วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

"ชัชชาติ" ชวนคุย คนกรุงเทพฯ ช่วยคิด


วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 14.00 -17.00 น. ณ ลานกิจกรรม ชุมชนโรงหมู คลองเตย กรุงเทพฯ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ พร้อมประชาชน ภาคเอกชน และภาควิชาการ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม “ชัชชาติชวนคุย คนกรุงเทพฯ ช่วยคิด” ขึ้น โดยมีประชาชนให้การตอบเป็นอย่างดีและมีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
.
นายชัชชาติ เปิดเผยว่า กิจกรรม “ชัชชาติชวนคุย คนกรุงเทพฯ ช่วยคิด” เป็นจุดเริ่มต้นของการช่วยกันร่วมสร้างกรุงเทพฯ ที่ดีกว่าเดิม เพราะตนเชื่อมั่นว่ากรุงเทพฯ จะดีขึ้นได้ ถ้าพวกเราทุกคนช่วยกัน จึงชวนทุกฝ่ายมาร่วมแลกเปลี่ยนและนำเสนอความคิด ช่วยกันหาวิธีสร้างกรุงเทพฯ ที่ทุกคนอยากเห็น ทั้งจากกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และที่สำคัญคือการร่วมแสดงความเห็นของประชาชนที่มาร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีการรับสมัครอาสาสมัคร "Better Bangkok" ผ่านเว็บไซต์ https://betterbangkok.co อีกด้วย
.
.
นายชัชชาติ กล่าวว่า “ถ้าเราอยากจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับกรุงเทพฯให้ได้ ก็ควรจะต้องร่วมมือกันและช่วยกันทำเป็นทีม เราต้องไปด้วยกัน ในกิจกรรมครั้งนี้จึงมีการรับสมัครสมาชิกอาสาสมัครที่สนใจอยากเข้าร่วมเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา เพราะทุกคนล้วนแต่มีปัญหา หรือความเชี่ยวชาญ รวมถึงความเข้าใจในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป ผมคิดว่าปัญหาของกรุงเทพฯ มีคนคิดมาเยอะแล้ว แต่บางทีอาจไม่ได้นำความคิดนั้นมาพัฒนาเป็นนโยบายหรือเป็นรูปธรรม การที่วันนี้เราได้คุยกับหลายๆ คน หลายๆ กลุ่ม และบางส่วนที่เราได้เชิญมาร่วมในงานนี้ ก็น่าจะทำให้เห็นทางออกที่เราสามารถดำเนินการได้ มาช่วยกันพัฒนาชุมชน พัฒนากรุงเทพฯให้ดีขึ้น”
.
นายชัชชาติ กล่าวว่า “เมืองที่เราอยู่เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องของคุณภาพชีวิตที่ดี เราถึงต้องระดมสมอง ระดมความคิดกัน มาตรฐานของเมืองที่ดีจะต้องมีไม้บรรทัดวัด ผมคิดว่ามี 5 เรื่องที่จำเป็น คือ 1) โปร่งใส 2) ตอบสนอง 3) ครอบคลุม 4) ยุติธรรม และ 5) ยั่งยืน ความโปร่งใสเป็นเรื่องสำคัญมากอันดับต้นๆ ของเมืองที่ดี เพราะถ้าไม่โปร่งใส ก็ไม่สามารถที่จะดูแลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นต้นเหตุของปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาอีกมาก เมืองที่ดีต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปรับตัวให้รับมือกับอนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เมืองที่ดีต้องดูแลคนอย่างครอบคลุมทุกภาคส่วน ไม่ใช่ดูแลเฉพาะคนบางกลุ่ม เมืองที่ดีต้องมีความยุติธรรม การจัดสรรทรัพยากรต้องเป็นมีความเหมาะสม และเมืองที่ดีต้องมีความยั่งยืน ดูแลสภาพสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างภาระที่ไม่จำเป็นกับคนรุ่นต่อไป การแก้ไขปัญหาและการพัฒนากรุงเทพฯ จะสำเร็จได้ ประกอบด้วย 4 ภาคส่วนสำคัญ คือภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาควิชาการ ซึ่งทุกส่วนต้องทำงานประสานกัน ร้อยทุกอย่างเข้าด้วยกัน หลายความเห็นที่ได้รับจากกลุ่มต่างๆ และประชาชนในกิจกรรมครั้งนี้ สามารถบูรณาการกันได้”
.
“วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น หัวใจสำคัญคือเราอยากให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น เป็น พลเมืองตื่นรู้ (Active Citizen) ที่มีความรับผิดชอบ มีส่วนรวม ช่วยกันดูแล ตรวจสอบ และเสนอความคิดเห็น ถ้าเรามีภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาควิชาการที่เข้มแข็ง มีภาครัฐที่เข้าใจ รับฟัง และดำเนินงานด้วยนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ก็จะพัฒนาเมืองไปได้อย่างยาวไกลและต่อเนื่อง” นายชัชชาติกล่าว
.
นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า “ภาครัฐที่เข้มแข็งจะต้องมีผู้นำและนโยบายที่ชัดเจนและเอาจริงเอาจัง กรุงเทพมหานครเองในแง่ของความโปร่งใสและประสิทธิภาพ ก็ต้องตอบสนองต่อประชาชนให้มาก ไม่ใช่ทำงานในลักษณะแนวดิ่งที่ฟังจากผู้บริหารเพียงเท่านั้น ต้องเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ความสำเร็จในปัจจุบันและอนาคตจึงจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นนอกจากความเข้มแข็งของภาคประชาชน เอกชน และวิชาการแล้วนั้น ภาครัฐต้องมีความเข้มแข็ง มีความเข้าใจในปัญหา มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส และสามารถร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย”
.
นายชัชชาติ กล่าวโดยสรุปตอนท้ายว่า “สิ่งที่คาดหวังที่สุดในการร่วมจัดกิจกรรมครั้งนี้กับทุกภาคส่วน คือนำไปสู่การร่วมสร้างความหวังให้เกิดขึ้น ผมหวังว่าการร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นจากทั้งภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาควิชาการในครั้งนี้ จะนำไปสู่ความหวังในการร่วมสร้างกรุงเทพให้ดีกว่าเดิม ถ้าเราทุกคน ทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ก็มีความหวังที่จะทำให้ดีขึ้น และถ้ามีผู้นำในภาครัฐที่เข้าใจปัญหา มุ่งแก้ไขปัจจุบัน และตั้งใจสร้างอนาคตเป็นหนึ่งในทีม ก็น่าจะทำให้กรุงเทพฯ ดีขึ้นกว่าเดิมได้ กรุงเทพฯ ของเราจะดีขึ้นได้ ถ้าพวกเราทุกคนช่วยกันครับ”
.
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นที่ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ในนามอิสระ นายชัชชาติ กล่าวว่า “ผมว่าอิสระก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะหาแนวร่วมได้ดี ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆได้ดีขึ้น ผมคิดง่ายๆแค่นี้ ไม่ได้ขัดแย้งกับใคร ไม่ได้ทะเลาะกับใคร เพราะว่าจุดดีของพรรคเพื่อไทยที่เราเคยอยู่เราก็ได้นำมาใช้คือเรื่องใกล้ชิดประชาชน แต่เรามองในแง่การบริหารว่า ทางนี้น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับการบริหารกรุงเทพฯ” .

"ยิ่งลักษณ์" ภูมิใจบุตรชาย คว้ารางวัล งานแข่งรถจำลองเยาวชนระดับโลก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ดีใจกับน้องไปป์และเพื่อนๆ นะคะที่ปีนี้ได้มีโอกาสมาแข่ง F1 in Schools World Finals 2019 ซึ่งเป็นงานแข่งรถจำลองเยาวชนระดับโลก ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา ณ สนามแข่งขัน F1 Yas Marina Circuit เมืองอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีผู้เข้าแข่งขันจากทั้งหมด 22 ประเทศ รวม 55 ทีม ถือว่าเป็นเวทีให้เยาวชนนักประดิษฐ์ทั่วโลกที่สนใจงานด้านวิศวกรรมได้แสดงความสามารถและทักษะฝีมือในการประดิษฐ์ ออกแบบและผลิตรถแข่งขนาดเล็ก หรือ F1 (Formula 1) โดยเน้นการเเข่งขันการออกแบบและประดิษฐ์รถแข่งที่วิ่งเร็วที่สุด ที่ต้องอาศัยการบูรณาการความรู้ระหว่าง 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ทั้งนี้ผู้เข้าแข่งขันต้องออกแบบและผลิต โดยใช้เครื่องมือการออกแบบ CAD / CAM และขับเคลื่อนโดยใช้ CO2 ที่บังคับโดยระบบคอมพิวเตอร์


ปีนี้โรงเรียนฮาร์โรลส่งทีมนักเรียนร่วมแข่งขันในชื่อทีม Matrix Racing เป็นครั้งแรกโดยมีน้องไปป์เป็นผู้จัดการทีม และดีใจเป็นที่สุดที่ทีมนี้ไดัรับรางวัล Sustainability Award หรือ รางวัลด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพราะมีแนวคิดที่เรียกว่า Zero plastic waste โดยใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาประดิษฐ์และออกแบบด้วยการนำพลาสติกที่เหลือใช้มาเป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดทำรถยนต์จำลอง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่น และที่สำคัญเป็นครั้งแรกของโรงเรียนในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลนี้ ตามรายงานจากเว็บไซต์ https://www.f1inschools.com ซึ่งเป็นเว็บไซด์ของผู้จัดการแข่งขันอย่างเป็นทางการค่ะ


นับว่าเป็นความภูมิใจและปลื้มใจที่น้องไปป์และเพื่อนๆได้มาร่วมแข่งในครั้งนี้ทำให้ได้ประสบการณ์ชีวิต และที่สำคัญทำให้เราได้เจอลูกบ่อยขึ้นเท่านี้ก็สุขใจเป็นที่สุดแล้วค่ะ

