วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562
"อนุสรณ์" อัดรัฐดันทุรังทำ "ชิมช้อปใช้"
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ออกมาพาดพิง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ระบุ ชิมช้อปใช้ ไม่มีเงินไหลเข้ากระเป๋านายทุนเหมือนรัฐบาลในอดีต ว่า มาตรฐานการทำงานการเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชนต้องสูงกว่านี้ การรีบร้อนออกมาปฏิเสธโดยละทิ้งข้อเท็จจริง ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ ก่อนจะพูดอะไร นอกเหนือจากความพยายามที่จะสะกดจิตตัวเองว่าโครงการของรัฐบาลเป็นโครงการที่ดี ควรสำรวจและรับฟังความคิดเห็นรอบด้านจากทุกภาคส่วน ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างและเป็นธรรม ส่วนใดที่มีปัญหาก็เร่งแก้ไข เพื่อไม่ให้เป็นภาระของพี่น้องประชาชน โครงการนี้จะไม่เอื้อนายทุนใหญ่ได้อย่างไร ในเมื่อมีภาพปรากฏรถเข็นสินค้าที่ไม่สามารถชำระเงินในโครงการชิมช้อปใช้ วางเกลื่อน เหมือนถูกทิ้งไว้กลางห้าง ภาพป้ายประชาสัมพันธ์ ชิมช้อปใช้ สามารถซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ของประเทศได้ แบบนี้ไม่เรียกว่า เอื้อกลุ่มทุนใหญ่หรือเอื้อธุรกิจของเจ้าส้วได้อย่างไร การออกมาแนะนำไม่ได้เป็นเจตนาร้าย เพราะเงินที่นำมาใช้ในโครงการก็มาจากเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศ เมื่อนำมาใช้แล้ว มันไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควรก็ต้องเร่งแก้ไข
"ที่น่าตกใจ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ออกมาตรการแจกเงินลักษณะแบบนี้หลายครั้ง แต่แทบทุกครั้งก็เกิดปัญหาและไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่รัฐบาลก็ยังคงดันทุรังทำแบบเดิม แจกแบบเดิม ซึ่งไม่มีทางที่จะได้ผลลัพธ์ใหม่ การเก็บสถิติ รวบรวมข้อมูล หรือการรับฟังเพื่อการพัฒนาให้ดีขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น"นายอนุสรณ์ กล่าว
"จิรายุ" อัด "ชิมช้อปใช้" มีปัญหา เลือกปฏิบัติ
"จิรายุ" จวกวิธีคิดของรัฐบาลต่อโครงการ "ชิมช้อปใช้" มีปัญหา ไม่แปลกใจที่รัฐบาลชุดนี้คิดอะไรออกมามักไม่เวิร์คสุดท้ายประชาชนคงโดนหลอกรีดภาษีอีกรอบ
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่าตนได้รับเรื่องร้องเรียนเป็นจำนวนมากตลอดสัปดาห์ถึงโครงการ “ชิมช้อปใช้”ดังกล่าวว่ามีปัญหา อย่างมากทั้งแนวคิด วิธีทำและผลที่จะได้รับ
นอกจากความไม่พร้อมและเร่งรีบในการใช้เงิน
ภาษีของประชาชนที่ไปล้วงเอามาจากงบกลาง แสดงให้เห็นถึงแนวคิดเชิงนโยบายที่ไม่มีวิชั่นของรัฐบาลเพราะโดยทั่วไปแล้วจะต้องบรรจุอยู่ในงบประมาณปกติ
นายจิรายุกล่าวต่อไปว่า โครงการนี้เป็นโครงการเลือกปฏิบัติต่อประชาชนอย่างน่ารังเกียจ เพราะประชาชนกว่า 40ล้านคน ไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบดังกล่าว เพราะ
1. เขาไม่ได้ใช้ระบบสมาร์ตโฟน
2. การเข้าถึงแอพพลิเคชัน ที่มีขั้นตอนซับซ้อนการลงทะเบียนยุ่งยาก
3. ร้านค้ายังมีปัญหาไม่ยอมรับ
4. ระบบยังไม่สามารถรองรับกับการใช้ปริมาณพร้อมๆกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ร้านค้ายกเลิกโครงการกลางคัน และทิ้งของที่เลือกแล้วบริเวณร้านเป็นจำนวนมาก
5. ประชาชนยังมีความกังวลใจว่ารัฐจะล้วงความลับจากเลข 13 หลักของประชาชนอาจนำข้อมูลไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ทางการเมืองของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
6. หากไม่ประสบความสำเร็จใครจะเป็นผู้รับผิดชอบนอกจากประชาชนผู้เสียภาษี
นายจิรายุกล่าวอีกว่า วิธีคิดในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยรูปแบบเช่นนี้ ถ้าเป็นนักศึกษากำลังสอบวัดผล จะให้ตกอย่างเดียวไม่ได้ต้องรีไทร์หรือไล่ออก สถานเดียว และทำอย่างมีวาระแอบแฝงหรือไม่? ซึ่งฝ่ายค้านจะติดตามตรวจสอบต่อไป
ส่วนกระบวนการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการให้คนออกไปท่องเที่ยวแบบนี่ เป็นวิธีคิดที่กลับหัวกลับหางเพราะเมื่อใดก็แล้วแต่ที่ประเทศมีเศรษฐกิจดีประชาชนก็จะออกไปเที่ยวและตนก็เชื่อว่าคนที่คิดโครงการนี้ย่อมรู้ว่าเงิน 1,000 บาทไม่สามารถไปท่องเที่ยวที่ไหนได้โดยเฉพาะการเดินทางข้ามจังหวัดและไม่ใช่ยาวิเศษที่รัฐบาลจะกล้านำมากระตุ้นเศรษฐกิจได้
ทั้งนี้ในการอภิปรายงบประมาณรายจ่าย ฝ่ายค้านจะชำแหละถึงแนวคิดของรัฐบาลในการใช้เงินภาษีของประชาชนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีได้อย่างไร แถมยังได้กลิ่นตุตุต่อเรื่องนี้ว่ามีคนได้รับผลประโยชน์ไม่กี่กลุ่ม ซึ่งนโยบายเรื่องนี้ถือว่า คนคิดฉลาดที่จะได้รับผลประโยชน์ แต่คนซวยก็คือประชาชนและคนทั้งประเทศที่ต้องเสียภาษีไปกับเรื่องนี้ ที่เรียกได้เลยว่าเป็น มหกรรมการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ นายจิรายุกล่าว
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่าตนได้รับเรื่องร้องเรียนเป็นจำนวนมากตลอดสัปดาห์ถึงโครงการ “ชิมช้อปใช้”ดังกล่าวว่ามีปัญหา อย่างมากทั้งแนวคิด วิธีทำและผลที่จะได้รับ
นอกจากความไม่พร้อมและเร่งรีบในการใช้เงิน
ภาษีของประชาชนที่ไปล้วงเอามาจากงบกลาง แสดงให้เห็นถึงแนวคิดเชิงนโยบายที่ไม่มีวิชั่นของรัฐบาลเพราะโดยทั่วไปแล้วจะต้องบรรจุอยู่ในงบประมาณปกติ
นายจิรายุกล่าวต่อไปว่า โครงการนี้เป็นโครงการเลือกปฏิบัติต่อประชาชนอย่างน่ารังเกียจ เพราะประชาชนกว่า 40ล้านคน ไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบดังกล่าว เพราะ
1. เขาไม่ได้ใช้ระบบสมาร์ตโฟน
2. การเข้าถึงแอพพลิเคชัน ที่มีขั้นตอนซับซ้อนการลงทะเบียนยุ่งยาก
3. ร้านค้ายังมีปัญหาไม่ยอมรับ
4. ระบบยังไม่สามารถรองรับกับการใช้ปริมาณพร้อมๆกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ร้านค้ายกเลิกโครงการกลางคัน และทิ้งของที่เลือกแล้วบริเวณร้านเป็นจำนวนมาก
5. ประชาชนยังมีความกังวลใจว่ารัฐจะล้วงความลับจากเลข 13 หลักของประชาชนอาจนำข้อมูลไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ทางการเมืองของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
6. หากไม่ประสบความสำเร็จใครจะเป็นผู้รับผิดชอบนอกจากประชาชนผู้เสียภาษี
นายจิรายุกล่าวอีกว่า วิธีคิดในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยรูปแบบเช่นนี้ ถ้าเป็นนักศึกษากำลังสอบวัดผล จะให้ตกอย่างเดียวไม่ได้ต้องรีไทร์หรือไล่ออก สถานเดียว และทำอย่างมีวาระแอบแฝงหรือไม่? ซึ่งฝ่ายค้านจะติดตามตรวจสอบต่อไป
ส่วนกระบวนการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการให้คนออกไปท่องเที่ยวแบบนี่ เป็นวิธีคิดที่กลับหัวกลับหางเพราะเมื่อใดก็แล้วแต่ที่ประเทศมีเศรษฐกิจดีประชาชนก็จะออกไปเที่ยวและตนก็เชื่อว่าคนที่คิดโครงการนี้ย่อมรู้ว่าเงิน 1,000 บาทไม่สามารถไปท่องเที่ยวที่ไหนได้โดยเฉพาะการเดินทางข้ามจังหวัดและไม่ใช่ยาวิเศษที่รัฐบาลจะกล้านำมากระตุ้นเศรษฐกิจได้
ทั้งนี้ในการอภิปรายงบประมาณรายจ่าย ฝ่ายค้านจะชำแหละถึงแนวคิดของรัฐบาลในการใช้เงินภาษีของประชาชนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีได้อย่างไร แถมยังได้กลิ่นตุตุต่อเรื่องนี้ว่ามีคนได้รับผลประโยชน์ไม่กี่กลุ่ม ซึ่งนโยบายเรื่องนี้ถือว่า คนคิดฉลาดที่จะได้รับผลประโยชน์ แต่คนซวยก็คือประชาชนและคนทั้งประเทศที่ต้องเสียภาษีไปกับเรื่องนี้ ที่เรียกได้เลยว่าเป็น มหกรรมการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ นายจิรายุกล่าว
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562
"สุดารัตน์" อัดรัฐแจกเงินคนจน วนไปอยู่กระเป๋าคนรวย
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
“แจกเงินคนจน แต่สุดท้ายวนไปอยู่กระเป๋าคนรวย”
วันนี้หน่อยไปเดินที่เยาวราช เพื่อหาซื้ออาหารเจ และตั้งใจไปเดินต่อที่สำเพ็ง เพื่อหาซื้อผ้าเช็ดตัว ผ้าถุง สมุดวาดเขียน ของเล่นเด็กๆ เพื่อนำไปมอบให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งหน่อยและ #ทีมเพื่อไทย ตั้งใจจะไปเยี่ยมพี่น้องอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
แต่การมาเดินเยาวราช และสำเพ็งเที่ยวนี้ ทำให้หน่อยได้ข้อมูล ที่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นในใจมากมาย เพราะตั้งแต่เดินลงรถมา ก็มีแม่ค้าที่ขายของอยู่ริมฟุตบาธวิ่งเข้ามากอดหน่อย แล้วร้องไห้หลายราย ทุกคนเข้ามาระบายความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา ทั้งการค้าขายที่ฝืดเคืองมาก แถมยังถูกกทม. ห้ามขายทั้งบนถนนเยาวราช แม้แต่ตามซอยต่างๆก็ยังไปตามจับ
พ่อค้าแม่ขายหลายคน ตัดพ้อกับหน่อยว่า ใช้ชีวิตขายของอยู่ที่เยาวราช และสำเพ็งมากกว่า 30 ปีอยู่ๆวันนี้ก็มาห้ามไม่ให้เค้าขาย แล้วก็ไล่ดักจับเขาเหมือนพวกเขาเป็นโจร
ทุกคนพูดกับหน่อยทั้งน้ำตาว่า เขาเป็นเพียงพ่อค้าแม่ค้าตัวเล็กๆ ที่ประกอบอาชีพสุจริต ต้องการแค่ที่ทำมาหากิน #เขาไม่ใช่โจรผู้ร้าย
ทุกคนต่างเข้ามาพูดคุยขอร้องให้หน่อยช่วย หน่อยจึงจะให้ส.ส.กทม. #เพื่อไทย ได้นำไปหาทางแก้ไขในสภาผู้แทนฯค่ะ
ช่วงที่หน่อยเดินเข้าไปหาซื้อพวกผ้าเช็ดตัว ผ้าถุง มุ้ง ของเล่นเด็ก ตามร้านค้าต่างๆในสำเพ็ง ทุกร้านที่เข้าไปต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจแย่มาก ยอดขายของแต่ละร้านตกลงกว่า 70% บางร้านบอกว่าเปิดมากว่า 60 ปี ปีนี้ค้าขายแย่สุด
และหลายร้าน ได้เล่าให้หน่อยฟังว่า มีปัญหาที่เข้ามาซ้ำเติม นอกจากการค้าขายที่ตกต่ำจากพิษเศรษฐกิจที่ไม่ดีในประเทศแล้ว ขณะนี้มีคู่แข่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า คือพวกนักธุรกิจจากต่างชาติที่เข้ามาเช่าร้านเปิดขายแข่งอย่างผิดกฎหมาย ทำให้สถานการณ์การค้าในย่านสำเพ็งยิ่งย่ำแย่มากขึ้น
เร็วๆนี้กลุ่มผู้ค้าสำเพ็ง จะขอนัดหมายหน่อย ไปฟังปัญหาของพวกเขาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
หน่อยรับปากที่จะไปร่วมประชุมกับเขาในเร็วๆนี้ค่ะ
อีกเรื่องที่หน่อยอยากเล่าทุกคนให้ฟัง คือตลอดระยะทางที่เดิน หน่อยถามเกือบทุกร้านว่ามีคนที่ได้เงินในโครงการ #ชิมช้อปใช้ มาซื้อของไหม ทุกร้านต่างบอกว่า #ไม่มีเลยสักราย
ตกลงเงิน1,000บาท ในโครงการชิมช้อปใช้ ก็คงไหลไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัวรายใหญ่ไม่กี่รายเช่นเดิม เพราะส่วนใหญ่ก็จะไปใช้ในห้างใหญ่ทั้งนั้น
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ในขณะที่งบประมาณประเทศมีน้อย แต่ประชาชนยากจนมีจำนวนมาก รัฐบาลที่ชาญฉลาดจะต้องเลือกใช้จ่ายเงินงบประมาณ เพื่อไปสร้างให้เกิดรายได้ใหม่ หรือทรัพย์สินใหม่ให้แก่ประชาชนคนส่วนใหญ่
ไม่ใช่การ #แจกเงินให้คนจนแต่สุดท้ายวนไปสู่กระเป๋าคนรวย อย่างที่นายกฯคนนี้ทำมาตลอดกว่าห้าปี ที่โดยต้องกู้เงินมากว่า 2.2 ล้านล้านบาท แต่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เลย แถมยังทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นไปอีก
โปรดอย่าให้คนจนถูกใช้เป็นเพียงช่องทางผ่านเงินไปยังเศรษฐีไม่กี่ตระกูล
ที่เป็นผู้มีอุปการะคุณกับรัฐบาลเลย
ที่เป็นผู้มีอุปการะคุณกับรัฐบาลเลย
วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2562
"พานทองแท้" ขอบคุณทุกกำลังใจ ยอมรับหนักที่สุดในชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
เชื่อครับ...ว่ายุคนี้ “ลูกทักษิณ”
หาโอกาสที่จะอยู่แบบสบายๆ ยากมาก
ผมยอมรับว่าครั้งนี้ #หนักที่สุดในชีวิต
และ เครียดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
#ใครไม่โดนกับตัวเองไม่รู้หรอก
ขอบคุณมากครับที่เป็นห่วง และเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆอย่างทะลุปรุโปร่ง
มีเห็นไม่ตรงกันนิดเดียว คือ
สำหรับตัวผมชีวิตตอนนี้ก็มาถึงหลักสี่แล้ว
ตัวคนเดียว ยังไม่มีพันธะอะไรที่ต้องรับผิดชอบมากมาย ทำให้ไม่ต้องคิดไรมาก
#สู้ได้ผมก็สู้
....และถึงจะ....
