วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563
พรรคร่วมฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มุ่งเป้าประยุทธ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แกนนำ 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีรายชื่อทั้งหมด ดังนี้
1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
2. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
3. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
4. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
5. นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
6. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้ ยุทธศาสตร์ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน คือ การมุ่งประเด็นไปที่ผู้รับผิดชอบหลักของรัฐบาล คือ นายกรัฐมนตรี
เพราะในวันนี้พลเอกประยุทธ์เป็นผู้กุมความรับผิดชอบทั้งการเป็น หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ หัวหอกทางความมั่นคง และทางการเมือง เอาไว้หมด การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้หัวใจหลักจึงอยู่ที่นายกรัฐมนตรีเป็นสำคัญ ทั้งนี้ก็จะมีประเด็นความรับผิดชอบเฉพาะบุคคลที่จะมุ่งประเด็นไปที่รัฐมนตรีคนอื่นๆที่มีหลักฐานความผิดพลาด ความไร้ประสิทธิภาพ รวมทั้งคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสม ร่วมอยู่ด้วย
วันนี้ประเทศเราอยู่ท่ามกลางวิกฤติรอบด้านบางเรื่องเป็นผลจากปัจจัยภายนอก บางเรื่องเป็นผลจากปัจจัยภายในรัฐบาลเอง ซึ่งสิ่งที่พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่รับรู้และเห็นประจักษ์ได้ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ไม่สามารถบริหารจัดการปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้เลย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาฝุ่นละออง มาจนถึง ไวรัสโคโรน่า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาวิกฤตที่กระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างรุนแรง ทั้งนี้ไม่เพียงแต่รัฐบาลจะไม่มีศักยภาพในการแก้ปัญหาแล้ว ทว่ายังกระทำสิ่งที่ผิดพลาดซ้ำเติมปัญหาในทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
สิ่งที่สังคมไทยเรากำลังเผชิญในวันนี้คือความเสี่ยงของประเทศที่ตกอยู่ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลที่ไม่มีศักยภาพ ประชาชนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่น
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะมีผลของการโหวตออกมาอย่างไรนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการรับรู้และความคิดเห็นของประชาชน ที่ตัดสินรัฐมนตรีแต่ละคน แม้ว่าเราจะทราบกันดีว่า เสียงสนับสนุนของพรรคร่วมฝ่ายค้านมีน้อยกว่า แต่เป้าหมายของเราคือการนำข้อเท็จจริง และผลงานเชิงประจักษ์ที่แสดงความล้มเหลวของรัฐบาล มาเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบ
ฝ่ายค้านเราพร้อมทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในทุกเงื่อนไข โดยแบ่งการทำงานทั้งในสภา และนอกสภาเพื่อสื่อสารให้พี่น้องประชาชาชนได้รับข้อมูล ข้อเท็จริง ในทุกช่องทางอย่างเต็มที่ภายใต้ข้อจำกัดมากมายที่เราต้องเผชิญ
ทั้งนี้เพราะฝ่ายค้านมีหน้าที่ชี้ให้ประชาชนเห็นปัญหาความล้มเหลว ในการบริหารงาน และความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล
ส่วนประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจมีหน้าที่ต้องเปิดรับข้อมูลข้อเท็จริงจากการตรวจสอบ เพื่อแสดงความคิดเห็นให้รัฐบาลได้รับทราบถึงความต้องการที่แท้จริงของตนว่าจะยอมเสี่ยงให้ประเทศเราต้องตกอยู่ภายใต้รัฐบาลที่ล้มเหลวในการบริหารงานชุดนี้หรือไม่
แม้ว่าเราจะทราบกันดีว่า เสียงสนับสนุนของพรรคฝ่ายค้านในสภาฯมีน้อยกว่าพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป้าหมายของเราคือการนำข้อเท็จจริง และผลงานเชิงประจักษ์ที่ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล มาเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบ
