวิตครับ
ผลิตโดย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
พรรคเพื่อไทย เลขที่ 1770 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
จำนวน 1 ชุด ตามวันเวลาที่ปรากฏส่งมาในครั้งนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น