#สู้ไม่ได้ผมก็จะสู้ ครับ
เชื่อครับ...ว่ายุคนี้ “ลูกทักษิณ”
หาโอกาสที่จะอยู่แบบสบายๆ ยากมาก
ผมยอมรับว่าครั้งนี้ #หนักที่สุดในชีวิต
และ เครียดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
#ใครไม่โดนกับตัวเองไม่รู้หรอก
ขอบคุณมากครับที่เป็นห่วง และเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆอย่างทะลุปรุโปร่ง
มีเห็นไม่ตรงกันนิดเดียว คือ
สำหรับตัวผมชีวิตตอนนี้ก็มาถึงหลักสี่แล้ว
ตัวคนเดียว ยังไม่มีพันธะอะไรที่ต้องรับผิดชอบมากมาย ทำให้ไม่ต้องคิดไรมาก
#สู้ได้ผมก็สู้
....และถึงจะ....
#สู้ไม่ได้ผมก็จะสู้ ครับ
"หมวดเจี๊ยบ" ยื่นเร่ง ติดตามผลฟันไก่อู ปมใช้สื่อรัฐหาเสียง
พรรคเพื่อไทยยื่นเรื่องให้ประธานคณะกรรมาธิการ. ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร เพื่อติดตามตรวจสอบว่ารัฐบาลได้ดำเนินการทางวินัยและออกคำสั่งให้ พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่? จากกรณีโดนรองอธิบดีร้องเรียนว่าใช้สื่อของรัฐช่วยพรรคการเมืองหาเสียง
พรรคเพื่อไทย เดินทางเข้ายื่นหนังสือของพรรคเพื่อไทย ซึ่งลงนาม โดย นาย สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค ต่อ พล.ต.อ. เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ. ปปช) เพื่อให้ติดตามกำกับว่ารัฐบาลได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และจะออกคำสั่งให้ พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่ ตามที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นคำร้องไว้ก่อนหน้านี้กับ นาย เทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยเห็นว่าคำร้องของอดีตรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สื่อของรัฐเป็นเครื่องมือในการช่วยพรรคการเมืองหาเสียงและประเด็นการทุจริตอื่น ๆ นั้น ถือว่ามีมูลและมีน้ำหนัก จัดเป็นพยานบุคคลชั้นดี ที่รัฐบาลต้องรับฟังและให้ความสำคัญกับข้อมูลดังกล่าว เพราะผู้ร้องเรียนเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรดังกล่าวย่อมต้องทราบข้อเเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบต่าง ๆ
แต่ถ้า พล.ท. สรรเสริญ ยังนั่งเก้าอี้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์อยู่ ก็ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน เพราะคณะกรรมการสอบสวนอาจเกรงใจ พล.ท. สรรเสริญ เพราะเป็นนายทหารระดับสูงที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจในรัฐบาลและเป็นสัญลักษณ์สำคัญของคณะรัฐประหาร ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นคนแต่งตั้ง พล.ท.สรรเสริญ เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เองกับมือ โดยใช้อำนาจพิเศษ ตามมาตรา 44 ดังนั้น กรรมการสอบสวนก็อาจไม่กล้าตรวจสอบ พล.ท สรรเสริญ อย่างเต็มที่ ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงเกรงว่ากระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของรัฐบาลจะไม่มีความเที่ยงธรรม หรืออาจมีคนในรัฐบาลแอบช่วยเหลือกันก็เป็นได้
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงต้องการใช้กลไกของรัฐสภา คือ คณะกรรมาธิการ ปปช. เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลซึ่งจะเป็นการแสดงให้สังคมเห็นว่าประชาชนจะสามารถใช้อำนาจนิติบัญญัติเพื่อตรวจสอบฝ่ายบริหารได้อย่างไร กล่าวโดยสรุปคือ นายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสื่อ มีอำนาจพิจารณาดำเนินการทางวินัยอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในฐานะผู้บังคับบัญชา ตาม มาตรา 101 ของ พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ในขณะที่ คณะกรรมาธิการ ปปช. สภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล
ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้เลือกใช้ทุกช่องทางเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินการในประเด็นนี้ เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ และเพื่อทำความจริงให้ปรากฏ ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวใด ๆ กับ พล.ท. สรรเสริญ หากท่านพิสูจน์ตนเองได้ว่าบริสุทธิ์ ก็สามารถกลับเจ้ารับราชการได้ ทั้งนี้ การให้ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่มากเกินไป เพราะตามปกติ ก็มีการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการที่ถูกร้องเรียนออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อประโยชน์ต่อการสอบสวน เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงน่าจับตามองว่าในกรณีของอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ และผู้มีอำนาจหลายคนในรัฐบาลจะได้รับอภิสิทธิ์เหนือบุคคลอื่น หรือมีเส้นใหญ่กว่าข้าราชการทั่วๆ ไป หรือไม่?
พรรคเพื่อไทย เดินทางเข้ายื่นหนังสือของพรรคเพื่อไทย ซึ่งลงนาม โดย นาย สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค ต่อ พล.ต.อ. เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ. ปปช) เพื่อให้ติดตามกำกับว่ารัฐบาลได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และจะออกคำสั่งให้ พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่ ตามที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นคำร้องไว้ก่อนหน้านี้กับ นาย เทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยเห็นว่าคำร้องของอดีตรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สื่อของรัฐเป็นเครื่องมือในการช่วยพรรคการเมืองหาเสียงและประเด็นการทุจริตอื่น ๆ นั้น ถือว่ามีมูลและมีน้ำหนัก จัดเป็นพยานบุคคลชั้นดี ที่รัฐบาลต้องรับฟังและให้ความสำคัญกับข้อมูลดังกล่าว เพราะผู้ร้องเรียนเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรดังกล่าวย่อมต้องทราบข้อเเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบต่าง ๆ
แต่ถ้า พล.ท. สรรเสริญ ยังนั่งเก้าอี้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์อยู่ ก็ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน เพราะคณะกรรมการสอบสวนอาจเกรงใจ พล.ท. สรรเสริญ เพราะเป็นนายทหารระดับสูงที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจในรัฐบาลและเป็นสัญลักษณ์สำคัญของคณะรัฐประหาร ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นคนแต่งตั้ง พล.ท.สรรเสริญ เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เองกับมือ โดยใช้อำนาจพิเศษ ตามมาตรา 44 ดังนั้น กรรมการสอบสวนก็อาจไม่กล้าตรวจสอบ พล.ท สรรเสริญ อย่างเต็มที่ ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงเกรงว่ากระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของรัฐบาลจะไม่มีความเที่ยงธรรม หรืออาจมีคนในรัฐบาลแอบช่วยเหลือกันก็เป็นได้
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงต้องการใช้กลไกของรัฐสภา คือ คณะกรรมาธิการ ปปช. เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลซึ่งจะเป็นการแสดงให้สังคมเห็นว่าประชาชนจะสามารถใช้อำนาจนิติบัญญัติเพื่อตรวจสอบฝ่ายบริหารได้อย่างไร กล่าวโดยสรุปคือ นายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสื่อ มีอำนาจพิจารณาดำเนินการทางวินัยอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในฐานะผู้บังคับบัญชา ตาม มาตรา 101 ของ พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ในขณะที่ คณะกรรมาธิการ ปปช. สภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล
ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้เลือกใช้ทุกช่องทางเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินการในประเด็นนี้ เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ และเพื่อทำความจริงให้ปรากฏ ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวใด ๆ กับ พล.ท. สรรเสริญ หากท่านพิสูจน์ตนเองได้ว่าบริสุทธิ์ ก็สามารถกลับเจ้ารับราชการได้ ทั้งนี้ การให้ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่มากเกินไป เพราะตามปกติ ก็มีการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการที่ถูกร้องเรียนออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อประโยชน์ต่อการสอบสวน เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงน่าจับตามองว่าในกรณีของอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ และผู้มีอำนาจหลายคนในรัฐบาลจะได้รับอภิสิทธิ์เหนือบุคคลอื่น หรือมีเส้นใหญ่กว่าข้าราชการทั่วๆ ไป หรือไม่?