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

"ชุมสาย"​ เตือน​ สภาผู้แทนฯ​ ไม่ใช่สภากลาโหม

"ชุมสาย"​ เตือน​ สภาผู้แทนฯ​ ไม่ใช่สภากลาโหม วอนประธานสภาฯ​ จริงใจ​ เตือนระวังประชาชนให้บทเรียนรอบสอง



นายชุมสาย​ ศรียาภัย​ รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่าเหตุการณ์ เมื่อวันที่​ 27 พ.ย.2562 ที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการใช้มาตรา 44 ที่พรรคฝ่ายรัฐบาลได้แพ้โหวตพรรคฝ่ายค้าน​ 4​ เสียง​และมี​ สส.ฝ่ายรัฐบาล​ 6​ คนโหวตเห็นชอบ โดย​ มี​ สส.บางคนขอให้นับคะแนนใหม่​ ซึ่งเกิดกรณีสภาล่มในการ ประชุมเพื่อพิจารณา เรื่องดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2​ ในวันที่ 28   พฤศจิกายน 2562 อีกครั้ง​ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ควรเกิดขึ้นเลย​ การกระทำดังกล่าว ดูประหนึ่งว่า เป็นการพยายามปกป้อง ผู้ที่ใช้อำนาจตามมาตรา 44 มากกว่าการพยายามศึกษาผลกระทบการใช้ ม.44​ จึงเห็นว่าสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติไม่ใช่สภากลาโหม​ ที่จะต้องเกรงใจหรือเกรงกลัวผู้ใด


"จริงๆ​ มันจบไปแล้ว​ ฝ่ายค้านชนะ​ 234/230 เสียง​ การที่มี  สส.กล่าวอ้างว่ามีความสับสนเล็กน้อย หรืออาจเกิดความผิดพลาด คงเป็นเพียงข้ออ้างลอยๆ ซึ่งแม้ประธานสภาฯ​ จะอ้างว่าข้อบังคับการประชุมสภาฯ​ ให้อำนาจกระทำได้ หากคะแนนห่างกันไม่เกิน 25 เสียง แต่น่าจะผิดไปจากธรรมเนียมและวิธีปฏิบัติ ซึ่งหากมีความจริงใจและเห็นแก่ความเสียหายอันเกิดจากผลพวงการบังคับใช้​ ม.44.ที่มีผลกระทบต่อประชาชนก็ควรเคารพผลคะแนน ที่มีการโหวตไปแล้วในวันที่ 27  ไม่มีเหตุผลใดต้องนับคะแนนใหม่อีก หากไม่มีเจตนาหรือวาระซ่อนเร้นประการอื่น"

นายชุมสายฯ​ กล่าวต่อว่า กรณีที่เกิดขึ้น  มีความน่าสงสัยว่าประธานรัฐสภาฯ​ มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาหรือไม่​ หรือมีเจตนาทำเพื่อใคร​ หรือต้องเกรงใจใครหรือไม่? 
 
"กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา การศึกษาผลกระทบจากการใช้มาตรา 44  ถ้าท่านมีความ จริงใจ​ ตั้งใจจะไม่ต้องมีการนับคะแนนใหม่​หรือประชุมใหม่อีก พฤติการณ์ที่เห็น  ไม่น่าเชื่อว่าท่านมีความตั้งใจแก้ปัญหา​ คงเป็นเพียงการซื้อเวลาต่อลมหายใจให้ผู้มีอำนาจ และ ยึดประโยชน์ทางการเมืองของพรรคตนเป็นที่ตั้ง คงไม่ได้นึกถึงประชาชนแต่อย่างใด​ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ประชาชนอาจจะให้บทเรียน อีกครั้งในการเลือกตั้งคราวถัดไป"  นายชุมสายฯ​ กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

"เพื่อไทย" มั่นใจ "ธนิก" คว้าชัย ศึกเลือกตั้งขอนแก่น

"ธนิก มาสีพิทักษ์"จากพรรคเพื่อไทย จับสลากได้หมายเลข 1 "สมพงษ์" ชี้ ถึงเวลาตัดสินใจเอาประชาธิปไตยหรือไม่? เจ้าตัวมั่นใจได้ชัยชนะ เพราะทำพื้นที่มาตลอด ส่วน "คุณหญิงสุดารัตน์" ขอชนะแบบถล่มทลาย



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2562 เวลา 08.30น.ที่ว่าการอำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย นายพงศกร อรรณนพพร ผู้อำนวยการการเลือกตั้งจ.ขอนแก่นพรรคเพื่อไทย นำนายธนิก มาสีพิทักษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขตเลือกตั้งที่ 7 จ.ขอนแก่น มา กรอกใบสมัคร

จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการจับสลาก เลือกหมายเลขผู้สมัครระหว่างนายธนิก มาสีพิทักษ์ พรรคเพื่อไทยและนายสมศักดิ์ คุณเงิน พรรคพลังประชารัฐ


ซึ่งผลการจับสลาก นายธนิก จากพรรคเพื่อไทยได้หมายเลข 1 ส่วนผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐได้หมายเลข 2 ซึ่งกระบวนการก่อนและระหว่างการจับสลาก มีผู้สนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย เดินทางมาให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก หลังการจับสลากหมายเลขเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและรับเอกสารการสมัครของ นายธนิก ต่อด้วยการชำระค่าสมัครและออกใบเสร็จรับเงิน

ภายหลังการรับสมัครเสร็จสิ้น นายธนิกเปิดเผยว่า ดีใจ ที่สามารถจับ สลากได้หมายเลข 1 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของชัยชนะในเบื้องต้น สำหรับขั้นตอนการหาเสียงยืนยันจะใช้ทุกช่องทางในการสื่อสาร เพื่อให้เข้าถึงพี่น้องประชาชน โดยมั่นใจว่าจะสามารถหาเสียงได้ทันเนื่องจากมีการเตรียมการมาดีพอ และเชื่อว่าจะสามารถเข้าถึงได้ทุกครัวเรือน


พร้อมยอมรับว่ามีความกังวลเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐ โดยเฉพาะการกดดันผู้สนับสนุนของพรรคเพื่อไทย และเริ่มพบว่ามีท่าทีในการข่มขู่ จึงต้องสื่อสารไปถึงประชาชน ขออย่าหวาดกลัว ซึ่งได้ผลในระดับหนึ่ง จึงมั่นใจว่าจะสามารถฝ่าด่านเหล่านี้ไปได้ ขณะเดียวกันขอฝากไปถึงผู้มีอำนาจ ให้เข้ามาตรวจสอบ หากพี่น้องประชาชนหรือผู้สนับสนุนของพรรคเพื่อไทยถูกข่มขู่

นายธนิกมั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาได้พบปะพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด จึงสามารถเข้าถึงและสื่อสารได้ไม่ยาก


ด้านนายสมพงษ์ระบุว่าในส่วนของยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทยในการหาเสียงนั้น ได้เตรียมการไว้เรียบร้อย โดยการหาเสียงจะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือการปราศรัยใหญ่และการเข้าหาพี่น้องประชาชน ไปตามหมู่บ้านตำบลต่างๆ เพื่อชี้แจงหลักการทำงานของพรรค โดยมองว่าเมื่อมีผู้สมัครเพียงสองคน การทำงานจะง่ายขึ้นและไม่ต้องสื่อสารมาก เนื่องจากฝ่ายหนึ่งเป็นขั้วอำนาจนิยมและอีกฝ่ายเป็นขั้วประชาธิปไตย พี่น้องประชาชนจะเลือกอย่างไร ขณะเดียวกันรู้สึกเสียดายเพราะผู้สมัคร จากอีกพรรคหนึ่ง เคยเป็นบุคคลที่รู้จักคุ้นเคย แต่วันนี้เขาเข้าไปเข้าพรรคที่ไม่ค่อยจะถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนจะต้องตัดสินใจ ว่าตนเองพอใจในความเป็นอยู่หรือไม่ กินดีอยู่ดีหรือไม่ หากตอนนี้สบายร่ำรวยก็ตัดสินใจเลือกฝ่ายผู้มีอำนาจ

แต่หากคิดว่า ประเทศชาติจะเดินหน้าไม่ไหว ก็ต้องหันมาทางฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยส.ส.1ที่นั่งที่จะได้ ถือว่ามีความสำคัญแต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน พร้อมตั้งคำถามว่าบ้านเมืองในขณะนี้เป็นอย่างไร มีความเป็นอยู่อย่างไร 5 ปีที่ผ่านมามีอะไรดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งประชาชนจะต้องใช้ดุลยพินิจ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลยังยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้น

จากนั้นคุณหญิงสุดารัตน์นายสมพงษ์ นำนายธนิกพร้อมผู้สมัคร มาสักการะศาลเจ้าพ่อแสนเมือง อำเภอหนองเรือ เพื่อความเป็นสิริมงคล และการทำงานต่อจากนี้ให้เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งในจุดดังกล่าวมีผู้สนับสนุน และชาวบ้านที่ทราบข่าว ออกมาให้กำลังใจ และอวยพรให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

คุณหญิงสุดารัตน์ ได้กล่าวทักทายพร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มาต้อนรับอย่างอบอุ่น ขณะเดียวกันมีความตั้งใจที่จะอุทิศการทำงานของพรรคเพื่อไทยเพื่อดูแลพี่น้องชาวหนองเรือ ให้อยู่ดีกินดีราคาพืชผลไม่ต้องตกต่ำเหมือนที่เป็นอยู่ และขอให้พี่น้องมีความสุข โดยมาขอ โอกาสให้นายธนิก เข้าไปทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน ขอไม่เยอะขอชนะอย่างถล่มทลายเท่านั้น