การตัดสินใจของประชาชนจะมีความสำคัญและเป็นคำตอบสุดท้ายว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์จะบริหารประเทศไปต่อได้อย่างไร
ที้งนี้สิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุด คือ อนาคตของประเทศ เราอยู่ในภาวะวิกฤติหลายด้าน เราต้องการผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการนำพาเราก้าวผ่านความยากลำบากเหล่านี้ แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่มีอยู่เลย ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่คำตอบของประเทศ
พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรยอมรับความล้มเหลวและความไร้ประสิทธิภาพทั้งปวงที่เกิดขึ้น แสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ประเทศก้าวพ้นจากวิกฤติไปให้ได้
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563
"สุดารัตน์" ห่วงปัญหาไวรัสโคโรนา เผยชีวิตคนไทยสำคัญที่สุด
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
#ชีวิตคนไทยสำคัญที่สุด
ดิฉันขอพูดด้วยความห่วงใย ในฐานะ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในสมัยรัฐบาลนายกทักษิณ
ผู้ที่เคยรับผิดชอบ ควบคุมโรคระบาดของโรคซาร์ส และหวัดนก ได้สำเร็จมาแล้ว จนประเทศไทยได้เป็นผู้นำจัดประชุมผู้นำอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหาโรคซาร์สมาแล้ว
ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของ #ไวรัสโคโรนา มีผู้ติดเชื้อกว่า 5,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตในจีนกว่า 100 รายแล้ว ถือว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
รวมทั้งในไทยเองก็พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากต่างประเทศเพิ่มเป็น 14 รายแล้ว (ณ วันที่ 28 มกราคม)
นายกฯ จึงควรยกระดับการดูแลปัญหาเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาได้แล้ว
โดยเฉพาะข้อเรียกร้องที่ดิฉันเสนอให้ตั้ง #คณะกรรมการระดับชาติ ที่นายกฯลงมาดูแลปัญหานี้ด้วยตนเอง อย่างที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และผู้นำประเทศอื่นๆเขาทำกัน การระบาดขณะนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะคะ
ดิฉันมีข้อกังวลและห่วงใย ที่อยากจะเสนอต่อรัฐบาลโดยมีหลักคิดพื้นฐานว่า
“ชีวิตของประชาชนคนไทย มีความสำคัญที่สุด”
จุดสำคัญที่รัฐบาลต้องดูแล คือ
“คนจีน” จากพื้นที่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในขณะนี้ยังตกค้างอยู่ในประเทศไทยอีกกว่า 10,000 คน ซึ่งปัญหาใหญ่ก็คือคนที่ได้รับเชื้อโคโรนา แม้ยังไม่ปรากฏอาการ ก็สามารถเป็นผู้เผยแพร่เชื้อติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้
#คำถามที่ต้องถามรัฐบาลคือ
1) เราได้ทราบหรือไม่? ว่าคนจีนที่ตกค้างกว่า 10,000 คนนี้อยู่ที่ไหนบ้าง อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัททัวร์ไหน จำนวนเท่าไหร่ และขณะนี้อยู่ที่ไหน มีการสัมผัสกับคนไทยมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งนักท่องเที่ยวแบบ F.I.Tด้วย
นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่รัฐบาลต้องให้ทุกหน่วยงานเข้าไปดูแลใกล้ชิด ทั้งการเฝ้าสังเกตอาการ ป้องกันการแพร่ระบาด รวมทั้งดูแลความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ เนื่องจากเขาไม่สามารถกลับประเทศจีนได้ในขณะนี้ เพราะประเทศจีนยังไม่อนุญาตให้เดินทางกลับ
เหตุผลเพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่สามารถแพร่ระบาดเชื้อไวรัสได้ แม้ขณะจะยังไม่ได้แสดงอาการเจ็บป่วย
2) การคุมเข้มที่ด่านเข้าเมืองต่างๆทั้งทางเครื่องบินทุกสนามบิน และทุกเที่ยวบินที่มีเครื่องบินลงจากประเทศที่มีการระบาดของโรค รวมทั้งด่านทางบก ที่มีนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีการระบาดเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ต้องตรวจทุกคน
รัฐบาลได้ทำครบถ้วนรอบคอบแล้วหรือยัง?