7 พรรคฝ่ายค้านรับฟังปัญหาประมงยะลา
7 พรรคฝ่ายค้านรับฟังปัญหาประมงยะลา ‘ประชาชาติ’ บี้เจ้าหน้าที่รัฐไม่เป็นกลาง เอื้อประโยชน์ให้ประมงพาณิชย์มากกว่าประมงพื้นบ้าน
นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ, นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทยและ ส.ส. บัญชีรายชื่อ, นายวรวิทย์ บารู รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ, นายมุข สุไลมาน เหรัญญิกพรรคประชาชาติ, นายสมมุติ เบ็ญจลักษณ์ ส.ส. ปัตตานี พรรคประชาชาติ, นายนิรามาน สุไลมาน ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ และตัวแทนจาก 7 พรรคฝ่ายค้าน มารับฟังปัญหาของชาวประมงพื้นบ้าน ที่บ้านบานา จังหวัดปัตตานี
นายกสมาคมประมงพื้นบ้าน จังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการยกเลิกเครื่องมืออวนดุน แต่ยังมีอวนลาก และเรือปั่นไฟจับปลากระตะ ซึ่งเป็นเครื่องทำลายล้างพันธุ์ปลา จับลูกปลาทูและลูกปลาอื่นๆ ตนเห็นว่าควรทำเขตอนุรักษ์ ทำบ้านให้ปลา และปลูกป่าชายเลน ปลูกหญ้าทะเล ทั้งนี้หลายกลุ่มชาวประมงยังไม่มีการจดทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย ขณะเดียวกัน พระราชกำหนดการประมง ที่พยายามแก้ปัญหาให้เป็นไปตามกฎ IUU แต่กฎหมายฉบับนี้ มีปัญหาในหลายมาตรา 5 คือ คำนิยาม ไม่ชัดเจน ว่าคนที่เป็นประมงพื้นบ้าน หมายถึงคนที่ทำประมงในเขตทะเลชายฝั่ง ตนมองว่าอาชีพประมงพื้นบ้านต้องสงวนไว้ให้คนไทยเท่านั้น
มาตรา 34 ห้ามออกทำประมงท้องถิ่นออกนอกเขตทะเลชายฝั่งที่กำหนดไว้แค่ 3 ไมล์ ทั้งๆที่อีกน่านน้ำที่หาปลาได้ของไทยมีถึง 200 ไมล์ อีก 197 ไมล์เป็นพื้นที่ของประมงพาณิชย์
มาตรา 57 ห้ามผู้ใดนำสัตว์น้ำขนาดเล็กที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดขึ้นมาบนเรือ แต่ยังไม่มีการกำหนดสัดส่วนว่าติดมาได้กี่เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้นายกสมาคมฯ มองว่ากฎหมายที่บังคับใช้ให้ประโยชน์กับนายทุนรายใหญ่มากกว่าชาวประมงท้องถิ่น ควรแก้ไขกฎหมายให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์
นายมุข กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่สร้างปัญหา เข้าข้างประมงขนาดใหญ่ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตอนนี้คือจะทำยังไงให้ความเป็นกลางกับประมงเล็กและประมงใหญ่ นักการเมืองที่เข้าไปในสภาต้องพูดถึงเจ้าหน้าที่ว่าทำยังไงให้เกิดความเป็นธรรมก่อนแล้วกฎหมายก็ค่อยแก้กันไป
ด้านนายสงคราม รับเรื่องนี้เพื่อที่จะนำเข้าสู่กรรมาธิการในสภาเพื่อหาทางออกต่อไป เพราะตนเห็นว่าที่ผ่านมาปัญหานี้ทำให้ประมงพื้นบ้านได้รับผลกระทบอย่างหนัก เรือหลายลำจอดทิ้งไว้ไม่ได้ไปหาปลา
นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ, นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทยและ ส.ส. บัญชีรายชื่อ, นายวรวิทย์ บารู รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ, นายมุข สุไลมาน เหรัญญิกพรรคประชาชาติ, นายสมมุติ เบ็ญจลักษณ์ ส.ส. ปัตตานี พรรคประชาชาติ, นายนิรามาน สุไลมาน ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ และตัวแทนจาก 7 พรรคฝ่ายค้าน มารับฟังปัญหาของชาวประมงพื้นบ้าน ที่บ้านบานา จังหวัดปัตตานี
นายกสมาคมประมงพื้นบ้าน จังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการยกเลิกเครื่องมืออวนดุน แต่ยังมีอวนลาก และเรือปั่นไฟจับปลากระตะ ซึ่งเป็นเครื่องทำลายล้างพันธุ์ปลา จับลูกปลาทูและลูกปลาอื่นๆ ตนเห็นว่าควรทำเขตอนุรักษ์ ทำบ้านให้ปลา และปลูกป่าชายเลน ปลูกหญ้าทะเล ทั้งนี้หลายกลุ่มชาวประมงยังไม่มีการจดทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย ขณะเดียวกัน พระราชกำหนดการประมง ที่พยายามแก้ปัญหาให้เป็นไปตามกฎ IUU แต่กฎหมายฉบับนี้ มีปัญหาในหลายมาตรา 5 คือ คำนิยาม ไม่ชัดเจน ว่าคนที่เป็นประมงพื้นบ้าน หมายถึงคนที่ทำประมงในเขตทะเลชายฝั่ง ตนมองว่าอาชีพประมงพื้นบ้านต้องสงวนไว้ให้คนไทยเท่านั้น
มาตรา 34 ห้ามออกทำประมงท้องถิ่นออกนอกเขตทะเลชายฝั่งที่กำหนดไว้แค่ 3 ไมล์ ทั้งๆที่อีกน่านน้ำที่หาปลาได้ของไทยมีถึง 200 ไมล์ อีก 197 ไมล์เป็นพื้นที่ของประมงพาณิชย์
มาตรา 57 ห้ามผู้ใดนำสัตว์น้ำขนาดเล็กที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดขึ้นมาบนเรือ แต่ยังไม่มีการกำหนดสัดส่วนว่าติดมาได้กี่เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้นายกสมาคมฯ มองว่ากฎหมายที่บังคับใช้ให้ประโยชน์กับนายทุนรายใหญ่มากกว่าชาวประมงท้องถิ่น ควรแก้ไขกฎหมายให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์
นายมุข กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่สร้างปัญหา เข้าข้างประมงขนาดใหญ่ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตอนนี้คือจะทำยังไงให้ความเป็นกลางกับประมงเล็กและประมงใหญ่ นักการเมืองที่เข้าไปในสภาต้องพูดถึงเจ้าหน้าที่ว่าทำยังไงให้เกิดความเป็นธรรมก่อนแล้วกฎหมายก็ค่อยแก้กันไป
ด้านนายสงคราม รับเรื่องนี้เพื่อที่จะนำเข้าสู่กรรมาธิการในสภาเพื่อหาทางออกต่อไป เพราะตนเห็นว่าที่ผ่านมาปัญหานี้ทำให้ประมงพื้นบ้านได้รับผลกระทบอย่างหนัก เรือหลายลำจอดทิ้งไว้ไม่ได้ไปหาปลา
"อนุดิษฐ์" รับไม่ได้ หลังประยุทธ์แนะสหประชาชาติ เปิด Google
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
“พวกเรานักบริหารจะเปิด Google เป็นส่วนใหญ่ ประชาชนจะไม่ค่อยเปิด นั่นแหละทำให้ปัญหามันเกิดขึ้น เพราะเขาไม่เรียนรู้ไง เพราะฉะนั้น การเรียนรู้จากอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์นั้น มีประโยชน์อย่างยิ่ง”
นี่คือบางส่วนบางตอน ในการปาฐกถาหัวข้อ “การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืนระหว่างประเทศ จากความแข็งแกร่งภายในสังคมไทย” ของพลเอกประยุทธ์ #นายกรัฐมนตรี ระหว่างเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 74 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
ผมฟังแล้วได้แต่รู้สึกสงสารอนาคตประเทศ การปาฐกถาคือการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำ ผมหวังว่านายกฯจะแสดงวิสัยทัศน์ถึง เรื่อง AI ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยี blockchain ค่าเงินสกุลดิจิตอล หรือการสร้างแพลทฟอร์มต่างๆ ยกระดับธุรกิจ e-commerce ขึ้นมาเพื่อรองรับเทคโนโลยีที่จะมีขึ้นต่างๆในอนาคต
แต่นายกฯกลับยกตัวอย่างของการใช้ search engine แล้วยังบอกว่า ประชาชนไม่ค่อยเปิด ทั้งที่คนไทย เข้า google เป็นอันดับ 1
ปาฐกถาของนายกฯเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับประเทศ กลับเป็นปาฐกถาที่คนทั้งโลกมองว่าเป็นการดูถูกคนไทย และไร้วิสัยทัศน์
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เรากำลังอยู่ในยุคที่ทำสงครามด้วย “การค้า” และ “เทคโนโลยี” ในขณะที่รัฐบาลไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือหรือมีนโยบายเรื่องนี้อย่างจริงจังเลย
ท่านครับ! เลิกซื้อยุทโธปกรณ์ แล้วนำเม็ดเงินมหาศาลนั้นมาพัฒนาคน ติดอาวุธทางปัญญาให้ลูกหลานเรา ส่งเสริมนักวิจัยให้เตรียมตัวรับมือกับเทคโนโลยีในวันข้างหน้า องค์ความรู้เป็นเรื่องสำคัญครับ แต่วันนี้ท่านยังไม่เตรียมความพร้อมให้ลูกหลานเราเลย
เลิกแจกเงินแล้วเอาเงินนั้นมาพัฒนาให้คนไทยได้ขายของบนแพลทฟอร์มของรัฐ เหมือนที่จีนให้การสนับสนุนประชาชนของเขาเถอะครับ
วันนี้จีนได้ส่งม้าศึกที่คึกคะนอง ออกไปตีตลาดแพร่อิทธิพลไปทั่วโลกแล้วครับ เราคงไม่อยากเห็นอนาคตลูกหลาน เป็นแค่แรงงานให้ชาวต่างชาติใช่ไหมครับ!
อนาคตลูกหลาน อนาคตประเทศ อยู่ในกำมือท่านแล้ว
ผมไม่อยากเห็นท่านไปแสดงวิสัยทัศน์แบบนั้นในนาม “นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครับ!”
ถึงเวลาแล้วหรือยังครับ ที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่บริหารประเทศโดยการเปิด google!
ผมรับไม่ได้ครับ!
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2562
"สุดารัตน์" โพสต์กราฟิกเพจไขลานความคิด เทียบคำพูดประยุทธ์วันนั้น-วันนี้
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์กราฟิกจากเพจไขลานความคิด เทียบคำพูด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
#ยืมผลงานไปอวด ไม่ว่ากันค่ะ
แต่ขอให้จริงใจที่จะสนับสนุนโครงการ 30บาท อย่างแท้จริงด้วย!!
ได้ยินข่าวของพล.อประยุทธ์ ไปพูดถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ในเวทีการประชุม UN โดยได้อวดถึงความสำเร็จและประโยชน์ของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค มีต่อประชาชนคนไทยอย่างคุณูปการ ให้เวที UN ได้รับฟัง
ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข ผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมาตั้งแต่เริ่มต้น ในรัฐบาลนายกทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2544
ดิฉันดีใจนะคะ ที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้จากพล.อ.ประยุทธ์ และยินดีที่ให้ยืมผลงานไปอวดอ้างในเวทีโลก อย่าง UN หากพล.อ.ประยุทธ์ พูดอย่างจริงใจและพูดด้วยความเข้าใจโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคอย่างแท้จริง ว่าเป็นโครงการที่ก่อเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร
เพราะตลอดระยะเวลา 5 ปีกว่า พล.อ. ประยุทธ์ได้วิพากษ์วิจารณ์ ในทางลบต่อโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมาตลอด ทั้งกล่าวหาว่าเป็นโครงการประชานิยม ที่ทำให้เกิดปัญหา เป็นนโยบายที่ประเทศอื่นยังไม่ทำเลย เป็นโครงการที่ไม่ถูกต้องบิดเบือน เป็นภาระต่องบประมาณ บลา ๆ
เพราะถ้าพล.อ.ประยุทธ์ จริงใจ เข้าใจ โครงการ 30 บาทและสนับสนุนโครงการ 30 บาทอย่างแท้จริงก็จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมากในฐานะที่เป็นรัฐบาลอยู่
ดิฉันได้พยายามอธิบายถึงหลักการ โครงการและเป้าหมายของโครงการ 30 บาททุกครั้ง ที่ได้ฟัง พล.อ.ประยุทธ์ พูดตำหนิโครงการนี้อย่างไม่เข้าใจมาหลายครั้งแล้ว และวันนี้ขอพูดสั้นๆ ให้ฟังอีกครั้ง เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าใจหลักการของโครงการ 30 บาท เพื่อนำไปดำเนินการให้ถูกต้อง เพราะตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี จากความไม่เข้าใจของผูน้ำได้ส่งผลในทางลบ ต่อการดำเนินงานของโครงการ 30 บาท ในหลายด้านทั้งคุณภาพการบริการ ทั้งการบริหารงบประมาณ ที่ทำให้แต่ละโรงพยาบาลขาดงบประมาณ
ส่งผลให้ทั้งผู้ให้บริการ คือแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข และผู้รับบริการ คือประชาชนไม่มีความสุข
ทั้งสองฝ่าย
หัวใจของโครงการ 30 บาทมี 3 ประการคือ
1.เพื่อให้โอกาสคนไทย ได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างทัดเทียมทั่วถึง ( HEALTH FOR ALL )
2. เพื่อมุ่งสร้างสุขภาพดีให้คนไทย แข็งแรง ก่อนป่วย ( ALL FOR HEALTH )
3. เพื่อการจัดสรรงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ สามารถสะท้อนภาระของแต่ละสถานพยาบาล ที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ที่สถานพยาบาลเรานั้นต้องดูแล
แต่ในระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อผู้นำไม่เข้าใจและไม่ศรัทธาต่อโครงการ 30 บาทอย่างจริงใจ จึงส่งผลต่อการสนับสนุนโครงการ 30 บาททำให้คุณภาพของโครงการแย่ลง แทนที่จะเป็น HEALTH CARE จึงกลายเป็นSICK CARE. ผลเสียจึงตกต่อประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข
เอาผลงานคนอื่นไปคุยนอกบ้าน เพื่อชื่อเสียงของประเทศ แม่ยอมปิดตาให้ข้างนึงค่ะ แต่หูทั้ง2ข้างที่ฟังลุงพูดอยู่ในประเทศ ลุงด่า 30บาทไม่มีชิ้นดีอยู่ตลอดมา
ขอฟังในแนวทางที่ชื่นชม แบบคนที่รักและเข้าใจในหลักประกันสุขภาพ แบบที่ลุงไปพูดที่ UN ชัดๆสักครั้งได้มั๊ยคะ
#ยืมผลงานไปอวด ไม่ว่ากันค่ะ
แต่ขอให้จริงใจที่จะสนับสนุนโครงการ 30บาท อย่างแท้จริงด้วย!!