พร้อมยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ปล่อยให้พี่น้องยากลำบาก โดยเฉพาะราคาพืชผลทางการเกษตร จะอยู่เคียงข้างพี่น้องเพราะทุกของพี่น้องคือทุกข์ของพรรคเพื่อไทย วันนี้จึงมาให้กำลังใจ

จากนั้น นายสมพงษ์ พาผู้สมัคร ของพรรคเพื่อไทย ขึ้นรถแห่ แนะนำตัว พร้อมบอกหมายเลขผู้สมัคร ภายในเขตเทศบาลอำเภอหนองเรือด้วย

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

"เพื่อไทย" ส่ง "ธนิก" สู้ศึกเลือกตั้งซ่อม ขอนแก่น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย มีมติส่ง นายธนิก มาสีพิทักษ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ขอนแก่น เขต 7 ซึ่ง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า "เชื่อว่าจะสามารถนำชัยชนะมาสู่ฝ่ายประชาธิปไตยได้ เพราะทำงานในพื้นที่เพื่อพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด"

บริสุทธิ์! ศาลพิพากษา ยกฟ้อง "พานทองแท้" คดีกรุงไทยฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าฟังคำตัดสินในคดีกรุงไทยฯตามนัด ล่าสุด ศาลพิพากษายกฟ้อง ไม่พบว่ากระทำความผิด โดยในชั้นพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตฯนั้น นายพานทองแท้ ชินวัตร ให้การปฏิเสธ พร้อมสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นส่วนที่จะร่วมลงทุนธุรกิจนำเข้ารถซุปเปอร์คาร์กับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัย อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร


วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

“สุทิน คลังแสง” ขุมกำลัง-คลังแสง “เพื่อไทย” จากหัวใจ “ครูผู้สอนด้วยภาษามือ”


สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย คือ “ดาวเด่น” ในสภาผู้แทนราษฎร

ผลงานเวทีสำคัญ ทั้ง การอภิปรายนโยบายรัฐบาล การอภิปรายทั่วไป และการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2563 บทบาทของ “สุทิน คลังแสง” ในฐานะ “ผู้อภิปรายหลัก” ของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้รับการยอมรับและยกย่อง ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหา สาระ และท่วงทำนองการนำเสนอ ผสมผสานกลมกลืนลื่นไหล นับเป็น ขุมกำลัง – คลังแสง ที่บรรจุอาวุธหนัก ของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้าน คนหนึ่ง ซึ่ง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยกให้เป็นแบบอย่างของการทำหน้าที่ ส.ส.ที่ดี

  • “สุทิน คลังแสง” อดีตลูกกำนัน ที่สัมผัสกับปัญหาระดับชาวบ้านมาแล้วทุกระดับ
  • “อดีตครู” ที่ช่วงหนึ่งของชีวิตอุทิศให้กับการสอนนักเรียนผู้พิการด้วย “ภาษามือ”
  • “อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย” ที่ครั้งหนึ่งได้มีส่วนร่วมในการวางรากฐานการศึกษา

วันนี้ เขารับหน้าที่ “ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (ประธานวิปฝ่ายค้าน)” ควบคุมทิศทางการขับเคลื่อนงานนิติบัญญัติของฝ่ายค้านทั้งระบบ
.
ในวันที่ “สุทิน คลังแสง” ในฐานะประธานวิปฯ กำลังระดมสมองและสรรพกำลังร่วมกับสมาชิกพรรคร่วมฝ่ายค้าน ตระเตรียมจัดทัพกับวาระสำคัญ คือการพิจารณายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
.
“สุทิน คลังแสง” เปิดอกพูดคุยกับ TV24 ถึงเส้นทางชีวิต แนวคิดและความภาคภูมิใจ ให้เราได้รู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของเขามากขึ้น


วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ย้อนอดีต "ยิ่งลักษณ์" กราบทูลเชิญ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เสด็จเยือนไทย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระประมุขศาสนจักรโรมันคาทอลิก และพระประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน เสด็จถึงประเทศไทย โดยจะทรงพำนักในประเทศไทยระหว่างวันที่ 20-23 พ.ย. 2562

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ของไทยในขณะนั้น ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ณ พระราชวังสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส (His Holiness Pope Francis) ณ นครรัฐวาติกัน โดยแสดงความยินดีต่อความสัมพันธ์ไทย-วาติกันที่มีมาอย่างราบรื่น ซึ่งถือเป็นการเยือนนครรัฐวาติกันในรอบ 58 ปีของนายกรัฐมนตรีไทย นับตั้งแต่การเยือนของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อปี 2498

พร้อมกันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯของไทยในขณะนั้น ยังได้กล่าวชื่นชมบทบาทของคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและช่วยเหลือผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ตลอดจนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ขณะที่ไทยเป็นประเทศที่เคารพและเข้าใจในความหลากหลาย รัฐบาลไทยส่งเสริมให้คนทุกชาติและทุกศาสนา สามารถประกอบศาสนพิธีของตนได้อย่างเสรี และอยู่ร่วมกันในสังคมไทยได้ ชาวไทยที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกมีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย ขณะที่สมเด็จพระสันตะปาปา ทรงยินดีต่อการให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของไทย

ทั้งนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จเยือนไทย จากที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยได้กราบทูลเชิญ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในระหว่างการเข้าพบที่รัฐวาติกัน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2556 








"ทวี" แนะรัฐแก้ปัญหาที่ดินทำกิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ปัญหาที่ดินไทย จะเดินหน้าไป ต่อได้อย่างไร ?

มหกรรมที่ดินคือชีวิต ครั้งที่ 2 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “หยุดวิกฤตความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมที่ดินไทย” ระหว่างวันที่ 16 ถึง 17 พฤศจิกายน 2562 ณ หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ได้เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมแสดงทัศนะในหัวข้อ “ปัญหาที่ดินไทย จะเดินหน้าไป ต่อได้อย่างไร” เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 เวลา 13.00 – 14.30 น. ที่ผู้ร่วมเสวนาได้เสนอทัศนะที่มีประโยชน์ ซึ่งสามารถติดตามจากการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ

ในส่วนตัว ได้แสดงทัศนะ ในหัวข้อดังกล่าวและได้ทำการสรุป เพิ่มเติมอธิบายประเด็นที่ได้พูดไว้ ดังนี้

เรื่องปัญหา “ทรัพยากรที่ดิน” เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในการปฏิรูปประเทศ ถ้าปฏิรูปที่ดินไม่ได้ การปฏิรูปด้านอื่นๆก็จะล้มเหลว เมื่อปี 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553 สมัยเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้เป็นประธานแก้ปัญหาในกระบวนการยุติธรรม หัวข้อ “คนจนกับการเข้าถึงความเป็นธรรมในปัญหาที่ดินทำกิน” ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้เกิดปรากฏการที่หน่วยงานรัฐ มีนโยบายฟ้องเรียกค่าเสียหายกับผู้ที่ทำกินในพื้นที่ป่าเรื่องโลกร้อน และฟ้องประชาชนที่มีความขัดแย้งพิพาทกับรัฐเรื่องที่ดินในป่า ที่ดินสาธารณะอื่นๆ ได้ระดมความคิดเชิญผู้เกี่ยวข้องที่เป็นผู้ถูกกล่าวหา ผู้ได้รับผลกระทบ และเจ้าหน้าที่รัฐ พบว่า ในประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ที่ใช้มาถึงปัจจุบัน ในส่วนของที่ดินเอกชนนั้น ถือว่าที่ดินเป็น “สินทรัพย์” ภายใต้ระบบกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ที่ให้สิทธิแก่เจ้าของอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีแนวคิด/หลักการเรื่อง “การปฏิรูปที่ดิน” ในกฎหมายที่ดินเลย

ขณะที่ราษฎร เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ไม่มีที่ทำกิน ถือว่าที่ดินเป็นที่ทำกินเพื่อผลิตอาหารให้ผู้คนและรักษาระบบนิเวศน์จะเข้าไปอยู่เป็นชุมชนในที่รัฐประกาศเป็นเขตป่าหรือที่รัฐอื่น จึงเกิดความขัดแย้ง ระหว่างชาวบ้านกับรัฐ ซึ่งรัฐจะดำเนินการเป็นคดีอาญา คดีแพ่งชาวบ้านจะแพ้คดี และถูกบังคับคดี ซึ่งในเวทีระดมความคิดมีข้อเสนอ เช่นให้นิรโทษกรรมและควรงดการบังคับคดีกับประชาชนผู้ยากไร้เข้าไม่ถึงความเป็นธรรม รวมทั้งมีแนวคิดควรยกเลิกโทษอาญาการบุกรุกที่ดินรัฐ ที่เหมือนในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วไม่มีโทษทางอาญา ให้เป็นหน้าที่ของรัฐป้องกันไม่ให้มีการบุกรุกฯ ให้ใช้การดำเนินการคดีทางแพ่งและ/หรือ มาตรการยึดทรัพย์แทน นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่ดินที่ต้องพิสูจน์สิทธิกรณีประชาชนกับรัฐ ตามมติ ครม วันที่ 30 มิถุนายน 2541 มีมากประมาณ 7.7 ล้านไร่ ที่ปัจจุบันยังเป็นปัญหาความเดือดร้อนอยู่ วันนี้ผ่านมา 9 ปี ซึ่งตอนก่อนเข้าเวทีเสวนาได้พบกับพี่น้องทราบว่าปัญหายังไม่ได้แก้ไขไม่คืบหน้า หรือแย่กว่าเดิม

