เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เห็นว่าแม้แกนนำพรรคพลังประชารัฐ จะพยายามดูด ส.ส.เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเสียงปริ่มน้ำในสภา แต่ก็คงไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ จึงควร “ดูดมืออาชีพทางด้านเศรษฐกิจ” เข้าไปแทนที่ทีมเศรษฐกิจชุดปัจจุบันจะดีกว่า
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความพยายามดูด ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยเพื่อแก้ไขปัญหาเสียงปริ่มน้ำของแกนนำพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้ว่า เป็นความพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อสืบทอดอำนาจออกไปให้ยาวนานที่สุดของนายทหารกลุ่ม “3 ป.” ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ซึ่งแม้แกนนำพรรคพลังประชารัฐ จะพยายามดูด ส.ส.เข้าไปแก้ไขเรื่องเสียงปริ่มน้ำ ที่กำลังบั่นเซาะเสถียรภาพของรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ แต่ก็คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำลงทุกด้านได้ เพราะหากดูตัวเลขเศรษฐกิจจากด้านต่าง ๆ ก็จะพบว่ายังไม่มีสัญญาณใดใดเลยว่าจะมีการฟื้นตัว และเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศได้
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะอ้างว่า ตัวเองคือหัวหน้าทีมเศรษฐกิจตัวจริง แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่า คนที่เป็นคีย์แมนหลักในการวางนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพียงแต่เพื่อแก้ปัญหาการยอมรับของพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จำใจต้องมารับเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยตัวเอง
ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าอดีตนายพลเกษียณอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ขาดความรู้ความสามารถทางด้านเศรษฐกิจ จึงทำให้การแก้ปัญหาของรัฐบาลขาดความเป็นเอกภาพ และเน้นเพียงการแจกเงินจำนวนมหาศาล ตามแนวทางของนายสมคิดที่ใช้มาตลอด 5 ปี แต่ก็ไม่ทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างที่เห็นกันอยู่
ดังนั้น แทนที่แกนนำรัฐบาลจะพยายามดูด ส.ส.เข้าไปแก้เสียงปริ่มน้ำในสภา ก็ควรเปลี่ยนเป็น “ดูดมืออาชีพทางด้านเศรษฐกิจ” เข้าไปแทนที่รัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจจะดีกว่า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเฮือกสุดท้ายให้กับนักธุรกิจและนักลงทุน เพราะแนวทางแก้เศรษฐกิจที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินตามก้นนายสมคิดมากว่า 5 ปี ถือว่าถูกพิพากษาจากสังคมไปแล้ว โดยดูได้จากโพลสำนักต่างๆ ที่ออกมา
“จึงหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะใช้ความกล้าหาญในการปรับ ครม.ทางด้านเศรฐกิจเสียใหม่ โดยดูดคนนอกที่เป็นมืออาชีพเข้ามาแทนที่ทีมนายสมคิด ที่ได้พิสูจน์ผลงานมาแล้วกว่า 5 ปี แต่ยังไม่มีสัญญาณใดใดเลยว่าจะดีขึ้น มีแต่สาละวันเตี้ยลงทุกด้าน จนผู้คนในสังคมเกิดความเคร่งเครียดจากภาวะหนี้สิน และฆ่าตัวตาย จนเกือบจะเกิดขึ้นเป็นรายวันอยู่แล้ว” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น