ได้ยินข่าวของพล.อประยุทธ์ ไปพูดถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ในเวทีการประชุม UN โดยได้อวดถึงความสำเร็จและประโยชน์ของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค มีต่อประชาชนคนไทยอย่างคุณูปการ ให้เวที UN ได้รับฟัง
ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข ผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมาตั้งแต่เริ่มต้น ในรัฐบาลนายกทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2544
ดิฉันดีใจนะคะ ที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้จากพล.อ.ประยุทธ์ และยินดีที่ให้ยืมผลงานไปอวดอ้างในเวทีโลก อย่าง UN หากพล.อ.ประยุทธ์ พูดอย่างจริงใจและพูดด้วยความเข้าใจโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคอย่างแท้จริง ว่าเป็นโครงการที่ก่อเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร
เพราะตลอดระยะเวลา 5 ปีกว่า พล.อ. ประยุทธ์ได้วิพากษ์วิจารณ์ ในทางลบต่อโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมาตลอด ทั้งกล่าวหาว่าเป็นโครงการประชานิยม ที่ทำให้เกิดปัญหา เป็นนโยบายที่ประเทศอื่นยังไม่ทำเลย เป็นโครงการที่ไม่ถูกต้องบิดเบือน เป็นภาระต่องบประมาณ บลา ๆ
เพราะถ้าพล.อ.ประยุทธ์ จริงใจ เข้าใจ โครงการ 30 บาทและสนับสนุนโครงการ 30 บาทอย่างแท้จริงก็จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมากในฐานะที่เป็นรัฐบาลอยู่
ดิฉันได้พยายามอธิบายถึงหลักการ โครงการและเป้าหมายของโครงการ 30 บาททุกครั้ง ที่ได้ฟัง พล.อ.ประยุทธ์ พูดตำหนิโครงการนี้อย่างไม่เข้าใจมาหลายครั้งแล้ว และวันนี้ขอพูดสั้นๆ ให้ฟังอีกครั้ง เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าใจหลักการของโครงการ 30 บาท เพื่อนำไปดำเนินการให้ถูกต้อง เพราะตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี จากความไม่เข้าใจของผูน้ำได้ส่งผลในทางลบ ต่อการดำเนินงานของโครงการ 30 บาท ในหลายด้านทั้งคุณภาพการบริการ ทั้งการบริหารงบประมาณ ที่ทำให้แต่ละโรงพยาบาลขาดงบประมาณ
ส่งผลให้ทั้งผู้ให้บริการ คือแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข และผู้รับบริการ คือประชาชนไม่มีความสุข
ทั้งสองฝ่าย
หัวใจของโครงการ 30 บาทมี 3 ประการคือ
1.เพื่อให้โอกาสคนไทย ได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างทัดเทียมทั่วถึง ( HEALTH FOR ALL )
2. เพื่อมุ่งสร้างสุขภาพดีให้คนไทย แข็งแรง ก่อนป่วย ( ALL FOR HEALTH )
3. เพื่อการจัดสรรงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ สามารถสะท้อนภาระของแต่ละสถานพยาบาล ที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ที่สถานพยาบาลเรานั้นต้องดูแล
แต่ในระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อผู้นำไม่เข้าใจและไม่ศรัทธาต่อโครงการ 30 บาทอย่างจริงใจ จึงส่งผลต่อการสนับสนุนโครงการ 30 บาททำให้คุณภาพของโครงการแย่ลง แทนที่จะเป็น HEALTH CARE จึงกลายเป็นSICK CARE. ผลเสียจึงตกต่อประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข
เอาผลงานคนอื่นไปคุยนอกบ้าน เพื่อชื่อเสียงของประเทศ แม่ยอมปิดตาให้ข้างนึงค่ะ แต่หูทั้ง2ข้างที่ฟังลุงพูดอยู่ในประเทศ ลุงด่า 30บาทไม่มีชิ้นดีอยู่ตลอดมา
ขอฟังในแนวทางที่ชื่นชม แบบคนที่รักและเข้าใจในหลักประกันสุขภาพ แบบที่ลุงไปพูดที่ UN ชัดๆสักครั้งได้มั๊ยคะ
"ชวลิต" แนะรัฐซื้อ ฮ.ทำฝนหลวง แทนเครื่องบินรบ
"ชวลิต" ท้วงรัฐบาล แปลงงบซื้อ ฮ. มาซื้อเครื่องบินทำฝนหลวงแทน
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เห็นข่าวพาดหัว น.ส.พ.วันนี้ว่า สหรัฐอเมริกาอนุมัติขายเฮลิคอปเตอร์โจมตี รุ่น AH - 6i จำนวน 8 ลำ เสริมเขี้ยวเล็บกองทัพไทย ในวงเงินหนึ่งหมื่นสองพันล้านบาท แล้วปวดใจ เพราะข่าวดังกล่าวสวนทางกับข่าวเครื่องบินฝนหลวงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตกที่กาญจนบุรี ทั้งครูฝึกและนักบินฝึกใหม่เสียชีวิตในหน้าทึ่ทั้งคู่
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตเพื่อทำหน้าที่อันสำคัญยิ่งในการทำภารกิจฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ของประเทศ
จากอุบัติเหตุเครื่องบินทำฝนหลวงตกในครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงว่า
น่าจะมีสาเหตุมาจากเครื่องบินเก่า ใช้มานาน และเครื่องบินตลอดจนนักบินมีจำนวนน้อย ไม่สมดุลกับภารกิจที่จะต้องทำฝนหลวงให้พี่น้องเกษตรกรซึ่งมีจำนวนมาก
นายชวลิต ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสภาวะความฝืดเคืองทางด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน ผู้ได้รับผล
กระทบหนักที่สุด คือ เกษตรกรชาวรากหญ้า จึงขอให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณแก้ไขปัญหาของประเทศให้ถูกต้องกับความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่
5 ปีทึ่ผ่านมา เป็น 5 ปีของการใช้งบประมาณด้านความมั่นคงสูงสุด ในขณะที่ไม่มีภัยร้ายแรงด้านความมั่นคงเลย มีแต่ภัยทางเศรษฐกิจ จึงเป็นการใช้งบประมาณภาษีอากรของประชาชนอย่างผิดที่ ผิดทาง ผิดสถานการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องเสียหายต่อภาพรวมของประเทศอย่างยิ่ง
อุบัติเหตุเครื่องบินทำฝนหลวงตกครั้งนี้ น่าจะเป็นเหตุผลให้รัฐบาลปรับนโยบายการใช้งบประมาณ ซึ่งผมเห็นว่า ควรตัดสินใจลดการซื้อ ฮ.จาก 8 ลำ ลงจำนวนหนึ่ง แล้วตั้งงบเสริมในปีถัดไป ขณะเดียวกันก็ควรนำงบนั้นไปซื้อเครื่องบินทำฝนหลวงซึ่งอาจจะได้เครื่องบินเป็นฝูง สามารถผลิตฝนหลวงช่วยเกษตรกรได้อย่างทั่วถึงทุกภาค
ประการสำคัญ รัฐบาลควรมีมาตรการดูแลด้านสวัสดิการแก่นักบินที่ปฏิบัติภารกิจเสี่ยงอันตรายเพื่อเกษตรกรซึ่งผลิตอาหารป้อนคนไทยและป้อนโลก โดยควรมีค่าตอบแทนและสวัสดิการอย่างเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เห็นข่าวพาดหัว น.ส.พ.วันนี้ว่า สหรัฐอเมริกาอนุมัติขายเฮลิคอปเตอร์โจมตี รุ่น AH - 6i จำนวน 8 ลำ เสริมเขี้ยวเล็บกองทัพไทย ในวงเงินหนึ่งหมื่นสองพันล้านบาท แล้วปวดใจ เพราะข่าวดังกล่าวสวนทางกับข่าวเครื่องบินฝนหลวงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตกที่กาญจนบุรี ทั้งครูฝึกและนักบินฝึกใหม่เสียชีวิตในหน้าทึ่ทั้งคู่
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตเพื่อทำหน้าที่อันสำคัญยิ่งในการทำภารกิจฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ของประเทศ
จากอุบัติเหตุเครื่องบินทำฝนหลวงตกในครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงว่า
น่าจะมีสาเหตุมาจากเครื่องบินเก่า ใช้มานาน และเครื่องบินตลอดจนนักบินมีจำนวนน้อย ไม่สมดุลกับภารกิจที่จะต้องทำฝนหลวงให้พี่น้องเกษตรกรซึ่งมีจำนวนมาก
นายชวลิต ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสภาวะความฝืดเคืองทางด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน ผู้ได้รับผล
กระทบหนักที่สุด คือ เกษตรกรชาวรากหญ้า จึงขอให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณแก้ไขปัญหาของประเทศให้ถูกต้องกับความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่
5 ปีทึ่ผ่านมา เป็น 5 ปีของการใช้งบประมาณด้านความมั่นคงสูงสุด ในขณะที่ไม่มีภัยร้ายแรงด้านความมั่นคงเลย มีแต่ภัยทางเศรษฐกิจ จึงเป็นการใช้งบประมาณภาษีอากรของประชาชนอย่างผิดที่ ผิดทาง ผิดสถานการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องเสียหายต่อภาพรวมของประเทศอย่างยิ่ง
อุบัติเหตุเครื่องบินทำฝนหลวงตกครั้งนี้ น่าจะเป็นเหตุผลให้รัฐบาลปรับนโยบายการใช้งบประมาณ ซึ่งผมเห็นว่า ควรตัดสินใจลดการซื้อ ฮ.จาก 8 ลำ ลงจำนวนหนึ่ง แล้วตั้งงบเสริมในปีถัดไป ขณะเดียวกันก็ควรนำงบนั้นไปซื้อเครื่องบินทำฝนหลวงซึ่งอาจจะได้เครื่องบินเป็นฝูง สามารถผลิตฝนหลวงช่วยเกษตรกรได้อย่างทั่วถึงทุกภาค
ประการสำคัญ รัฐบาลควรมีมาตรการดูแลด้านสวัสดิการแก่นักบินที่ปฏิบัติภารกิจเสี่ยงอันตรายเพื่อเกษตรกรซึ่งผลิตอาหารป้อนคนไทยและป้อนโลก โดยควรมีค่าตอบแทนและสวัสดิการอย่างเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
“จุลพันธ์” แนะรัฐอย่ากังวลเกินเหตุ ถ้าดีจริงอย่ากลัวอภิปรายงบประมาณ
เลขานุการวิปพรรคเพื่อไทย แนะรัฐอย่ากังวลการอภิปรายงบประมาณเกินเหตุ หากสามารถอธิบายเหตุผลการใช้จ่ายงบฯได้ ฝ่ายค้านพร้อมสนับสนุน
(26 กันยายน 2562) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ และเลขานุการวิปพรรคเพื่อไทย เปิดเผยกรณีที่รัฐบาลมีความกังวลการอภิปรายและลงมติในพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีรายจ่ายงบประมาณปี 2563 ที่กำลังเข้าสู่ที่ประชุมนั้น อย่ากังวลว่าฝ่ายค้านจะค้านอย่างเดียว หากโครงการใดที่เป็นประโยชน์กับประชาชน รัฐบาลสามารถอธิบายการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีเหตุผลรองรับ ไม่เป็นภาระของประเทศ ไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะมากเกินไปและสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว สามารถตอบคำถามสังคมเกี่ยวกับการจัดทำประมาณได้ ทั้งงบประมาณในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ถนน ไฟฟ้า หรือ รถไฟฟ้า พรรคฝ่ายค้านพร้อมสนับสนุน
“รัฐบาลอย่าไปกังวลหรือมโนเกินเหตุ ถ้าทำดีจริง โปร่งใส ตรวจสอบได้ ฝ่ายค้านก็ไม่ได้ค้านแบบไม่มีเหตุผล ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะเอาภาษีของประชาชนไปใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชนอย่างสูงสุดหรือไม่?”
ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามหลีกเลี่ยงที่จะลงมติใดๆในที่ประชุมสภา เพราะกังวลว่าจะคุมเสียง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ แต่เรื่องงบประมาณของประเทศ เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบกับพี่น้องประชาชนในวงกว้าง หาก พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ ทำให้ประชาชนได้รับการดูแลจากรัฐอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม การอภิปรายงบประมาณก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงขอให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการท้วงติงของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งมีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาแล้ว
(26 กันยายน 2562) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ และเลขานุการวิปพรรคเพื่อไทย เปิดเผยกรณีที่รัฐบาลมีความกังวลการอภิปรายและลงมติในพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีรายจ่ายงบประมาณปี 2563 ที่กำลังเข้าสู่ที่ประชุมนั้น อย่ากังวลว่าฝ่ายค้านจะค้านอย่างเดียว หากโครงการใดที่เป็นประโยชน์กับประชาชน รัฐบาลสามารถอธิบายการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีเหตุผลรองรับ ไม่เป็นภาระของประเทศ ไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะมากเกินไปและสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว สามารถตอบคำถามสังคมเกี่ยวกับการจัดทำประมาณได้ ทั้งงบประมาณในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ถนน ไฟฟ้า หรือ รถไฟฟ้า พรรคฝ่ายค้านพร้อมสนับสนุน
“รัฐบาลอย่าไปกังวลหรือมโนเกินเหตุ ถ้าทำดีจริง โปร่งใส ตรวจสอบได้ ฝ่ายค้านก็ไม่ได้ค้านแบบไม่มีเหตุผล ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะเอาภาษีของประชาชนไปใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชนอย่างสูงสุดหรือไม่?”
ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามหลีกเลี่ยงที่จะลงมติใดๆในที่ประชุมสภา เพราะกังวลว่าจะคุมเสียง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ แต่เรื่องงบประมาณของประเทศ เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบกับพี่น้องประชาชนในวงกว้าง หาก พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ ทำให้ประชาชนได้รับการดูแลจากรัฐอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม การอภิปรายงบประมาณก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงขอให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการท้วงติงของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งมีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาแล้ว
"อนุสรณ์" ติงประยุทธ์ 5ปี 8ย้อนแย้ง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ไปรับรางวัลและกล่าวปาฐกถาที่องค์การสหประชาชาติ เกี่ยวกับโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ทั่วโลกยอมรับ ว่า กว่า 5 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าประชาชนชาวไทยอาจสัมผัสได้ถึงความย้อนแย้งในตัวตน บุคลิกภาพ และชุดความคิดของพล.อ.ประยุทธ์ สะท้อนผ่านนโยบายการบริหารประเทศที่ย้อนแย้ง อย่างน้อย 8 เรื่อง
1.ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ทั้งยังมองว่าเป็นภาระงบประมาณ มีความพยายามที่จะให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเหมาจ่าย เป็นการให้ประชาชนร่วมจ่ายเงินหรือเรียกเก็บเงินเพิ่มเติมจากประชนที่มาใช้สิทธิ์ในการรักษาตามโครงการ แต่กลับเอาผลงานของรัฐบาลอื่นไปพูดเสมือนเป็นผลงานของตัวเองโดยไม่ให้เครดิตคนคิดและผลักดันนโยบาย
2.พล.อ.ประยุทธ์ บ่นเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุก จนกระจาย แต่การลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศกลับเป็นไปในลักษณะเอื้อกลุ่มทุนผูกขาดและทุนใหญ่ข้ามชาติ แม้แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงกลับเป็นกลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่ ไม่กี่กลุ่มในประเทศ
3.ปล่อยให้งบหมด เลิกจ้างฟ้าผ่า ลูกจ้างชั่วคราว ครู ภารโรง พี่เลี้ยงดูแลเด็กพิการ ทำคนสงสัยรัฐบาล ไม่มีเงินมาจ่ายเงินเดือน แต่งบประมาณจัดซื้ออาวุธมาเต็ม ไม่มีปรับลด
4.น้ำท่วมที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะที่อุบลราชธานี หนักที่สุดในรอบ 20 ปี แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับไปเยี่ยมภาคใต้ สวมหมวกเชฟกลับด้านทำใบเหลียงผัดไข่ ที่เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.)