ที่ดินประเทศไทยมีเนื้อที่ประมาณ 320 ล้านไร่ แยกเป็นที่เอกชนที่กรมที่ดินดูแลมีการออกเอกสารสิทธิ์  128 ล้านไร่ หรือประมาณ 40% ส่วนที่เหลือประมาณ 60% เป็นที่ดินของรัฐ ในที่ดินของรัฐจะไปอยู่ 3 กระทรวง เช่น  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ  ที่เป็นป่าสวน เขตอุทยานฯ ประมาณ 135 ล้านไร่  ที่สาธารณะประโยชน์ไปอยู่กระทรวงมหาดไทย 7.4 ล้านไร่  ที่ราชพัสดุที่ส่วนหนึ่งเป็นที่ทหารประมาณ 12 ล้านไร่ ไปอยู่กับกทรวงการคลัง แต่ส่วนใหญ่ที่ดินจะเป็นของทหาร เช่นแสมสาร สัตหีบ จะเป็นของทหารเรือ ถ้าจะขอไฟฟ้าใช้ต้องผ่านทหารเรือ  ไปอยู่กับกระทรวงเกษตร ได้แก่ สปก. 40 ล้านไร่ และไปอยู่กับ นิคมสหกรณ์ และนิคมต่างๆ ประมาณ 11 ล้านไร่

ในการแก้ปัญหาที่ดินเห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปเร่งด้วนให้เห็นผลภายใน 4 ปี ในเบื้องต้นความปฏิรูป 5 ด้าน คือ

1.การปฏิรูปหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญให้บัญญัติเรื่อง เกษตรกรให้มีกรรมสิทธิ์และสิทธิในที่ดิน และแก้ไขกฎหมายที่ดิน ป่าเพื่อปฏิรูปที่ดินเกิดผลสำเร็จ การแก้ปัญหาที่ดินโดยแก้ไขกฎหมายไม่ต้องใช้เงิน  แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นต้องใช้เงินมาก  ต้องกล้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ทำให้ประชาชนมีสิทธิ์ในการเป็นรัฐสวัสดิการให้ได้  เราเอาปัญหาเรื่องที่ดิน ป่าไม้ให้เป็นรัฐสวัสดิการให้ได้  ตัวอย่าง เช่น รัฐธรรมนูญ 2517 เคยบัญญัติเรื่องการปฏิรูปที่ดินไว้ ว่า  “รัฐพึงส่งเสริมให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ และสิทธิในที่ดิน เพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างทั่วถึง โดยการปฏิรูปที่ดินและวิธีการอื่น”  เป็นการเขียนที่ก้าวหน้ามากแต่ใช้ได้ไม่นานได้ถูกเปลี่ยนโดยปฏิวัติรัฐประหารเสียก่อน และถ้ามีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่นอกจากที่ดิน ต้องขยายไปถึงที่อยู่อาศัยและครอบคลุมทั้งสิทธิชุม รวมทั้งพิจารณาจำกัดการถือครองที่ดินด้วย ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ได้บัญญัติไว้เหมือนกันแต่เกษตรกรนั้นต้องยากจนหรือยากไร้ก่อน รัฐจึงจะให้ได้เข้าถึงสิทธิ์ คือการสงเคราะห์  แต่รัฐธรรมนูญปี 2517 นี้ถือว่าสิทธิ์เสมอกัน เพราะที่ดินเป็นสาธารณะสมบัติของชาติ ต้องสาธารณะสมบัติของประชาชน ซึ่งเมื่อที่ดินถ้าได้ถูกบัญญัติในรัฐธรรมนูญ จะทำให้กฎหมายที่ดินและป่าไม้ได้แก้ไขไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญต่อไป

สิ่งที่ต้องปฏิรูปและแก้กฎหมายที่ดินและป่าไม้ คือให้กระจายอำนาจที่ดินให้ชุ่มชนท้องถิ่นเป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการ โดยเริ่มที่  สปก. 40 ล้านไร่ กระจายอำนาจโอนไปให้เป็นอำนาจของท้องถิ่นชุมชน ให้นายก อบจ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการ เพราะที่ ส.ป.ก. การจัดที่ดินให้เฉพาะเกษตรกร และเกษตรกรต้องใช้ที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรม อาจมีการกำหนดกลไกในการจัดการที่ดินที่โอนให้ชุมชนมีส่วนร่วมและวิธีจัดการที่ชุมนุมมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ท้องถิ่นจะรู้ดีว่าใครเป็นเกษตรกรจริง ๆ  เเกิดความแม่นยำ ไม่เกิดความผิดพลาดในการให้เกษตรกรเข้าถึง เนื่องด้วยปัจจุบันนี่ สปก. 40 ล้านไร่ที่ สปก. จัดส่งไปนั้น น่าจะมากถึง 20% ที่ที่ดินเหล่านั้นตกไปอยู่ในมือของนายทุนหรืออาจจะมากกว่านั้น ถ้าอำนาจถูกโอนไปท้องถิ่นจะได้ที่ดินจากนายทุนคืนมาหลายล้านไร่ ที่วันนี้ สปก. ก็ไม่มีอำนาจเข้าดูแล นอกจาก สปก แล้ว ที่ดินของรัฐอื่น เช่น กระทรวงการคลังต้องกล้าเอาที่ราชพัสดุ เมื่อกันให้ส่วนราชการที่จำกันไปใช้พอแล้วเหลือเท่าใด ส่งคืนไปยังส่วนของท้องถิ่นชุมชนให้บริหารจัดการกันเองด้วย

2. การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจของประชาชนให้เพิ่มขึ้น เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีการสถาปนาโครงสร้างอำนาจรัฐให้เข้มแข็ง เป็นเสมือนสร้างพรรคการเมืองขึ้นมา คือ พรรคทหาร กับ พรรคราชการ เมื่อมีการพิจารณางบประมาณ เงินภาษีอากรที่มาบริหารประเทศ ซึ่งมาจากการเก็บภาษีของประชาชน ถูกใช้จ่ายเป็นเงินเดือน บำเหน็จ บำนาญ ค่ารักษาพยาบาล และสวัสดิการของข้าราชการที่มีประมาณ 2.5-2.8 ล้านคน มากกว่า 1 ล้านล้านบาท เป็นการแสดงให้เห็นว่าสร้างรัฐราชการ ต้องเปลี่ยนแปลงกระจายอำนาจ กระจายงบประมาณ ให้ประชาชนมีโครงสร้างอำนาจ และเป็นระบบรัฐสวัสดิการ ในเรื่องทรัพยากรที่ดินต้องให้ประชาชนมีสิทธิ์ต้องปฏิรูปการใช้ประโยชน์ในที่ดิน

3. การปฏิรูปข้อมูล ต้องมีฐานข้อมูลการถือครองที่ดิน ตลอดจนข้อมูลแปลงที่ดินต้องสามารถเข้าถึงตรวจสอบได้ มีนักวิชาการได้พบว่า บางท่านมีที่ดิน 600,000 ไร่ บางท่านไม่มีที่ดิน แต่พอไปถามกรมที่ดินตอบว่าไม่มีข้อมูล กฏหมายที่ดิน มาตรา 6 ที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่ทำประโยชน์ที่เป็นโฉนดต่อเนื่อง 10 ปี  และ หากเป็นเอกสารสิทธิ เช่น นส. 3 ปล่อยทิ้งร้างต่อเนื่อง เวลา 5 ปี ถือว่าเอกชนนั้นสละสิทธิ์รัฐจะเอาคืนได้  ปรากฎว่าไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเลย ทั้งที่เมื่อขับรถผ่านไปผ่านมาก็จะพบที่รกร้างว่างเปล่าทิ้งร้างจำนวนมาก แต่กฎหมายมาตรานี้ไม่เคยใช้บังคับเลย เพราะมีการถูกรวบอำนาจอยู่ส่วนกลาง จำเป็นต้องปฏิรูปข้อมูล

4. การปฏิรูปแผนที่.ควรมีการจำแนกพื้นที่ การจัดทำแผนที่ให้ถูกต้องมีมาตรไม่ทับซ้อนกัน มีตัวอย่างการทำแผนที่ของรัฐที่คลาดเคลื่อนผิดพลาด เช่น ป่าบูโด-สุไหงปาดี ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา ไปทำแผนที่รุกไปที่ชาวบ้านเป็นปัญหาขัดแย้งต้องพิสูจน์สิทธิ์มาถึงปัจจุบัน

5. การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เรื่องที่ดิน ป่าไม้ มีคดีที่ดินและป่าไม้ส่วนใหญ่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ถูกรัฐดำเนินคดี ในการต่อสู่คดีข้อพิพาทกับหน่วยงานรัฐ ซึ่งต้องใช้หลักฐานจำนวนมาก เป็นอุปสรรคสำคัญในการนำข้อเท็จจริงขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ควรปฏิรูปให้เป็นระบบไตร่สวน มีการพิสูจน์สิทธิไม่ต้องให้ประชาชนไม่ต้องเป็นผู้การรวบรวมพยานหลักฐานเอง เช่นระบบศาลปกครอง

หลังรัฐประหารปี 2557 ได้เกิดวิกฤตกับชาวบ้านและชุมชนที่อยู่กับป่า คือนโยบายทวงคืนผืนป่าที่สามารถตรวจยึด จับกุม ดำเนินคดีกับผู้ยากไร้ เป็นการพรากชาวบ้าน เกษตรกรและชุมชนไปจากแผ่นดินเกิด ก็จะเกิดปัญหาตามมาเป็นลูกโซ่ ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ ความเป็นธรรมทางสังคม เพราะฉะนั้นควรต้องยกเลิกคำสั่ง คสช นโยบายทวงคืนผืนป่าเพราะ ตอกลิ้มความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ยังมีการแก้กฏหมายเพิ่มโทษ เช่น พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ที่กำลังจะมีผลใช้บังคับได้กำหนดเพิ่มโทษคดีบุกรุกอุทยานแห่งชาติ เป็น จำคุกตั้งแต่ 4 ปีถึง 20 ปี หรือปรับตั้งแต่ 400,000-2,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากที่กล่าวตอนต้น ในการระดมความคิดเรื่องกระบวนการยุติธรรมเรื่องที่ดินเมื่อ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553 สมัยเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม มีแนวคิดที่จะ ยกเลิกการดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดิน ให้ใช้การดำเนินการคดีทางแพ่งและ/หรือ มาตรการยึดทรัพย์สำหรับผู้ที่กระทำผิดหรือมาตราการเพิ่มประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่รัฐ และต้องมีความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่อ่อนแอไม่เคร่งครัดแทน

อาจสรุปได้ว่า  “การปฏิรูปที่ดินประสบความสำเร็จ มีเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว การปฏิรูปดินประสบความล้มเหลวมีเฉพาะในประเทศที่ด้อยการพัฒนา”

ในการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมจากกฎหมายและความไม่เสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย การปฏิรูปกฎหมาย ที่ดินและป่าไม้ ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงใจกว้างและกล้าหาญที่จะกระจายอำนาจหรือโอนอำนาจ หรือเปลี่ยนอำนาจให้ประชาชน ชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแทนก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้วโดยไม่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มแต่อย่างใด


"เพื่อไทย" ปลุกนักศึกษาร่วมแก้ไข รธน.