5.มีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อว่า เจ้าหน้าที่ไปรื้อเพิงพักผู้ประสบภัยน้ำท่วม เพราะกีดขวางเส้นทางสัญจรของนายกรัฐมนตรี หลังเครือข่ายรัฐบาลออกมาปฏิเสธว่าไม่จริง แต่พล.อ.ประยุทธ์ กลับบอกว่า จัดห้องแอร์ให้ชาวบ้านก็ไม่ไป ชอบอยู่บนถนน
6.พล.อ.ประยุทธ์ สารภาพว่า ไปไหนลำบาก ต้องมี รปภ.ติดตาม จำนวนมาก ไม่กล้าไปไหนคนเดียว ผวาคนมาชกหน้า แต่แค่เพียงนักศึกษามายืนชู 3 นิ้ว กลับถูกดำเนินคดี
7.พล.อ.ประยุทธ์ บ่นน้ำท่วม ไปไหนมีแต่ชาวบ้านขอเงิน แต่ภัยแล้ง กลับเดินสายหว่านงบประมาณเกือบทั่วประเทศ เดินสายจัดครม.สัญจร ขยายวงหาเสียงออกไปทุกพื้นที่
8.รัฐบาลไม่มีงบฟื้นฟูเยียวยาน้ำท่วม ต้องมาออกรายการโทรทัศน์ขอรับเงินบริจาค แต่กลับมีเงินไปแจกฟรีหมื่นล้านบาทในโครงการ“ชิมช้อปใช้” แจกคนละ 1,000 บาท 10 ล้านคน ให้คนไปเที่ยว
“นี่เพียงบางส่วนที่ถูกตั้งคำถามว่าเป็นพฤติกรรมย้อนแย้ง ของพล.อ.ประยุทธ์ และคณะ ชนิดเดาทางยาก ไม่แน่ใจว่าเป็นเจตนาลับลวงพรางหรือไม่ แต่ถ้าปล่อยให้พฤติกรรมย้อนแย้งเกิดขึ้นบ่อยๆ น่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของรัฐบาล” นายอนุสรณ์ กล่าว
7 พรรคฝ่ายค้านเพื่อประชาชนสัญจร ลุยภาคใต้ เปิดเวทีระดมแก้รัฐธรรมนูญ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานและโฆษกคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านและการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวว่า คณะทำงานฝ่ายค้านเพื่อประชาชนจะจัดโครงการ ฝ่ายค้านเพื่อประชาชนสัญจร 4 ภาค ในส่วนของภาคใต้ ในวันศุกร์ที่ 27 ถึง วันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2562 ที่จังหวัดยะลา และ ปัตตานี ในวันศุกร์ที่ 27 จะออกรับฟังและสะท้อนปัญหาชาวสวนยางพารา ปัญหาชาวประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ เศรษฐกิจปากท้องที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน วันเสาร์ที่ 28 กันยายน เปิดเวทีเสวนา 7 พรรคฝ่ายค้านเพื่อประชาชน ในหัวข้อ พลวัตรแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ โดยหัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านทั้ง 7 พรรค นำโดยพรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคอนาคตใหม่ (อนค.)พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ (ปช.) พรรคเศรษฐกิจใหม่ (ศม.) พรรคเพื่อชาติ (พช.) พรรคพลังปวงชนไทย นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน นักศึกษา สถาบันการศึกษา ณ ลานวัฒนธรรม ศาลากลาง จังหวัดปัตตานี
“เวทีนี้ได้รับความร่วมมือจากนักวิชาการ สถาบันการศึกษา ภาคประมง ภาคการเกษตร ภาคประชาสังคม ภาคการเมือง จึงขอเชิญชวนเข้าร่วมเวทีสาธารณะ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เป็นรัฐธรรมนูญของคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง” นายอนุสรณ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กำหนดการ กิจกรรม ฝ่ายค้านเพื่อประชาชนสัญจรภาคใต้ พบประชาชนที่จังหวัดปัตตานี มีดังนี้
27 ก.ย.62
เวลา 14.30 น. รับฟังปัญหาเกษตรกรชาวสวนยางพารา ที่ตลาดกลางยางพาราจังหวัดยะลา
28 ก.ย.62
เวลา 10.00 น. รับฟังปัญหาชาวประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ ที่สะพานไม้บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี
เวลา 13.00 น. เวทีเสวนา 7 พรรคฝ่ายค้าน เรื่อง “พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” ที่ลานวัฒนธรรม หน้าศาลากลางจังหวัดปัตตานี
กล่าวที่มาและวัตถุประสงค์ โดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน
กล่าวต้อนรับโดย สมมุติ เบ็ญจลักษณ์ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาชาติ
ปาฐกถาพิเศษ “พลวัตบนเส้นทางดับไฟใต้” โดย ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์
เสวนาโดย
🏵 สมพงษ์ อมรวิวัฒน์
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
🏵 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
🏵 พลโทภราดร พัฒนถาบุตร
อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และตัวแทนพรรคเศรษฐกิจใหม่
🏵 ผศ.ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์
อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
🏵 สมพงษ์ สระกวี
อดีตสมาชิกวุฒิสภา และตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย
🏵 สงคราม กิจเลิศไพโรจน์
หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ
🏵 มุข สุไลมาน
กรรมการบริหารพรรคประชาชาติ
🏵 นิคม บุญวิเศษ
หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย
🏵 รักชาติ สุวรรณ
เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ
🏵 อสมา มังกรชัย
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ดำเนินรายการโดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
ปาถกฐาปิด “รัฐธรรมนูญที่เราไม่รับ กับรัฐธรรมนูญที่เราต้องการ” โดย วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ
"จาตุรนต์" เผยอัยการสั่งไม่ฟ้อง คดีวิจารณ์ 4 ปี คสช.
นายจาตุรนต์ ฉายแสง โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ทราบจากคุณนรินทร์พงศ์ ทนายความของผมว่า ในวันที่ 24 กันยายน 2560 เวลา 10.00 น. นัดฟังคำสั่งอัยการ คดี 3 เเกนนำ พรรคเพื่อไทย และ ไทยรักษาชาติ นายวัฒนาเมืองสุข นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายชูศักดิ์ ศิรินิล ในข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบในราชอาณาจักรฯ และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่3/2558 เรื่อง ห้ามชุมนุม กรณีแถลงข่าว "4 ปีที่ล้มเหลวของรัฐบาลและ คสช.นำไปสู่ความมืดมนอันตราย" เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2561
โดยในวันนี้ นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เเละนายยอดชาย ศีลนำสุข คณะทนายความผู้ต้องหาเดินทางมาฟังคำสั่ง ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
พนักงานอัยการ มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีผู้ต้องหาทั้งสาม หลังจากส่งสำนวนและคำสั่งให้ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณา ซึ่งไม่แย้งคำสั่งดังกล่าว จึงให้ยุติการดำเนินคดีผู้ต้องหาทั้งสาม โดยจะมีหนังสือแจ้งไปยังพนักงานสอบสวนภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อแจ้งให้ผู้ต้องหาทั้งสามทราบ และหลังจากได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งแล้ว จะชี้แจงรายละเอียดเหตุผลในการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ให้สื่อมวลชนทราบต่อไป
ผมต้องขอขอบคุณพนักงานอัยการที่ให้ความเป็นธรรมกับผมและเพื่อนผู้ต้องหาอีกสองคน ขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ไม่แย้ง ทำให้คดีนี้ยุติลงในที่สุด
ที่จริงแล้วการแถลงข่าววิจารณ์ผลงานของคสช.ที่เกิดขึ้น หากพิจารณาตามหลักฐานข้อเท็จจริงแล้ว ไม่อาจเป็นคดีได้เลยมาแต่ต้น แต่เป็นเพราะคสช.ต้องการกลั่นแกล้งผู้ที่วิจารณ์คสช.ให้ลำบากในการสู้คดีและใช้การดำเนินคดีด้วยข้อหาร้ายแรงนี้เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ยับยั้งกระแสการวิพากษ์วิจารณ์คสช.และรัฐบาล
คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลารวบรวมหลักฐานเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ตั้งข้อหาพวกผมแล้ว พอถามว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ เขาก็บอกตรงๆว่าคสช.สั่งมา ขอให้เห็นใจ ดีที่อัยการไม่ได้เป็นขุนพลอยพยักไปด้วย เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนที่คสช.หมดไปแล้ว คดีนี้จึงจบลงด้วยการสั่งไม่ฟ้อง
การใช้อำนาจคสช.ไปบีบบังคับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้กลั่นแกล้งทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพราะเขาเหล่านั้นเห็นต่างจากผู้มีอำนาจนั้นเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนใน 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ถูกกระทำแล้ว ยังทำให้การแสดงความคิดเห็นต่อการบริหารปกครองประเทศเกิดขึ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็นไปมาก ประชาชนจึงขาดโอกาสที่จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
พลเอกประยุทธ์กับพวกปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองมาได้หลายปีก็ด้วยอาศัยกระบวนการทางกฎหมายที่ไร้ความยุติธรรมเช่นนี้ พลเอกประยุทธ์มักจะพูดว่าถ้าไม่ทำผิดจะกลัวอะไร ดูจากคดีนี้และอีกหลายสิบหลายร้อยคดี ก็จะเห็นว่าที่มีคนจำนวนไม่น้อยกลัวทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนมากนั้นความจริงแล้วก็เกิดขึ้นทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
วันนี้ไม่มีคสช.แล้ว แต่ยังต้องถามพลเอกประยุทธ์ว่าท่านยังจะใช้ความเคยชินแบบเดิมๆต่อไปหรือไม่?
ทราบจากคุณนรินทร์พงศ์ ทนายความของผมว่า ในวันที่ 24 กันยายน 2560 เวลา 10.00 น. นัดฟังคำสั่งอัยการ คดี 3 เเกนนำ พรรคเพื่อไทย และ ไทยรักษาชาติ นายวัฒนาเมืองสุข นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายชูศักดิ์ ศิรินิล ในข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบในราชอาณาจักรฯ และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่3/2558 เรื่อง ห้ามชุมนุม กรณีแถลงข่าว "4 ปีที่ล้มเหลวของรัฐบาลและ คสช.นำไปสู่ความมืดมนอันตราย" เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2561
โดยในวันนี้ นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เเละนายยอดชาย ศีลนำสุข คณะทนายความผู้ต้องหาเดินทางมาฟังคำสั่ง ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
พนักงานอัยการ มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีผู้ต้องหาทั้งสาม หลังจากส่งสำนวนและคำสั่งให้ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณา ซึ่งไม่แย้งคำสั่งดังกล่าว จึงให้ยุติการดำเนินคดีผู้ต้องหาทั้งสาม โดยจะมีหนังสือแจ้งไปยังพนักงานสอบสวนภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อแจ้งให้ผู้ต้องหาทั้งสามทราบ และหลังจากได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งแล้ว จะชี้แจงรายละเอียดเหตุผลในการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ให้สื่อมวลชนทราบต่อไป
ผมต้องขอขอบคุณพนักงานอัยการที่ให้ความเป็นธรรมกับผมและเพื่อนผู้ต้องหาอีกสองคน ขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ไม่แย้ง ทำให้คดีนี้ยุติลงในที่สุด
ที่จริงแล้วการแถลงข่าววิจารณ์ผลงานของคสช.ที่เกิดขึ้น หากพิจารณาตามหลักฐานข้อเท็จจริงแล้ว ไม่อาจเป็นคดีได้เลยมาแต่ต้น แต่เป็นเพราะคสช.ต้องการกลั่นแกล้งผู้ที่วิจารณ์คสช.ให้ลำบากในการสู้คดีและใช้การดำเนินคดีด้วยข้อหาร้ายแรงนี้เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ยับยั้งกระแสการวิพากษ์วิจารณ์คสช.และรัฐบาล
คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลารวบรวมหลักฐานเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ตั้งข้อหาพวกผมแล้ว พอถามว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ เขาก็บอกตรงๆว่าคสช.สั่งมา ขอให้เห็นใจ ดีที่อัยการไม่ได้เป็นขุนพลอยพยักไปด้วย เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนที่คสช.หมดไปแล้ว คดีนี้จึงจบลงด้วยการสั่งไม่ฟ้อง
การใช้อำนาจคสช.ไปบีบบังคับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้กลั่นแกล้งทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพราะเขาเหล่านั้นเห็นต่างจากผู้มีอำนาจนั้นเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนใน 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ถูกกระทำแล้ว ยังทำให้การแสดงความคิดเห็นต่อการบริหารปกครองประเทศเกิดขึ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็นไปมาก ประชาชนจึงขาดโอกาสที่จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
พลเอกประยุทธ์กับพวกปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองมาได้หลายปีก็ด้วยอาศัยกระบวนการทางกฎหมายที่ไร้ความยุติธรรมเช่นนี้ พลเอกประยุทธ์มักจะพูดว่าถ้าไม่ทำผิดจะกลัวอะไร ดูจากคดีนี้และอีกหลายสิบหลายร้อยคดี ก็จะเห็นว่าที่มีคนจำนวนไม่น้อยกลัวทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนมากนั้นความจริงแล้วก็เกิดขึ้นทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
วันนี้ไม่มีคสช.แล้ว แต่ยังต้องถามพลเอกประยุทธ์ว่าท่านยังจะใช้ความเคยชินแบบเดิมๆต่อไปหรือไม่?
วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2562
"ทัศนีย์" เตือนรัฐรีบเลือกตั้งท้องถิ่น
วันที่ 25 กันยายน 2562 นางสาวทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาระบุถึงการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นยังไม่ชัดเจนและไม่มีแนวโน้มจะเป็นเมื่อใดนั้นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 จนถึงวันนี้รัฐบาลละเลยการปกครองส่วนท้องถิ่น
ถือว่ารัฐบาลทำร้ายประชาชน ไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน เพราะผู้บริหารท้องถิ่นเป็นคนที่ใกล้ชิดประชาชน การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน และเป็นกำลังสำคัญในการแก้ปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่ ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม ท้องถิ่นแก้ปัญหาได้
นางสาวทัศนีย์กล่าวอีกด้วยว่าผู้บริหารท้องถิ่นมีวาระการทำงาน หากใครทำงานไม่ดี พอหมดวาระมีเลือกตั้งใหม่ใครไม่ดีชาวบ้านก็ไม่เลือก ต้องมีนโยบายใหม่ๆออกมาให้ชาวบ้านตัดสินใจ แต่ปัจจุบันรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยกลัวสูญเสียอำนาจ และงบประมาณมหาศาลที่ดูแลอยู่ เลยไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวบ้านต้องรับกรรมจากการ
กระทำของรัฐบาลชุดนี้
ส่วนตัวมองว่ารัฐบาลควรให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นโดยแล้ว มิฉะนั้น อาจจะมีประชาชนจำนวนมากเข้าใจว่า เป็นเพราะรัฐบาลต้องการควบคุมท้องถิ่น เมื่อฝ่ายตนไม่พร้อม ก็ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งเป็นการย้อนแย้ง ต่อการที่คนในรัฐบาลพูดอยู่เสมอว่าต้องการกระจายอำนาจ
"เพื่อไทย" ยื่นสอบ "ไก่อู" พ้นราชการ ปมใช้สื่อรัฐโจมตีพรรคการเมือง
พรรคเพื่อไทยยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์เพื่อให้ดำเนินการทางวินัยและมีคำสั่งให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการสอบสวน พล.อ.สรรเสริญ ที่โดนอดีตรองอธิบดีร้องเรียนว่าใช้อำนาจหน้าที่ช่วย พปชร. หาเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ แล้วโจมตีพรรคการเมืองอื่น
วันนี้ ที่รัฐสภา นาย สมพงศ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้มอบหมายให้ ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ นาย เทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้เร่งดำเนินการทางวินัยและมีคำสั่งให้ พล.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ออกจากราชการไว้ก่อน ควบคู่ไปกับการดำเนินคดีอาญา ทั้งนี้ หาก พล.อ. สรรเสริญ ยังอยู่ในตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ก็จะเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการสอบสวน เพราะ พล.ท สรรเสริญ มีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลและกองทัพ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญของคณะรัฐประหาร ดังนั้น คณะกรรมการสอบสวนฯ อาจไม่กล้าตรวจสอบ พล.อ.สรรเสริญ เพราะเกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งหลังเลือกตั้งก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคพลังประชารัฐก็ได้จัดตั้งรัฐบาล นอกจากนี้ ภายหลังเลือกตั้ง รุ่นพี่รุ่นน้อง พล.อ. สรรเสริญ จำนวนมาก ก็แยกย้ายกันไปรับตำแหน่งสำคัญในองค์กรต่าง ๆ เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ รัฐมนตรี หรือ สมาชิกวุฒิสภา ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนแต่งตั้ง พล.อ. สรรเสริญ เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เองกับมือ โดยใช้อำนาจพิเศษตาม ม.44 ใครจะกล้าตรวจสอบเต็มที่ เพราะคนตรวจสอบล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา พล.ประยุทธ์ ทั้งนั้น ย่อมต้องเกรงใจนายกฯ จึงน่ากลัวว่า สุดท้ายก็จะหาคนผิดไม่ได้เหมือนกรณียืมนาฬิกาเพื่อน 20 กว่าเรือน ทั้ง ๆ ที่ กรณี พล.อ. สรรเสริญ ถือเป็นการร้องเรียนที่มีมูลและมีน้ำหนัก เพราะคนที่เปิดโปงเรื่องนี้เป็นอดีตรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ซึ่งถือเป็นพยานที่น่าเชื่อถือ ดังนั้น รัฐบาลต้องไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะไม่บ่อยนักที่ข้าราชการประจำจะกล้าแฉข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตต่าง ๆ ในองค์กรเพราะกลัวผลกระทบต่ออนาคตและหน้าที่การงาน รัฐบาลจึงต้องรีบทำความจริงให้ปรากฎเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ เนื่องจากรัฐบาลเองก็ประกาศนโยบายปราบปรามเฟคนิวส์หรือการปล่อยข่าวปลอม โดยใช้งบประมาณแผ่นดินมหาศาล แล้วรัฐบาลจะมาเป็นฝ่ายปล่อยเฟคนิวส์เสียเองได้อย่างไร ซึ่งหลังจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะยื่นหนังสือต่อ คณะกรรมาธิการ ปปช. (การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร) เพื่อให้ติดตามกำกับว่ารัฐบาลได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อย่างจริงจังและเป็นธรรมหรือไม่?
วันนี้ ที่รัฐสภา นาย สมพงศ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้มอบหมายให้ ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ นาย เทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้เร่งดำเนินการทางวินัยและมีคำสั่งให้ พล.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ออกจากราชการไว้ก่อน ควบคู่ไปกับการดำเนินคดีอาญา ทั้งนี้ หาก พล.อ. สรรเสริญ ยังอยู่ในตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ก็จะเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการสอบสวน เพราะ พล.ท สรรเสริญ มีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลและกองทัพ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญของคณะรัฐประหาร ดังนั้น คณะกรรมการสอบสวนฯ อาจไม่กล้าตรวจสอบ พล.อ.สรรเสริญ เพราะเกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งหลังเลือกตั้งก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคพลังประชารัฐก็ได้จัดตั้งรัฐบาล นอกจากนี้ ภายหลังเลือกตั้ง รุ่นพี่รุ่นน้อง พล.อ. สรรเสริญ จำนวนมาก ก็แยกย้ายกันไปรับตำแหน่งสำคัญในองค์กรต่าง ๆ เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ รัฐมนตรี หรือ สมาชิกวุฒิสภา ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนแต่งตั้ง พล.อ. สรรเสริญ เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เองกับมือ โดยใช้อำนาจพิเศษตาม ม.44 ใครจะกล้าตรวจสอบเต็มที่ เพราะคนตรวจสอบล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา พล.ประยุทธ์ ทั้งนั้น ย่อมต้องเกรงใจนายกฯ จึงน่ากลัวว่า สุดท้ายก็จะหาคนผิดไม่ได้เหมือนกรณียืมนาฬิกาเพื่อน 20 กว่าเรือน ทั้ง ๆ ที่ กรณี พล.อ. สรรเสริญ ถือเป็นการร้องเรียนที่มีมูลและมีน้ำหนัก เพราะคนที่เปิดโปงเรื่องนี้เป็นอดีตรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ซึ่งถือเป็นพยานที่น่าเชื่อถือ ดังนั้น รัฐบาลต้องไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะไม่บ่อยนักที่ข้าราชการประจำจะกล้าแฉข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตต่าง ๆ ในองค์กรเพราะกลัวผลกระทบต่ออนาคตและหน้าที่การงาน รัฐบาลจึงต้องรีบทำความจริงให้ปรากฎเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ เนื่องจากรัฐบาลเองก็ประกาศนโยบายปราบปรามเฟคนิวส์หรือการปล่อยข่าวปลอม โดยใช้งบประมาณแผ่นดินมหาศาล แล้วรัฐบาลจะมาเป็นฝ่ายปล่อยเฟคนิวส์เสียเองได้อย่างไร ซึ่งหลังจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะยื่นหนังสือต่อ คณะกรรมาธิการ ปปช. (การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร) เพื่อให้ติดตามกำกับว่ารัฐบาลได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อย่างจริงจังและเป็นธรรมหรือไม่?
“หมอชลน่าน” ติงประยุทธ์ ไม่รู้ปรัชญานโยบาย 30 บาท
“หมอชลน่าน” อัด “บิ๊กตู่” ฝืนใจทำนโยบาย 30 บาท ไม่รู้ปรัชญาที่แท้จริงของโครงการ
วันที่ 25 กันยายน 2562 นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปรับรางวัลและกล่าวปาฐกถาที่องค์กรสหประชาชาติ เกี่ยวกับโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ทั่วโลกยอมรับ
ในความเป็นจริงตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีความพยายามที่จะให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเหมาจ่ายเป็นการให้ประชาชนร่วมจ่ายเงินหรือเรียกเก็บเงินเพิ่มเติมจากประชนที่มาใช้สิทธิ์ในการรักษาตามโครงการ
หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลหาทางยกเลิกโครงการดังกล่าวเพราะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองที่ฝ่ายผู้มีอำนาจพยายามกำจัดมาตลอด แต่ประชาชนไม่ยอมให้รัฐบาลยกเลิกโครงการรัฐบาลจึงฝืนใจที่จะต้องดำเนินโครงการต่อ
นายแพทย์ ชลน่าน กล่าวต่อว่า นโยบายเดิมยึดประชาชนเป็นหลัก อุดหนุนประชาชนเป็นรายหัว แต่ล่าสุดเอาโรคเป็นปัจจัยหลัก ยิ่งโรคเยอะได้เงินเยอะ ที่ไหนป่วยเยอะก็ได้เงินเยอะ ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการ
กรณีพลเอกประยุทธ์ไปรับรางวัล เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งในตัวเอง เพราะพลเอกประยุทธ์ไม่ยอมรับโครงการนี้แต่ไปรับรางวัล ซึ่งการพูดในเวทียูเอ็นก็เป็นการพูดที่ไม่รู้จริงไม่รู้ปรัชญาที่แท้จริงของโครงการ
ทั้งนี้เมื่อใดที่พรรคเพื่อไทยมีอำนาจในการบริหารประเทศ พรรคเพื่อไทยจะต่อยอดโครงการและพัฒนาโครงการ เพื่อคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษารวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
วันที่ 25 กันยายน 2562 นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปรับรางวัลและกล่าวปาฐกถาที่องค์กรสหประชาชาติ เกี่ยวกับโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ทั่วโลกยอมรับ
ในความเป็นจริงตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีความพยายามที่จะให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเหมาจ่ายเป็นการให้ประชาชนร่วมจ่ายเงินหรือเรียกเก็บเงินเพิ่มเติมจากประชนที่มาใช้สิทธิ์ในการรักษาตามโครงการ
หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลหาทางยกเลิกโครงการดังกล่าวเพราะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองที่ฝ่ายผู้มีอำนาจพยายามกำจัดมาตลอด แต่ประชาชนไม่ยอมให้รัฐบาลยกเลิกโครงการรัฐบาลจึงฝืนใจที่จะต้องดำเนินโครงการต่อ
นายแพทย์ ชลน่าน กล่าวต่อว่า นโยบายเดิมยึดประชาชนเป็นหลัก อุดหนุนประชาชนเป็นรายหัว แต่ล่าสุดเอาโรคเป็นปัจจัยหลัก ยิ่งโรคเยอะได้เงินเยอะ ที่ไหนป่วยเยอะก็ได้เงินเยอะ ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการ
กรณีพลเอกประยุทธ์ไปรับรางวัล เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งในตัวเอง เพราะพลเอกประยุทธ์ไม่ยอมรับโครงการนี้แต่ไปรับรางวัล ซึ่งการพูดในเวทียูเอ็นก็เป็นการพูดที่ไม่รู้จริงไม่รู้ปรัชญาที่แท้จริงของโครงการ
ทั้งนี้เมื่อใดที่พรรคเพื่อไทยมีอำนาจในการบริหารประเทศ พรรคเพื่อไทยจะต่อยอดโครงการและพัฒนาโครงการ เพื่อคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษารวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
"จิราพร" อัดรัฐบาลมีเงินแจกท่องเที่ยว แต่เงินช่วยน้ำท่วมต้องขอบริจาค
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ชี้มาตรการ ชิมช้อปใช้ ไม่ตอบโจทย์ปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมเสนอแนะรัฐบาลให้เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมก่อน
วันที่25 กันยายน2562 นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.จังหวัดร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาตรการ ‘ชิมช้อปใช้’ ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อรับเงิน 1,000 บาทวันแรก เมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ประชาชนออกไปท่องเที่ยว และเงินที่แจกอาจไปไม่ถึงเศรษฐกิจฐานราก สุดท้ายไหลเข้ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เช่นเดิม เป็นมาตรการที่ไม่ได้ผล เพราะมีจุดอ่อนหลายประการ ได้แก่ มาตรการนี้ถูกนำไปใช้เพียงครั้งเดียว ไม่ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องและยั่งยืน อีกทั้งยังมองว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่ปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต เพราะประชาชนกำลังประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย มีหนี้สิน จากตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงถึง 13 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย และเป็นอันดับ 11 ของโลก
ทั้งนี้งบประมาณที่ใช้ในมาตรการชิมช้อปใช้ เป็นงบลงทุนซึ่งมาจากภาษีของประชาชน ดังนั้น การใช้จ่ายงบประมาณที่ได้ผล ต้องมีผลตอบแทนกลับคืนมาในรูปแบบของภาษี เพื่อสร้างรายได้ให้รัฐ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอยจากการผลิต ซึ่งจะต่อเนื่องและยั่งยืนกว่า
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เสนอให้รัฐบาลเร่งจัดสรรงบประมาณเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในหลายจังหวัดทั้งในภาคเหนือและอีสานเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนก่อน