"หญิงหน่อย" ลั่น ต้องเลิกโครงสร้างรัฐราชการ เปลี่ยนประชาชนเป็นศูนย์กลาง ปลุกนักศึกษาร่วมแก้ไข รธน. พร้อมอาสาตัวเป็นนั่งร้าน ให้คนรุ่นใหม่ต่อยอด



วันที่ 21 พ.ย.  เวลา 14.00 น. ที่ห้องออดิทอร์เรียม พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พรรคเพื่อไทยจัดโครงการ เพื่อไทยพลัสยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม โดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ปาฐกถา “เพื่อไทยยุคใหม่ ประชาชนคิด เพื่อไทยทำ” ตอนหนึ่งว่า การจัดงานวันนี้ไม่ใช่เพื่อความแข็งแกร่งของพรรคเพื่อไทย แต่เป็นคนรุ่นใหม่ที่เราอยากให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดยใช้ช่องทางพรรคการเมืองนำไปสู่การทำงาน การทำนโยบาย เพราะวันนี้โลกเปลี่ยน การเมืองบริบทเดิมไม่ตอบโจทย์ประเทศ วันนี้เป็นโลกยุคดิจิทัล ถ้าผู้นำ ผู้บริหารคว้าเป็นจะเกิดโอกาส แต่ถ้าผู้นำไม่ปรับตัวจะตกยุกต์แบบตามไม่ทัน อย่างไรก็ตามวันนี้ผู้นำประเทศต่างๆ เด็กลงทุกวัน เพราะการมีเทคโนโลยีสมัยใหม่บีบให้ทุกองค์กร แสวงหาคนที่คิดใหม่ ไม่ใช่เพราะคนเบื่อการเมือง แต่ตอนนี้ต้องการคนมีความรู้ที่ทันต่อโลกยุคใหม่ การที่ได้คนดี คนซื่อสัตย์ มีวิสัยทัศน์ มาเป็นผู้นำวันนี้อาจไม่พอแล้ว แต่ผู้นำจึงต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพื่อจะได้คว้าโอกาสเหล่านี้เป็นเครื่องมือทำมาหากินให้กับประชาชน แต่ถ้าไม่เข้าใจมันก็ไปต่อไม่ได้

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า ต่อไปนี้สิ่งที่จะออกแบบให้ประเทศไทย คือจะต้องเลิกโครงสร้างรัฐราชการที่เป็นศูนย์กลาง ให้กลายเป็นประชาชนเป็นศูนย์กลาง กระจายอำนาจ กระจายโอกาส จะรวยกระจุกจนกระจายไม่ได้ สังคมประเทศต้องถูกปรับเพราะไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน เช่น งบประมาณปี 63 ที่ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ใช้เงินมากสุดเท่าที่มีรัฐบาลมา และจัดงบขาดดุลมาทุกปีต่อเนื่องมาแล้ว 5-6 ปี แต่เศรษฐกิจก็ยังไปไม่ได้ เพราะเงินที่ใช้ลงไปไม่ตอบโจทย์เนื่องจากรัฐส่วนกลางคิด เช่น การทำงานของกระทรวงดีอี จะเปลี่ยนเป็นกระทรวงแห่งออแกไนซ์เซอร์ จัดงานอย่างเดียว หรืองบการลงทุนหลายหมื่นล้าน ที่มีแต่จะสร้างตึก ไม่กระจายลงท้องถิ่น หรือแม้แต่โครงการประชานิยมที่รัฐบาลแจกเงิน ซึ่งเพื่อไทยไม่เคยแจกเงินมีแต่ตั้งกองทุน เช่น กองทุนหมู่บ้าน ทั้งนี้วันนี้เรามีปัญหาคือ 1.การกระจายอำนาจ 2. ประเทศไทยจะไปทางไหนกับโลกในปัจจุบัน ที่กำลังเผชิญกับสงครามการค้า และสงความเทคโนโลยี เรื่องเหล่านี้เราจะไม่สามารถเอาชนะด้วยเรือดำน้ำ หรือรถถังที่ประโคมซื้อ นอกจากนี้ในช่วง5 ปีที่ผ่านมา เราไม่เตรียมความพร้อมติดอาวุธ ซึ่งคือปัญญาให้เด็กไทยให้พร้อมเข้าสู่การแข่งขัน รวมถึงไม่สนับสนุนคนรุ่นใหม่มากพอ อย่างไรก็ตามปี 2563 เด็กจบใหม่จะหางานยากขึ้น และคาดว่าจะตกงานมากถึง 5 แสนคน เพราะเศรษฐกิจไม่ดี รวมถึงเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงเรา

“นอกจากนี้ในเรื่องของรัฐธรรมนูญที่มีความบิดเบี้ยว ที่เราเห็นผลจากการเลือกตั้ง พรรคที่ได้ส.ส. อันดับหนึ่งก็ไม่มีสิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล และถ้าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกนาน ทั้งยังขัดขวางการพัฒนาประเทศ เพราะเขียนล็อคประเทศไว้ทั้งหมด ดังนั้นน้องๆ ต้องสนใจในเรื่องนี้ เนื่องจากจะต้องอยู่ในประเทศนี้ เราต้องการคนรุ่นใหม่มาดูแลประเทศต่อ โดยเราจะเป็นนั่งร้านที่คลุกกับดินให้คนรุ่นใหม่มาเหยียบต่อยอด เราจะนิ่งเฉยให้เขาปู้ยี่ปู้ยำอนาคตแบบนี้ไม่ได้ และประเทศนี้จะไปต่อไม่ได้ถ้าเราไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ”คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกิจกรรมโฟกัสกรุ๊ป “เพื่อไทยพลัส เพื่อไทยยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม” เป็นกิจกรรมที่พรรคเพื่อไทยได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาสถาบันการเมือง  โดยกิจกรรมในครั้งนี้มุ่งเน้นสร้างการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ ในรูปแบบของกิจกรรมระดมความคิดเห็นผ่านตัวอักษรและภาพ  โดยกำหนดจัดกิจกรรม 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ

"รุ่นใหม่เพื่อไทย" ห่วงปัญหาการจ้างงาน กระทบกำลังซื้อ


ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การจ้างงาน ปัญหากำลังซื้อของประชาชน และแนวทางการลงทุนภาครัฐช่วงเศรษฐกิจขาลงว่า

ปัญหาปัจจุบันเหมือนห่วงโซ่ ประชาชนขาดกำลังซื้อ ภาคเอกชนจึงไม่ลงทุน เพราะลงทุนไปก็ไม่มีคนซื้อ เมื่อเอกชนไม่ลงทุน ก็ไม่เกิดการจ้างงาน ประชาชนก็ยิ่งไม่มีงานทำ ก็ยิ่งไม่มีกำลังซื้อหนักเข้าไปอีก เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ

ถามว่าแก้วงจรนี้อย่างไร จะหวังให้เอกชนลงทุนในภาวะแบบนี้ก็คงยาก

การลงทุนภาครัฐจึงต้องเป็นคำตอบในการสร้างงานให้ประชาชนในระยะเริ่มแรก แต่การลงทุนภาครัฐอย่างที่ทำๆกันมา มันยังไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ ต้องมาคิดกันใหม่

ปัจจุบันการลงทุนภาครัฐ ส่วนมากเป็นเมกะโปรเจกต์ ทุนใหญ่ไม่กี่บริษัทที่ได้รับประโยชน์ ห่วงโซ่การผลิตจึงแคบมาก การจ้างงานจึงเกิดในวงแคบ ประชาชนเลยรู้สึกว่าไม่มีงานทำ ผลต่อระบบเศรษฐกิจเกิดขึ้นช้า กว่าเม็ดเงินจะเข้าสู่ระบบใช้เวลา 1-2 ปี เป็นอย่างน้อย

ในสภาวะเช่นนี้ เราต้องการ “ความรวดเร็ว” ของเม็ดเงินพุ่งสู่มือประชาชนผ่านการจ้างงาน เราต้องการเห็นผู้ได้รับประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐให้มากรายที่สุด รัฐบาลควรขับเคลื่อนด้วย “การลงทุนภาครัฐขนาดเล็ก แต่มากโครงการ” แทนโครงการขนาดใหญ่ไม่กี่โครงการ ซอยผู้ได้ประโยชน์ให้แก่บริษัทให้มากรายที่สุด สร้างห่วงโซ่การผลิตที่กว้างขึ้น.. SMEs อุตสาหกรรมกลางน้ำจะเกิดขึ้นเป็นทวีคูณ และจะเกิด “การจ้างงานในวงกว้างและทั่วถึงให้กับประชาชน” เกิดกำลังซื้อขึ้นรวดเร็ว และเงินเข้าสู่ระบบเร็วกว่า

การลงทุนภาครัฐเป็นเครื่องสำคัญ แต่ต้องใช้ให้เหมาะกับสภาวการณ์ ซึ่งถ้ารัฐบาลยังคงทำแบบเดิมอยู่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ กำลังซื้อจะไม่ฟื้น ประชาชนอดตายก่อน ภาคเอกชนรายเล็กอดตายตาม และในที่สุดภาคเอกชนขนาดใหญ่ก็จะไม่รอด ถ้าถึงขั้นนั้นแล้ว ก็พยุงเศรษฐกิจจะยิ่งยากเป็นทวีคูณ

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

'เพื่อไทย กทม.' เดินหน้าดัน ส.ข.กลับ คืนอำนาจให้ประชาชน


วันนี้ (20 พ.ย.62) นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายณรงค์ รุ่งธนวงศ์ กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย เผยว่า วันนี้ได้รับเชิญมาแถลงข้อเท็จจริงและแสดงความคิดเห็นต่อคณะกรรมาธิการการกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ ที่มีท่าน ส.ส.ซูการ์โน มะทา เป็นประธาน ตามที่ได้ยื่นคำร้องไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งในวันนี้ก็ได้ย้ำคำถามต่อคณะกรรมาธิการเพื่อให้กรุงเทพมหานครได้ชี้แจงหลายประเด็น อาทิ การคงไว้ซึ่งตำแหน่งสมาชิกสภาเขตและสภาเขต ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายฉบับอื่นหรือไม่อย่างไร หากไม่ขัดเหตุใดจึงต้องยกเลิก ส.ข. และกระบวนการยกร่าง พรบ.กทม.ฉบับใหม่จาก สปท.ที่นำเสนอให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างกรุงเทพมหานครจากสภาเขตเป็นประชาคมเขตนั้น ไม่ได้นำผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงคืออดีตสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) หรืออดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เข้าร่วมยกร่างและแสดงความคิดเห็นใช่หรือไม่

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยมิได้มีความขัดข้องในกรณีที่ผู้ยกร่างเห็นความสำคัญของประชาคมเขต แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะดีหรือไม่เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ และอำนาจหน้าที่ก็มิได้มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับสภาเขตแต่อย่างใด ดังนั้น หากจะมีประชาคมเขตในอนาคตก็น่าจะสามารถทำงานควบคู่ไปกับสภาเขตได้

นอกจากนี้ขอตั้งข้อสังเกตว่า กระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนที่ผ่านมาก็ไม่ได้เปิดกว้างและประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่กว้างขวาง โดยมีผู้แสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวน้อยมากหากเทียบกับจำนวนประชากรทั้งกรุงเทพมหานคร

นายวิชาญ กล่าวต่อว่า ขอขอบคุณทางคณะกรรมาธิการที่เห็นประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญและหยิบยกให้คณะอนุกรรมการของกรรมาธิการคณะนี้พิจารณาเป็นวาระสำคัญ เพื่อลงรายละเอียดและให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงต่อไป นายวิชาญกล่าว

==========

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

“ภูมิธรรม” หนุนเยาวชนสร้างสังคมตื่นรู้


นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้เดินทางมาเยี่ยมชมพร้อมพูดคุยกับเยาวชนที่ร่วมโครงการ “Pheu Thai Top Secret ไขความลับพรรคเพื่อไทย” ที่จังหวัดเชียงใหม่ 

โดย นายภูมิธรรม กล่าวว่า เด็กๆมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพียงแต่ที่ผ่านมาเด็กไทยไม่ได้ถูกทำให้มีโอกาสได้ใช้ความคิดเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ เพื่อดูสภาพแวดล้อมและสิ่งต่างๆรอบตัว ดังนั้นหัวใจสำคัญในการทำกิจกรรมของน้องๆ ครั้งนี้ คือการที่ทุกคนได้ลงพื้นที่ได้ไปเจอสภาพปัญหา และเริ่มตั้งคำถามกับปัญหาที่เจอ แล้วมองว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งสังคมต้องการคนแบบนี้คนที่ตื่นรู้ และเข้าใจในสภาพของปัญหา แล้วนำไปคิดว่าจะหาทางออกอย่างไร โดยเหล่านี้เป็นกระบวนการคิดเพื่อมองหานโยบายที่จะตอบสนองกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งก็คือประชาชน

บางคนคิดแต่เรื่องโครงสร้าง คิดแต่การเปลี่ยนแปลงในเรื่องใหญ่ๆ บางทีก็ลืมปัญหาเล็กๆที่เรากำลังเผชิญอยู่ การไปพบเจอปัญหาเป็นจุดเริ่มต้นของการมองภาพรวมทั้งหมด ซึ่งต้องขอชื่นชมน้องๆ อายุเท่านี้ยังมองโลกได้ขนาดนี้ ไม่ได้บอกว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนแล้วดีแบบที่ใครพูด

นายภูมิธรรม กล่าวต่อไปว่า การจัดโครงการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระดมความคิดเห็นและออกแบบนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน โดยภายในงานมีการโต้วาทีร่วมกันระหว่างเยาวชนและนักการเมือง การเสวนาในหัวข้อต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง พร้อมการลงพื้นที่เพื่อเรียนรู้ร่วมกับชุมชนจริง

“เพื่อไทย” จัดแคมป์คนรุ่นใหม่ระดมแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ


พรรคเพื่อไทย จัดกิจกรรมร่วมกับเยาวชนและนักการเมืองพรรคเพื่อไทย ในโครงการ “Pheu Thai Top Secret ไขความลับพรรคเพื่อไทย” ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ไขความลับของพรรคเพื่อไทยในฐานะสถาบันทางการเมืองของประเทศไทย  ในระหว่างวันที่ 15-17 .. 62 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์จากสถาบันพรรคการเมือง และร่วมรับฟังพร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่กับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย อาทิเช่น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์.เชียงใหม่ ประธานกลุ่มเพื่อไทยพลัส , นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม .เชียงใหม่ รองประธานกลุ่มเพื่อไทยพลัส , นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส เลขาธิการเพื่อไทยพลัส , นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย , นายสงวน พงษ์มณี .ลำพูน , ..ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ .เชียงใหม่และ ..ชนก จันทาทอง .หนองคาย 

การจัดโครงการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระดมความคิดเห็นและออกแบบนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน โดยภายในงานมีการโต้วาทีร่วมกันระหว่างเยาวชนและนักการเมือง การเสวนาในหัวข้อต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง พร้อมการลงพื้นที่เพื่อเรียนรู้ร่วมกับชุมชนจริง อีกทั้งยังมีการแนะแนวการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ทางด้านสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์เป็นต้น

วันนี่ได้มีการเสวนาหัวข้อ “เศรษฐกิจกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ” ซึ่งมีน้องๆเยาวชนให้ความสนใจเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

โดย ..จิราพร กล่าวถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษา ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างโรงเรียนในเมืองและชนบท ทำให้งบประมาณกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ กทมไม่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีถึง85% แต่กลับได้รับการจัดสรรงบประมาณเพียง 30% เท่านั้น

ในขณะที่ นายพลนชชา กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเกิดจากความไม่เป็นประชาธิปไตยเกิดจากการมองคนไม่เท่าเทียมกัน 

ทางออกของความเหลื่อมล้ำคือการปฏิรูประบบภาษี การกระจายสวัสดิการกับการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และการบริหารจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของประชาชน” นายพลนชชา กล่าว

“เพื่อไทย” จัดสัมมนา “ฟังเสียง SMEs ไทย”

“เพื่อไทย” จัดสัมมนา “ฟังเสียง SMEs ไทย” แนะรัฐหยุดนโยบายแจกเงิน เร่งอัดเม็ดเงินลง SME เชื่อเป็นทางรอดวิกฤตเศรษฐกิจ


พรรคเพื่อไทย จัดงานสัมมนา “ฟังเสียง SMEs ไทย” ภาคอีสาน ณ ศูนย์ประชุมมณฑาทิพย์ฮอลล์ จ.อุดรธานี เพื่อรับฟังและแชร์ปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจ SME ไทย กับเซียนธุรกิจตัวจริงเสียงจริง มีการจับคู่ธุรกิจสร้างโอกาสต่อยอดสู่อนาคต โดยมีวิทยากรมากความสามารถ ได้แก่ คุณต้น-ธนพันธ์ วงศ์ชินศรี เจ้าของกิจการชาบูเพนกวิน นักธุรกิจรุ่นใหม่ผู้เชี่ยวชาญในการทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งมี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และมี ส.ส. อุดรธานี เข้าร่วมงานด้วย อาทิเช่น นายอนันต์ ศรีพันธุ์ นายขจิตร ชัยนิคม นางอาภรณ์ สาราคำ นางเทียบจุฑา ขาวขำ เป็นต้น

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ในอดีตเราพยายามแก้ไขหลักเกณฑ์ SME เพื่อให้คนตัวเล็กสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น พร้อมปรับโครงสร้างหนี้ให้เกิดการแก้ไขหนี้เสีย จนระดับหนี้ขึ้นมาอยู่ในระดับสากลพร้อมหาตลาด SMEs ใหม่ เราเพิ่มแต้มต่อให้นักธุรกิจขนาดเล็ก คนตัวเล็ก เพื่อไปสู้กับธุรกิจใหญ่ได้ โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในอดีตจะทำหน้าที่เป็นผู้ขาย นำสินค้าของประเทศไทยไปขายและหาโอกาสเจรจาด้านการค้าให้กับกลุ่มธุรกิจ SMEs และเปิดเจรจาการค้าเสรี รวมทั้งเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในระบบ แต่หลังจากการรัฐประหารเป็นต้นมา ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างมาก ซึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจคือตัวฟ้องเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ธุรกิจขนาดเล็กและกลางประสบปัญหามาโดยตลอด