“แทนที่รัฐบาลจะแจกเงินเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว มาดูแลพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจะดีกว่า การมอบเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยนอกจากจะบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องในเบื้องต้นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง และที่สำคัญประชาชนจะได้ไม่คาใจว่ารัฐบาลนี้มีเงินแจกให้คนท่องเที่ยว แต่เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกลับต้องขอรับบริจาค”
วันที่25 กันยายน2562 นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.จังหวัดร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาตรการ ‘ชิมช้อปใช้’ ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อรับเงิน 1,000 บาทวันแรก เมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ประชาชนออกไปท่องเที่ยว และเงินที่แจกอาจไปไม่ถึงเศรษฐกิจฐานราก สุดท้ายไหลเข้ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เช่นเดิม เป็นมาตรการที่ไม่ได้ผล เพราะมีจุดอ่อนหลายประการ ได้แก่ มาตรการนี้ถูกนำไปใช้เพียงครั้งเดียว ไม่ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องและยั่งยืน อีกทั้งยังมองว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่ปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต เพราะประชาชนกำลังประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย มีหนี้สิน จากตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงถึง 13 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย และเป็นอันดับ 11 ของโลก
ทั้งนี้งบประมาณที่ใช้ในมาตรการชิมช้อปใช้ เป็นงบลงทุนซึ่งมาจากภาษีของประชาชน ดังนั้น การใช้จ่ายงบประมาณที่ได้ผล ต้องมีผลตอบแทนกลับคืนมาในรูปแบบของภาษี เพื่อสร้างรายได้ให้รัฐ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอยจากการผลิต ซึ่งจะต่อเนื่องและยั่งยืนกว่า
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เสนอให้รัฐบาลเร่งจัดสรรงบประมาณเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในหลายจังหวัดทั้งในภาคเหนือและอีสานเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนก่อน
“แทนที่รัฐบาลจะแจกเงินเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว มาดูแลพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจะดีกว่า การมอบเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยนอกจากจะบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องในเบื้องต้นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง และที่สำคัญประชาชนจะได้ไม่คาใจว่ารัฐบาลนี้มีเงินแจกให้คนท่องเที่ยว แต่เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกลับต้องขอรับบริจาค”
วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2562
"สุทิน" โต้ข่าวงูเห่าเพื่อไทย แฉกลับ ส.ส.ฝ่ายรัฐอยากออกมาร่วมฝ่ายค้าน
นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกระแสข่าวว่าดูด ส.ส.พรรคเพื่อไทยร่วมงานกับรัฐบาล ว่า “เชื่อว่าการย้ายขั้วขณะนี้ยังเป็นไปไม่ได้ เเละยังห่างไกลจากความเป็นจริง เนื่องจากถ้าส.ส.จะย้ายพรรคได้ต้องถูกพรรคขับออกหรือไล่ออกเพื่อจะย้าย ไปสังกัดพรรคใหม่ แต่ขณะนี้ยังไม่มี หรือการที่จะมีส.ส.ฝ่ายค้านจะโหวตให้ รัฐบาลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีการตรวจสอบจากภาคประชาชนที่จะคอยสอดส่องว่าส.ส.คนใดไปสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลบ้าง”
นายสุทิน กล่าวว่า 7 พรรคฝ่ายค้านและพรรคเพื่อไทยยังคงมีความเป็นเอกภาพ ทุกครั้งที่ประชุมร่วมกันได้สอบถามเรื่องการย้ายขั้วตลอด แต่ยอมรับว่าหากจะมีส.ส.ฝ่ายค้านโหวตสวนมติพรรคลงคะแนนให้รัฐบาลก็สามารถทำได้ กฎหมายไม่ได้ห้ามไว้ แต่ในทางการเมืองถือว่าผิดมารยาททางการเมือง ซึ่งสุดท้ายแล้วประชาชนอาจจะไม่ยอมรับ และหากโหวตสวนมติพรรคจริงจะพิจารณาเป็นครั้งคราวไป และขอเตือนว่าระวังจะสอบตก ถ้าทำเรื่องฝืนความรู้สึกประชาชน และมีส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่อยากออกมาร่วมกับฝ่ายค้านเหมือนกัน”
"อนุดิษฐ์" เย้ยพลังดูด ส.ส. ไม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เห็นว่าแม้แกนนำพรรคพลังประชารัฐ จะพยายามดูด ส.ส.เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเสียงปริ่มน้ำในสภา แต่ก็คงไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ จึงควร “ดูดมืออาชีพทางด้านเศรษฐกิจ” เข้าไปแทนที่ทีมเศรษฐกิจชุดปัจจุบันจะดีกว่า
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความพยายามดูด ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยเพื่อแก้ไขปัญหาเสียงปริ่มน้ำของแกนนำพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้ว่า เป็นความพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อสืบทอดอำนาจออกไปให้ยาวนานที่สุดของนายทหารกลุ่ม “3 ป.” ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ซึ่งแม้แกนนำพรรคพลังประชารัฐ จะพยายามดูด ส.ส.เข้าไปแก้ไขเรื่องเสียงปริ่มน้ำ ที่กำลังบั่นเซาะเสถียรภาพของรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ แต่ก็คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำลงทุกด้านได้ เพราะหากดูตัวเลขเศรษฐกิจจากด้านต่าง ๆ ก็จะพบว่ายังไม่มีสัญญาณใดใดเลยว่าจะมีการฟื้นตัว และเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศได้
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะอ้างว่า ตัวเองคือหัวหน้าทีมเศรษฐกิจตัวจริง แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่า คนที่เป็นคีย์แมนหลักในการวางนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพียงแต่เพื่อแก้ปัญหาการยอมรับของพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จำใจต้องมารับเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยตัวเอง
ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าอดีตนายพลเกษียณอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ขาดความรู้ความสามารถทางด้านเศรษฐกิจ จึงทำให้การแก้ปัญหาของรัฐบาลขาดความเป็นเอกภาพ และเน้นเพียงการแจกเงินจำนวนมหาศาล ตามแนวทางของนายสมคิดที่ใช้มาตลอด 5 ปี แต่ก็ไม่ทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างที่เห็นกันอยู่
ดังนั้น แทนที่แกนนำรัฐบาลจะพยายามดูด ส.ส.เข้าไปแก้เสียงปริ่มน้ำในสภา ก็ควรเปลี่ยนเป็น “ดูดมืออาชีพทางด้านเศรษฐกิจ” เข้าไปแทนที่รัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจจะดีกว่า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเฮือกสุดท้ายให้กับนักธุรกิจและนักลงทุน เพราะแนวทางแก้เศรษฐกิจที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินตามก้นนายสมคิดมากว่า 5 ปี ถือว่าถูกพิพากษาจากสังคมไปแล้ว โดยดูได้จากโพลสำนักต่างๆ ที่ออกมา
“จึงหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะใช้ความกล้าหาญในการปรับ ครม.ทางด้านเศรฐกิจเสียใหม่ โดยดูดคนนอกที่เป็นมืออาชีพเข้ามาแทนที่ทีมนายสมคิด ที่ได้พิสูจน์ผลงานมาแล้วกว่า 5 ปี แต่ยังไม่มีสัญญาณใดใดเลยว่าจะดีขึ้น มีแต่สาละวันเตี้ยลงทุกด้าน จนผู้คนในสังคมเกิดความเคร่งเครียดจากภาวะหนี้สิน และฆ่าตัวตาย จนเกือบจะเกิดขึ้นเป็นรายวันอยู่แล้ว” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความพยายามดูด ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยเพื่อแก้ไขปัญหาเสียงปริ่มน้ำของแกนนำพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้ว่า เป็นความพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อสืบทอดอำนาจออกไปให้ยาวนานที่สุดของนายทหารกลุ่ม “3 ป.” ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ซึ่งแม้แกนนำพรรคพลังประชารัฐ จะพยายามดูด ส.ส.เข้าไปแก้ไขเรื่องเสียงปริ่มน้ำ ที่กำลังบั่นเซาะเสถียรภาพของรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ แต่ก็คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำลงทุกด้านได้ เพราะหากดูตัวเลขเศรษฐกิจจากด้านต่าง ๆ ก็จะพบว่ายังไม่มีสัญญาณใดใดเลยว่าจะมีการฟื้นตัว และเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศได้
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะอ้างว่า ตัวเองคือหัวหน้าทีมเศรษฐกิจตัวจริง แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่า คนที่เป็นคีย์แมนหลักในการวางนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพียงแต่เพื่อแก้ปัญหาการยอมรับของพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จำใจต้องมารับเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยตัวเอง
ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าอดีตนายพลเกษียณอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ขาดความรู้ความสามารถทางด้านเศรษฐกิจ จึงทำให้การแก้ปัญหาของรัฐบาลขาดความเป็นเอกภาพ และเน้นเพียงการแจกเงินจำนวนมหาศาล ตามแนวทางของนายสมคิดที่ใช้มาตลอด 5 ปี แต่ก็ไม่ทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างที่เห็นกันอยู่
ดังนั้น แทนที่แกนนำรัฐบาลจะพยายามดูด ส.ส.เข้าไปแก้เสียงปริ่มน้ำในสภา ก็ควรเปลี่ยนเป็น “ดูดมืออาชีพทางด้านเศรษฐกิจ” เข้าไปแทนที่รัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจจะดีกว่า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเฮือกสุดท้ายให้กับนักธุรกิจและนักลงทุน เพราะแนวทางแก้เศรษฐกิจที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินตามก้นนายสมคิดมากว่า 5 ปี ถือว่าถูกพิพากษาจากสังคมไปแล้ว โดยดูได้จากโพลสำนักต่างๆ ที่ออกมา
“จึงหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะใช้ความกล้าหาญในการปรับ ครม.ทางด้านเศรฐกิจเสียใหม่ โดยดูดคนนอกที่เป็นมืออาชีพเข้ามาแทนที่ทีมนายสมคิด ที่ได้พิสูจน์ผลงานมาแล้วกว่า 5 ปี แต่ยังไม่มีสัญญาณใดใดเลยว่าจะดีขึ้น มีแต่สาละวันเตี้ยลงทุกด้าน จนผู้คนในสังคมเกิดความเคร่งเครียดจากภาวะหนี้สิน และฆ่าตัวตาย จนเกือบจะเกิดขึ้นเป็นรายวันอยู่แล้ว” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
"หมวดเจี๊ยบ" บี้สอบ "ไก่อู" ปมใช้สื่อรัฐโจมตีพรรคคู่แข่ง
ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงเรียกร้องให้รัฐบาลรีบตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และไต่สวนข้อเท็จจริง พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กรณีถูกอดีตรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ร้องเรียนใช้อำนาจหน้าที่สั่งการให้สื่อมวลมวลชนของรัฐ ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของพรรคการเมืองบางพรรค แล้วโจมตีพรรคการเมืองบางพรรค ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
ร.ท.หญิง สุณิสา ระบุว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่า รัฐบาลต้องรีบตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และไต่สวนหาข้อเท็จจริง เพราะหาก พล.ท.สรรเสริญมีพฤติกรรมเช่นนั้นจริงย่อมถือเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง และกรณีนี้ ผู้ร้องทุกข์เป็นถึงอดีตรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ย่อมต้องมีข้อมูลและข้อเท็จจริงพอสมควรจึงกล้าร้องเรียนเมื่อเห็นความไม่ถูกต้อง ซึ่งหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ และหากไม่ใช่เพราะเห็นว่าตนเองกำลังจะเกษียณแล้ว ท่านคงไม่ออกมาตีแผ่ความจริงให้สังคมรับรู้แบบนี้ จึงถือว่าคำพูดของท่านมีน้ำหนักและมีมูล เพื่อให้กระบวนการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ผู้บังคับบัญชาควรให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนเพื่อเอาผิดทางวินัย เพราะคณะกรรมการสอบสวนฯ อาจไม่กล้าตรวจสอบพล.ท สรรเสริญเพราะเกรงใจ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งพล.ท.สรรเสริญมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เองกับมือ โดยใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ถ้าพล.ท.สรรเสริญใช้สื่อของรัฐช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียงจริง คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดก็คือพล.อ.ประยุทธ์ แล้วคณะกรรมการสอบสวนฯ ซึ่งก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพล.อ.ประยุทธ์จะกล้าตรวจสอบเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาได้อย่างไร สุดท้ายเรื่องนี้ก็จะจบแบบมวยล้มต้มคนดู
"วันนี้นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ลงนามในหนังสือเพื่อส่งไปยังต้นสังกัดของพล.ท.สรรเสริญ เพื่อเรียกร้องให้พล.ท.สรรเสริญ ออกจากราชการไว้ก่อน และจะยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฏร เพื่อให้ติดตามการสอบสวนเรื่องนี้ให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรมต่อไป โดยจะยื่นหนังสือต่อกรรมาธิการฯ ในวันพรุ่งนี้ (25 ก.ย.) ทั้งนี้ เหตุที่พรรคเพื่อไทยให้ความสนใจกรณีนี้เพราะต้องการทำให้สังคมเห็นว่ารัฐสภาเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ และต้องการแสดงให้ประชาชนเห็นว่า จะใช้คณะกรรมาธิการต่างๆ ในรัฐสภาเป็นกลไกในการถ่วงดุลตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างไร นอกจากนี้ การให้พล.ท.สรรเสริญออกจากราชการไว้ก่อน จะเป็นเกราะคุ้มกันพล.อ.ประยุทธ์ด้วยว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังสั่งการให้ช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียงด้วยวิธีการสกปรกและเอาเปรียบคู่แข่ง" ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าว
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2562