ซึ่งพรรคเพื่อไทยเราแม้จะไม่ได้ทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร แต่เราทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล เราจึงตั้งคำถามว่า นโยบายของรัฐบาลเปิดโอกาสสร้างความแข็งแรงให้ธุรกิจขนาดเล็กหรือไม่ และคำตอบที่ได้คือไม่

“เราต้องเติมกำลังให้ SMEs ขับเคลื่อนต่อได้เศรษฐกิจประเทศจึงจะไปได้ หาก SMEs ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ คนตกงานจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมหาศาล รัฐบาลที่ทำงานเป็น คิดเป็น จะต้องสร้างนโยบายที่สนับสนุนให้คนตัวเล็กอย่าง SMEs มีกำลังเดินได้ ซึ่งในปัจจุบันผู้ประกอบการ SMEs กลับต้องเดินเองและต่อสู้เอง” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

“เพื่อไทย” ลงพื้นที่รับฟังปัญหาบ้านเอื้ออาทรรังสิต


คณะทำงานรับเรื่องร้องทุกข์-ร้องเรียนของพรรคเพื่อไทย นำโดยนางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะประธานคณะทำงานฯหม่อมหลวงณัฎฐพล เทวกุล รองประธานคณะรับเรื่องราวร้องทุกข์และนายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ ..ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่รับฟังความเดือดร้อนไม่มีพื้นที่ค้าขายของประชาชนบ้านเอื้ออาทร คลอง 1 อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด57 ตึกๆละ 43 ห้องรวมกว่า 2,500 ห้อง ผู้พักอาศัยมากกว่า 5,000 คน 
.
สำหรับเรื่องร้องเรียนและความต้องการของชาวชุมชนโดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้า คืออยากทำการทุบ-ย้ายหรือเปิดช่องกำแพงหน้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ตลาด ให้สามารถทำการค้าขายได้สะดวก เพราะผู้คนสัญจรผ่านไปมามองไม่เห็นตลาดภายใน เนื่องจากกำแพงหมู่บ้านสูงกว่าพื้นถนนมาก แต่ที่ผ่านมาการเคหะแห่งชาติ ยังไม่อนุญาตให้ดำเนินการเนื่องจากติดขัดข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
.
โดยนายณัฐพล เพชรกำจัด ประธานนิติบุคคลอาคารชุดบ้านเอื้ออาทรรังสิต 1 ได้ขอบคุณคณะทำงานพรรคเพื่อไทยที่ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาได้ร้องเรียนหลายหน่วยงานแต่ไม่มีความคืบหน้า จึงอยากให้ทางพรรคเพื่อไทย ช่วยเป็นช่องทางผลักดันผู้เกี่ยวข้องอนุญาตให้เปิดช่องกำแพงด้านหน้าหมู่บ้านเพื่อให้ค้าขายสะดวก อนุญาตให้เฉพาะผู้มีชื่อเป็นเจ้าบ้านในหมู่บ้านเอื้ออาทร ไม่อนุญาติให้มีการเช่าช่วงหรือสวมสิทธิ์มาค้าขายในจุดนี้
.
เบื้องต้นคัดค้านร้านสะดวกซื้อของกลุ่มทุนที่อาจจะมาเปิดบริการด้วย เพื่อให้รายได้ตกสู่ชาวชุมชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ในพื้นที่โครงการบ้านเอื้ออาทร ยังมีพื้นที่ว่างเปล่าอีกหนึ่งแห่งด้านหลังหมู่บ้านที่การเคหะแห่งชาติ กันเอาไว้ทำประโยชน์ในเชิงรายได้ ขณะที่ชุมชนมีที่จอดรถไม่เพียงพอแต่อยู่ในทำเลที่ไม่เหมาะที่จะทำการค้าขายได้อย่างที่การเคหะอยากผลักดันพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นตลาดนัด 
.
นางสาวน้อยหน่า นิดน้อย เลขานุการชุมชน ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดบ้านเอื้ออาทรรังสิต 1 กล่าวว่าชาวชุมชนบางส่วนต้องการให้นำพื้นที่ซึ่งยังไม่ใช้ประโยชน์ทำเป็นสนามเด็กเล่นหรือลานสันทนาการให้ชุมชนและใช้เป็นที่จอดรถในช่วงกลางคืนได้ด้วย เพราะมีเด็กในบ้านเอื้ออาทรจำนวนมาก ซึ่งแม้มีพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นลานกีฬาสันทนาการและสนามเด็กเล่นเดิม แต่อุปกรณ์ชำรุดจำนวนมากและไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ในโครงการยังมีปัญหาเรื่องบ่อบำบัดน้ำเสีย ซึ่งต้องการให้ทางเทศบาลเข้ามาดูแล เพราะปัจจุบันอยู่ในการดูแลของการเคหะแห่งชาติ ติดขัดเรื่องกระบวนการและข้อจำกัดต่างๆในการดูแลให้มีประสิทธิภาพ
.
ด้านนายชัยยันต์ กล่าวว่า ในฐานะ ..จะทำหน้าที่ประสานงานกับการเคหะและนิติบุคคลที่ดูแลเบื้องต้นจะทำแบบสอบถามผู้พักอาศัยในบ้านเอื้ออาทร 1 เพื่อประกอบการพิจารณาของการเคหะแห่งชาติและให้ประสานความร่วมมือกับข้าราชการท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลบ้านเอื้ออาทร 1 อยู่เพื่อผลักดันโครงการนี้ โดยส่วนตัวเห็นว่า น่าจะแก้ปัญหาให้ชาวชุมชนได้ และขอขอบคุณชาวชุมชนที่ยื่นเรื่องเข้ามา เพื่อสะท้อนการร่วมมือของทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาให้ตรงกับความต้องการของชุมชน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับหมู่บ้านเอื้ออาทรต่างๆ และมีมาตรการไม่ให้ร้านสะดวกซื้อของกลุ่มทุน เข้ามาค้าขายในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นการแย่งที่ทำมาหากินกับชาวบ้านผู้มีรายได้น้อย
.
นางลดาวัลลิ์ ระบุว่า หลังจาก ..ในพื้นที่ร้องเรียนปัญหาเข้าไปในคณะทำงาน ได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่ามีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ โดยหวังให้เป็นชุมชนนำร่องในการแก้ปัญหาและสนองความต้องการของชุมชนเอื้ออาทร ซึ่งผลักดันโครงการมาตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยกรณีนี้พบปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่กำหนดให้บ้านจัดสรรหรือหมู่บ้านต่างๆมีรั้วรอบขอบชิด 
.
พร้อมยืนยันว่า กฎหมายสามารถแก้ไขได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะผลักดันเรื่องนี้ผ่านกลไกทางรัฐสภาและให้ ..ในพื้นที่ติดตามอย่างใกล้ชิด มีหัวใจในการแก้ปัญหาคือพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะช่องทางทำมาหากินโดยยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำ พร้อมกันนี้เรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชน

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

“สุดารัตน์” เผย ไม่หนักใจ ศึกเลือกตั้งขอนแก่น

"หญิงหน่อยยัน "เพื่อไทยรักษาที่นั่งเลือกตั้งซ่อมขอนแก่น เตรียมส่ง อดีตส..มีประสบการณ์ลงชิง แนะกกต.จับตาตั้งแต่เริ่มหาเสียง หวั่นอำนาจรัฐ-เงินแทรกแซง แม้เลือกเพียงเขตเดียว


คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมส่งผู้สมัคร ..ภายหลัง ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ให้นายนวัธ เตาะเจริญสุข อดีตส..ขอนแก่น ของพรรคเพื่อไทย พ้นสมาชิกภาพจากความเป็นส.โดยระบุว่า ขณะนี้หัวหน้าพรรคได้แต่งตั้ง คณะกรรมการสรรหา ตัวบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งจะได้ข้อสรุปภายในสองวันนี้ จากนั้นจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อคัดเลือกรอบสุดท้ายยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง รักษาเก้าอี้แน่นอนเพราะเป็นพื้นที่เดิม อีกทั้งจ.ขอนแก่น และภาคอีสาน คือบ้านของพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยมีภาระและหน้าที่ต่อประชาชนให้อยู่ดีกินดี ให้กับคนอีสานและพี่น้องประชาชนก็ฝากความหวังไว้กับพรรคเพื่อไทย 

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวอีกว่า คนที่จะมาลงเลือกตั้งจะเป็นอดีตส.ของพรรคเพื่อไทยในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีหลายคน และถือว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและเข้าใจปัญหาของประชาชน รวมถึง ทุกคนทำงานในพื้นที่อย่างเข้มแข็ง 

"พรรคเพื่อไทย จะไม่ปล่อยให้พื้นที่เขต 7 เป็นของพรรคอื่น โดยเฉพาะพรรคการเมืองใหญ่ที่คาดหวังส..ในเขตนี้ และไม่หนักใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งได้เตรียมการเพื่อสื่อสารให้คนขอนแก่นรับรู้เพื่อประกอบการตัดสินใจ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง"

ประธานยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทยยังเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.จับตาการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเชื่อว่าจะมีบางฝ่ายใช้อำนาจรัฐ เข้ามาเอาเปรียบการเลือกตั้ง ดังนั้นกกต.จึงต้องเข้ามาดูแลตั้งแต่ต้น เพราะหากเป็นการแข่งขันที่ทัดเทียมเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย จะสะท้อนเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้เหมือนการเลือกตั้งใหญ่ที่มีการใช้อำนาจรัฐและอำนาจเงินเข้ามาช่วย

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

"จาตุรนต์" นำสัมมนา ความมั่นคงแห่งปี 2020


ผู้สื่อข่าวรายงานจากโรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ ว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา มูลนิธิคอนราดอาเดนาวร์ ร่วมกับ สถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย, มหาวิทยาลัยบูรพา และ สถาบันปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม จัดงานสัมมนา ในหัวข้อ “ความมั่นคงแห่งปี 2020 การแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างไทยและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี” โดยมี มร. จอร์จ แกฟโรน ผู้แทนมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต้อนรับและปาฐกถาเปิดงาน


ทั้งนี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวขอบคุณ มร. จอร์จ แกฟโรน ผู้แทนมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ประจำประเทศไทย , พันโท เอ็กเซล โดห์เมน ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร สถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย , พันเอกคาร์ล เบิร์นฮาร์ด มูลเลอร์ อดีตผู้ช่วยผู้บริหารรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พร้อมระบุว่า ปีนี้ เป็นปีครบรอบ 30 ปี ที่กำแพงเบอร์ลินล่มสลายลง และนำไปสู่การรวมชาติเยอรมนี รวมถึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เรียกกันว่า คลื่นลูกที่สาม ของการพัฒนาประชาธิปไตย และปีนี้ ก็ครบรอบ 70 ปี ของการใช้รัฐธรรมนูญ (Basic Law) ของประเทศเยอรมนีด้วย โดยประเทศเยอรมนี ได้แสดงบทบาทนำที่โดดเด่นในหลายด้านๆ โดยเฉพาะบทบาทในสหภาพยุโรป , NATO , การพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวคิด Social Market Economy และ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย และ เครือข่าย ได้ร่วมมือสนับสนุน กับ ทางมูลนิธิคอนราด อย่างต่อเนื่อง ในการนำเสนอตัวแบบ และ แนวทาง จากประเทศเยอรมนี สำหรับการประยุกต์ใช้ เพื่อยกระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศไทย ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอแนวคิด Social Market Economy , การบริหารจัดการพลังงานและดูแลสิ่งแวดล้อม, การพัฒนาทุนมนุษย์ และ ระบบทวิภาคี(Dual apprentice) ตลอดจน ความท้าทายที่สหภาพยุโรปเผชิญ เช่น Brexit และ กรณีผู้อพยพ (Refugee) ซึ่งในวันนี้ นับว่าเป็นโอกาสอันดี ที่ได้มีวิทยากรจากประเทศเยอรมนี และ วิทยากรที่มีความรู้ประสบการณ์ของไทย หลายท่านมาร่วมแลกเปลี่ยน ความรู้ ความคิดเห็นกัน ในประเด็น “ความมั่นคง 2020” ซึ่งเป็นประเด็นที่ ภูมิภาค ASEAN ให้ความสนใจ และ เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อการกำหนดนโยบายทั้งในบริบทของประเทศและระหว่างประเทศ อย่างยิ่ง ผมหวังว่า การเสวนาวิชาการในวันนี้ จะนำประโยชน์มาให้แก่ทุกท่าน เช่นเดียวกับ การทลายกำแพง เพื่อเปิดพรมแดนไปสู่ สิ่งใหม่ๆ ความท้าทายใหม่ๆ ที่เราจะร่วมนำเสนอหนทาง ในการก้าวเดินร่วมกัน อย่างมั่นคง


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวระหว่างการสัมมนาเป็นภาษาอังกฤษ โดยมีเนื้อหาแปลเป็นภาษาไทย ใจความว่า “ประเทศไทยและประชาชนไทยทั้งรักและชอบการบริหารประเทศของเยอรมัน เราทั้ง 2 ประเทศมีจุดที่เหมือนกัน คือ ประเทศเยอรมันอยู่ท่ามกลางหมู่มิตรไม่ใช่ศัตรู ประเทศไทยนั้นก็ไม่ได้ต่อสู้หรือขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านมานานมากกว่า 10 ปี ตรงนี้เราคล้ายกัน แต่เมื่อท่านได้บอกว่าผู้นำของท่านได้ให้นโยบายความมั่นคงว่า ให้ส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคม ปกป้องสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย หลักนิติรัฐนิติธรรม เสรีภาพ และรักษากฎหมายระหว่างประเทศ ตรงนี้เราแตกต่างกัน เพราะว่า ประเทศไทยนั้น เรายอมสละประชาธิปไตยเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่นคง แลกเสรีภาพเพื่อความมั่นคง แล้วความมั่นคงที่ว่านี้มันหมายถึงอะไร ไม่ใช่ความมั่นคงของประชาชน ตรงนี้ที่ทั้งสองประเทศแตกต่างกัน”







วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

"เพื่อไทย" แนะรัฐแก้ปัญหาสารเคมีปนเปื้อนสินค้าเกษตร

"ชวลิต" ช็อค อึ้ง ตะลึง ผลการสุ่มตรวจ ผัก ผลไม้ นำเข้าจากต่างประเทศ พบสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน 13 ใน 15 ตัวอย่าง จี้รัฐบาลแก้ปัญหาโดยเร็ว


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า
       
จากการที่ กมธ.ได้ไปศึกษาดูงานที่ด่านชายแดน ซึ่งเป็นต้นทางของการนำเข้าสินค้าผัก ผลไม้ และที่ปลายทางคือตลาด  ซึ่งมีการกระจายสินค้าแบบครบวงจรจากต้นทางถึงปลายทาง
   
ในการนี้ กมธ.ได้ทำการสุ่มตัวอย่างผัก ผลไม้ ที่ตลาดปลายทาง ไปตรวจยังห้องแล็บต่างประเทศที่ได้รับการรับรองมาตรฐานพบว่า ผัก ผลไม้ ที่ส่งไปตรวจสอบ จำนวน 30 ตัวอย่าง ขณะนี้ได้รับแจ้งผลการตรวจสอบกลับมา 15 ตัวอย่าง โดยพบว่า 13 ใน 15 ตัวอย่าง มีสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน ได้แก่ องุ่น 9 ตัวอย่าง ลูกพลับ 1 ตัวอย่าง  แอปเปิ้ล 1 ตัวอย่าง คะน้าฮ่องกง 1 ตัวอย่าง บร็อคเคอรี่ 1 ตัวอย่าง จากข้อมูลการสุ่มตรวจสอบดังกล่าว เห็นได้ว่าคนไทยเราไม่ปลอดภัยแล้ว และน่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคง เพราะกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล ดังนี้
 
1. รัฐบาลควรตรวจสอบซ้ำผัก ผลไม้ที่นำเข้าจากต่างประเทศตามเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัย
   
2. รัฐบาลควรจัดตั้งห้องแล็บ หรือหามาตรการใดในการสุ่มตรวจสอบให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัย
           
3. รัฐบาลควรเจรจากับประเทศต้นทางให้รัฐบาลกลาง หรือรัฐบาลท้องถิ่น ออกใบรับรองสินค้าว่าได้มาตรฐานความปลอดภัย
 
4. ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม  รัฐบาลควรส่งเสริม สนับสนุนให้เกษตรกรผลิตผัก ผลไม้
ปลอดภัย ไปจนถึงขั้นเกษตรอินทรีย์ป้อนประชาชนของเราเองได้
   
หวังว่าคงได้รับคำตอบจากรัฐบาลที่จะแถลงข่าวสร้างความมั่นใจกับประชาชนในการบริโภคผัก ผลไม้ ทั้งนำเข้า และผลิตเองในประเทศ ที่ได้การรับรองมาตรฐานความปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

"อนุสรณ์" อัดรัฐตีรวนแก้รัฐธรรมนูญ

"อนุสรณ์" ถามรัฐบาล ที่ตีรวนแก้รัฐธรรมนูญ แย่งชิงการนำ หรือ ยื้อให้นานที่สุด


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี การช่วงชิงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 ว่า จริงๆแล้วพรรคร่วมรัฐบาลทราบดีว่า ประเด็นการเลือกตัวประธานนั้น ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและสำคัญที่สุด เพราะการทำงานในรูปแบบคณะกรรมาธิการนั้นตัวกรรมาธิการทุกคนมีความสำคัญ แต่ละคนมีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากัน แต่ที่สังคมยังต้องรอความชัดเจนจากที่ประชุมวิปรัฐบาล อาจมาจาก 2 สาเหตุ คือ การเล่นการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลชิงการนำกันมากเกินไป หรือ ความพยายามตีรวน เพื่อยื้อการศึกษาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญออกไปให้ได้นานที่สุดของพรรคแกนนำหลักในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะพวกเขาได้ประโยชน์สูงสุด คนกลุ่มใดได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ คนกลุ่มนั้นก็ต้องพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญนั้นให้นานที่สุด ส.ว.ที่ได้ประโยชน์ จึงพยายามร่วมด้วยช่วยยื้อ จุดพลุสร้างวาทกรรม แก้รัฐธรรมนูญจะก่อวิกฤติ ซึ่งห่างไกลจากสภาพปัญหาที่แท้จริงไปมาก แต่หากจะมีกลุ่มที่วิกฤติคือกลุ่มเสียผลประโยชน์จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้น การที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ไปพูดว่าเป็นตัวเองนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง ได้เป็นนายกฯตั้งแต่ ส.ว.ยังไม่ทันเลือกนั้น อาจเข้าใจผิด หรือพูดความจริงไม่หมด
“พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งคนมาเขียนรัฐธรรมนูญ เพื่อพล.อ.ประยุทธ์ เอาบัตรเขย่งมาคำนวณคะแนนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ จนได้ส.ส.เอื้ออาทร มาเลือกพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วก็บอกว่าตัวเองมาจากการเลือกตั้ง แต่ที่ไม่ได้บอกคือพล.อ.ประยุทธ์ มาจากการเลือกตั้งที่ออกแบบมาเพื่อตัวพล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นรัฐบาลเท่านั้น ” นายอนุสรณ์ กล่าว