"วัฒนา" ดักคอประยุทธ์ เอานโยบายทักษิณโชว์สหประชาชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
นายกทักษิณเป็นคนมีปัญญาจึงใจกว้าง ทุกครั้งที่กล่าวถึงความสำเร็จของนโยบายท่านจะให้เกียรติผู้เป็นเจ้าของความคิดทุกครั้ง เช่น กองทุนหมู่บ้านท่านจะบอกที่มาคือธนาคารประชาชนของบังคลาเทศ หรือโอทอปก็ได้มาจากเมืองโออิตะ เมื่อคราวที่นายกทักษิณไปเยือนญี่ปุ่นท่านได้นำสื่อมวลชนและผู้ประกอบการไปดูงานที่เมืองโออิตะเพื่อให้เกียรติเจ้าของความคิดและให้ผู้เกี่ยวข้องได้เรียนรู้เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอด
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นหนึ่งในนโยบายที่นายกทักษิณทำไว้ให้กับประเทศไทย โครงการนี้ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกโดยในปีนี้พลเอกประยุทธ์จะนำคณะไปรับรองร่างปฏิญญาระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ไทยเป็นตัวตั้งตัวตี เพื่อยืนยันความสำเร็จและเป็นความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะนำแนวความคิดนี้ไปใช้กับทั่วโลก ผู้ที่เป็นเจ้าของความคิดนี้คือคุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ที่เคยนำโครงการนี้ไปเสนอพรรคการเมืองอื่นมาก่อนแล้วแต่ถูกปฏิเสธ
ทั้งสามโครงการที่กล่าวมาคือการลงทุนภาครัฐที่ทำให้ประชาชนมองเห็นอนาคต ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับรัฐบาลประยุทธ์ที่มุ่งแต่การแจกเงินที่ไม่ทำให้คนเห็นอนาคตจึงไม่ทำให้คนกล้าใช้เงินและไม่เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องและยั่งยืน นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยตกต่ำต่อเนื่องมายาวนาน เพราะนอกจากรัฐบาลจะไม่มีปัญญาคิดนโยบายทางเศรษฐกิจที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยแล้ว สติปัญญาและการกระทำของนายกยังเป็นตัวทำลายความเชื่อมั่น
คงคิดว่าผู้ฟังในเวทียูเอ็นไม่มีทางทราบว่า ผู้ที่ริเริ่มโครงการนี้คือใครและผู้ที่กำลังนำคณะไปเอาหน้ารับรองปฏิญญาคือคนที่เคยคิดจะล้มโครงการแต่ถูกประชาชนต่อต้าน ฝรั่งไม่ได้ปัญญาน้อยเหมือนคนที่กำลังอ่านสนุทรพจน์
วัฒนา เมืองสุข
22 กันยายน 2562
นายกทักษิณเป็นคนมีปัญญาจึงใจกว้าง ทุกครั้งที่กล่าวถึงความสำเร็จของนโยบายท่านจะให้เกียรติผู้เป็นเจ้าของความคิดทุกครั้ง เช่น กองทุนหมู่บ้านท่านจะบอกที่มาคือธนาคารประชาชนของบังคลาเทศ หรือโอทอปก็ได้มาจากเมืองโออิตะ เมื่อคราวที่นายกทักษิณไปเยือนญี่ปุ่นท่านได้นำสื่อมวลชนและผู้ประกอบการไปดูงานที่เมืองโออิตะเพื่อให้เกียรติเจ้าของความคิดและให้ผู้เกี่ยวข้องได้เรียนรู้เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอด
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นหนึ่งในนโยบายที่นายกทักษิณทำไว้ให้กับประเทศไทย โครงการนี้ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกโดยในปีนี้พลเอกประยุทธ์จะนำคณะไปรับรองร่างปฏิญญาระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ไทยเป็นตัวตั้งตัวตี เพื่อยืนยันความสำเร็จและเป็นความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะนำแนวความคิดนี้ไปใช้กับทั่วโลก ผู้ที่เป็นเจ้าของความคิดนี้คือคุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ที่เคยนำโครงการนี้ไปเสนอพรรคการเมืองอื่นมาก่อนแล้วแต่ถูกปฏิเสธ
ทั้งสามโครงการที่กล่าวมาคือการลงทุนภาครัฐที่ทำให้ประชาชนมองเห็นอนาคต ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับรัฐบาลประยุทธ์ที่มุ่งแต่การแจกเงินที่ไม่ทำให้คนเห็นอนาคตจึงไม่ทำให้คนกล้าใช้เงินและไม่เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องและยั่งยืน นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยตกต่ำต่อเนื่องมายาวนาน เพราะนอกจากรัฐบาลจะไม่มีปัญญาคิดนโยบายทางเศรษฐกิจที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยแล้ว สติปัญญาและการกระทำของนายกยังเป็นตัวทำลายความเชื่อมั่น
คงคิดว่าผู้ฟังในเวทียูเอ็นไม่มีทางทราบว่า ผู้ที่ริเริ่มโครงการนี้คือใครและผู้ที่กำลังนำคณะไปเอาหน้ารับรองปฏิญญาคือคนที่เคยคิดจะล้มโครงการแต่ถูกประชาชนต่อต้าน ฝรั่งไม่ได้ปัญญาน้อยเหมือนคนที่กำลังอ่านสนุทรพจน์
วัฒนา เมืองสุข
22 กันยายน 2562
“เพื่อไทย” เชื่อนักลงทุนเมินไทย นโยบายรัฐไม่ชัดเจน ทำเศรษฐกิจทรุด
“เพื่อไทย” เชื่อนักลงทุนเมินไทย อัดนโยบายรัฐไม่ชัดเจน เลื่อนลอย ทำเศรษฐกิจไทยทรุด
วันที่ 22 กันยายน 2562 นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ปัจจุบันภาครวมของเศรษฐกิจ ภาพรวมจากปีที่ผ่านมาพบว่าเศรษฐกิจไทยคงทรุดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องมาจากนักลงทุนมองว่านโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของรัฐบาลไม่ชัดเจน
นอกจากนี้การลงทุนภาครัฐเปลี่ยนแปลงง่าย ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุนขนาดใหญ่ เช่นโครงการก่อสร้างสนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 ที่มีโครงการมานานแล้ว แต่รัฐไม่ดำเนินการ ล่าสุดมีรายงานข่าวออกมาว่ารัฐเตรียมที่จะนำงบประมาณก่อสร้างสนามบินไปยังพื้นที่อื่นซึ่งเป็นพื้นที่ของพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลแทน หรือ การลงทุนด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ไม่มีแผนงานลงทุนที่ชัดเจน
นายจักรพล กล่าวด้วยว่า ตนขอเสนอ ว่า รัฐบาลโดยเฉพาะคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ต้องมีนโยบายด้านการส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจน ว่าจะดำเนินนโยบายด้านการลงทุนเช่นไร รวมทั้งต้องกระจายการลงทุนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ไม่กระจุกตัวในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
ทั้งนี้นักลงทุนหากทราบว่ารัฐบาลไทยมีแผนงานเช่นไร จะไปในทิศทางใด จะได้วางแผนลงทุนในประเทศไทยได้ หรือขยายการลงทุนได้ ที่ผ่านมานโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐเลื่อนลอย จับต้องไม่ได้ ส่งผลให้นักลงทุนกังวลใจในการมาลงทุนในประเทศไทย
วันที่ 22 กันยายน 2562 นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ปัจจุบันภาครวมของเศรษฐกิจ ภาพรวมจากปีที่ผ่านมาพบว่าเศรษฐกิจไทยคงทรุดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องมาจากนักลงทุนมองว่านโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของรัฐบาลไม่ชัดเจน
นอกจากนี้การลงทุนภาครัฐเปลี่ยนแปลงง่าย ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุนขนาดใหญ่ เช่นโครงการก่อสร้างสนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 ที่มีโครงการมานานแล้ว แต่รัฐไม่ดำเนินการ ล่าสุดมีรายงานข่าวออกมาว่ารัฐเตรียมที่จะนำงบประมาณก่อสร้างสนามบินไปยังพื้นที่อื่นซึ่งเป็นพื้นที่ของพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลแทน หรือ การลงทุนด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ไม่มีแผนงานลงทุนที่ชัดเจน
นายจักรพล กล่าวด้วยว่า ตนขอเสนอ ว่า รัฐบาลโดยเฉพาะคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ต้องมีนโยบายด้านการส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจน ว่าจะดำเนินนโยบายด้านการลงทุนเช่นไร รวมทั้งต้องกระจายการลงทุนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ไม่กระจุกตัวในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
ทั้งนี้นักลงทุนหากทราบว่ารัฐบาลไทยมีแผนงานเช่นไร จะไปในทิศทางใด จะได้วางแผนลงทุนในประเทศไทยได้ หรือขยายการลงทุนได้ ที่ผ่านมานโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐเลื่อนลอย จับต้องไม่ได้ ส่งผลให้นักลงทุนกังวลใจในการมาลงทุนในประเทศไทย
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562
"เผ่าภูมิ" ติงรัฐสร้างอุปทานเทียม-อุปสงค์ไม่มี
“เพื่อไทย” ถาม “ประชารัฐสร้างไทย” มุ่งให้สินเชื่อ แต่กำลังซื้อไม่มีรองรับ แล้วใครจะกู้? พร้อมเสนอแนวทาง 3 ระยะ
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีข่าวรัฐบาลเตรียมดำเนินโครงการ “ประชารัฐสร้างไทย” ว่า
หากมองให้เชิงหลักการ ถือว่ารัฐบาลเดินมาในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะเริ่มให้ความสำคัญกับฐานรากของระบบเศรษฐกิจที่ถูกละเลยมานาน แต่ถ้ามองในเชิงกระบวนการและดูในรายละเอียด ซึ่งเน้นการให้สินเชื่อในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับการผลิต ยังไม่ใช่คำตอบในเวลานี้
ปัจจุบันปัญหาของไทยไม่ได้อยู่ที่ผู้ประกอบการอยากลงทุนแต่ไม่มีทุน แต่อยู่ที่พวกเขาไม่อยากผลิตเพราะผลิตไปก็ไม่มีคนซื้อ จึงไม่ได้ต้องการลงทุนเพิ่ม เพราะกำลังซื้อของประเทศอ่อนแรงอย่างมาก
การใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นด้านอุปทาน ทำให้เกิดอุปทานเทียม โดยที่ความพร้อมด้านอุปสงค์ไม่มี ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ในขณะที่กำลังซื้อไม่พร้อม ใครจะกู้มาลงทุน
แนวทางที่ถูกต้อง ผมแบ่งการใช้งบประมาณรัฐบาลเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 : ในช่วงที่อุปสงค์อ่อนแรง กำลังซื้อหดตัว อย่างในปัจจุบัน งบประมาณส่วนใหญ่ต้องมุ่งสร้าง “อุปสงค์” ให้เกิดขึ้น เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในรายได้ในอนาคต จนเกิดกำลังซื้อ การลงทุนภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นการรับประกันการจ้างงาน และเป็นหัวเชื้อของการลงทุนภาคเอกชน การลดภาระด้านภาษีช่วยให้รายได้ส่วนบุคคลสุทธิเพิ่มขึ้น การใช้งบประมาณเพื่อสร้างอุตสาหกรรมบริการเป็นแหล่งรายได้ที่ลงทุนไม่เยอะ แต่สร้างผลตอบแทนเร็ว การสร้างระบบสวัสดิการ รวมทั้งการสร้างความยืดหยุ่นในตลาดแรงงาน เป็นต้น
ระยะที่ 2 : ในช่วงที่อุปสงค์เริ่มฟื้นตัว แต่ยังเฉื่อยๆ งบประมาณจึงควรจะเริ่มเข้ามาสนับสนุนด้าน “อุปทาน” แต่ก็ยังไม่ใช่เวลาของการสนับสนุนสินเชื่อ แต่ควรเป็นการสนับสนุนให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าได้ในราคาถูกลง เพิ่มผลิตภาพการผลิตให้มากขึ้น เช่น การปรับลดภาษีนิติบุคคล สนับสนุนปัจจัยการผลิต สนับสนุนด้านต้นทุน รวมทั้งด้านเชื้อเพลิง เป็นต้น
ระยะที่ 3 : เมื่อธุรกิจเริ่มเพิ่มกำลังการผลิต จนใกล้เคียงศักยภาพการผลิต จึงเป็นเวลาที่รัฐบาลจะสนับสนุนให้แง่ของการให้ "สินเชื่อเพื่อการลงทุนใหม่ๆ" เพราะในระยะนี้ผู้ผลิตอยากลงทุนเพิ่ม เพราะผลิตแล้วมีคนซื้อ มีกำไร
แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ คือ การใช้งบประมาณจำนวนมากทำในระยะที่ 3 ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเราปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 1 เท่านั้น จึงเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่เหมาะสม
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีข่าวรัฐบาลเตรียมดำเนินโครงการ “ประชารัฐสร้างไทย” ว่า
หากมองให้เชิงหลักการ ถือว่ารัฐบาลเดินมาในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะเริ่มให้ความสำคัญกับฐานรากของระบบเศรษฐกิจที่ถูกละเลยมานาน แต่ถ้ามองในเชิงกระบวนการและดูในรายละเอียด ซึ่งเน้นการให้สินเชื่อในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับการผลิต ยังไม่ใช่คำตอบในเวลานี้
ปัจจุบันปัญหาของไทยไม่ได้อยู่ที่ผู้ประกอบการอยากลงทุนแต่ไม่มีทุน แต่อยู่ที่พวกเขาไม่อยากผลิตเพราะผลิตไปก็ไม่มีคนซื้อ จึงไม่ได้ต้องการลงทุนเพิ่ม เพราะกำลังซื้อของประเทศอ่อนแรงอย่างมาก
การใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นด้านอุปทาน ทำให้เกิดอุปทานเทียม โดยที่ความพร้อมด้านอุปสงค์ไม่มี ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ในขณะที่กำลังซื้อไม่พร้อม ใครจะกู้มาลงทุน
แนวทางที่ถูกต้อง ผมแบ่งการใช้งบประมาณรัฐบาลเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 : ในช่วงที่อุปสงค์อ่อนแรง กำลังซื้อหดตัว อย่างในปัจจุบัน งบประมาณส่วนใหญ่ต้องมุ่งสร้าง “อุปสงค์” ให้เกิดขึ้น เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในรายได้ในอนาคต จนเกิดกำลังซื้อ การลงทุนภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นการรับประกันการจ้างงาน และเป็นหัวเชื้อของการลงทุนภาคเอกชน การลดภาระด้านภาษีช่วยให้รายได้ส่วนบุคคลสุทธิเพิ่มขึ้น การใช้งบประมาณเพื่อสร้างอุตสาหกรรมบริการเป็นแหล่งรายได้ที่ลงทุนไม่เยอะ แต่สร้างผลตอบแทนเร็ว การสร้างระบบสวัสดิการ รวมทั้งการสร้างความยืดหยุ่นในตลาดแรงงาน เป็นต้น
ระยะที่ 2 : ในช่วงที่อุปสงค์เริ่มฟื้นตัว แต่ยังเฉื่อยๆ งบประมาณจึงควรจะเริ่มเข้ามาสนับสนุนด้าน “อุปทาน” แต่ก็ยังไม่ใช่เวลาของการสนับสนุนสินเชื่อ แต่ควรเป็นการสนับสนุนให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าได้ในราคาถูกลง เพิ่มผลิตภาพการผลิตให้มากขึ้น เช่น การปรับลดภาษีนิติบุคคล สนับสนุนปัจจัยการผลิต สนับสนุนด้านต้นทุน รวมทั้งด้านเชื้อเพลิง เป็นต้น
ระยะที่ 3 : เมื่อธุรกิจเริ่มเพิ่มกำลังการผลิต จนใกล้เคียงศักยภาพการผลิต จึงเป็นเวลาที่รัฐบาลจะสนับสนุนให้แง่ของการให้ "สินเชื่อเพื่อการลงทุนใหม่ๆ" เพราะในระยะนี้ผู้ผลิตอยากลงทุนเพิ่ม เพราะผลิตแล้วมีคนซื้อ มีกำไร
แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ คือ การใช้งบประมาณจำนวนมากทำในระยะที่ 3 ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเราปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 1 เท่านั้น จึงเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่เหมาะสม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)