ในสมัยที่ดิฉันเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข
เราจะสกรีนผู้โดยสารจากเครื่องเทอร์โมสแกน และจัดเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาล สัมภาษณ์ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศเขตระบาดทุกคน
โดยที่ดิฉันและผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข จะเดินทางไปตรวจสถานการณ์ และไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกด่าน ทุกวัน
เรียกว่า ถึงแม้เราไม่ปิดประเทศ แต่เรา ”คัดกรองคนเข้าประเทศอย่างเข้มข้น“ ไม่ให้มีคนติดเชื้อเล็ดลอดเข้าประเทศได้เลย และในช่วงเวลานั้นเราก็ทำสำเร็จ จนได้รับยกย่องจาก WHO และทำให้นักเดินทางทั่วโลก เชื่อมั่นในมาตราการของไทย การท่องเที่ยวฟื้นได้เร็วมาก เพราะมาตราการที่เข้มข้นของ “รัฐบาลนายกฯทักษิณ” ทำให้คนทั่วโลกที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีความเชื่อมั่น
3) สำหรับผู้ที่ติดเชื้อ ที่รักษาตัวอยู่ในไทย เราได้มีการติดตามผู้ที่เขาสัมผัส ทั่งคนไทย คนจีน ตามระบบระบาดวิทยา ดีแล้วหรือไม่? มีการ Quarantine ผู้ที่ผู้ป่วยสัมผัสครบถ้วนหรือไม่
ขอฝาก 3 คำถามถึงรัฐบาล ด้วยความห่วงใยในความปลอดภัยของคนไทย
ไม่อยากให้ประชาชนบ่นว่า #รัฐบาลเฮงซวย หรือ #นายกเฮงซวย เลยค่ะ
เพราะ #ชีวิตคนไทยสำคัญที่สุด
#ชีวิตคนไทยสำคัญที่สุด
ดิฉันขอพูดด้วยความห่วงใย ในฐานะ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในสมัยรัฐบาลนายกทักษิณ
ผู้ที่เคยรับผิดชอบ ควบคุมโรคระบาดของโรคซาร์ส และหวัดนก ได้สำเร็จมาแล้ว จนประเทศไทยได้เป็นผู้นำจัดประชุมผู้นำอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหาโรคซาร์สมาแล้ว
ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของ #ไวรัสโคโรนา มีผู้ติดเชื้อกว่า 5,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตในจีนกว่า 100 รายแล้ว ถือว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
รวมทั้งในไทยเองก็พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากต่างประเทศเพิ่มเป็น 14 รายแล้ว (ณ วันที่ 28 มกราคม)
นายกฯ จึงควรยกระดับการดูแลปัญหาเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาได้แล้ว
โดยเฉพาะข้อเรียกร้องที่ดิฉันเสนอให้ตั้ง #คณะกรรมการระดับชาติ ที่นายกฯลงมาดูแลปัญหานี้ด้วยตนเอง อย่างที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และผู้นำประเทศอื่นๆเขาทำกัน การระบาดขณะนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะคะ
ดิฉันมีข้อกังวลและห่วงใย ที่อยากจะเสนอต่อรัฐบาลโดยมีหลักคิดพื้นฐานว่า
“ชีวิตของประชาชนคนไทย มีความสำคัญที่สุด”
จุดสำคัญที่รัฐบาลต้องดูแล คือ
“คนจีน” จากพื้นที่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในขณะนี้ยังตกค้างอยู่ในประเทศไทยอีกกว่า 10,000 คน ซึ่งปัญหาใหญ่ก็คือคนที่ได้รับเชื้อโคโรนา แม้ยังไม่ปรากฏอาการ ก็สามารถเป็นผู้เผยแพร่เชื้อติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้
#คำถามที่ต้องถามรัฐบาลคือ
1) เราได้ทราบหรือไม่? ว่าคนจีนที่ตกค้างกว่า 10,000 คนนี้อยู่ที่ไหนบ้าง อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัททัวร์ไหน จำนวนเท่าไหร่ และขณะนี้อยู่ที่ไหน มีการสัมผัสกับคนไทยมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งนักท่องเที่ยวแบบ F.I.Tด้วย
นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่รัฐบาลต้องให้ทุกหน่วยงานเข้าไปดูแลใกล้ชิด ทั้งการเฝ้าสังเกตอาการ ป้องกันการแพร่ระบาด รวมทั้งดูแลความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ เนื่องจากเขาไม่สามารถกลับประเทศจีนได้ในขณะนี้ เพราะประเทศจีนยังไม่อนุญาตให้เดินทางกลับ
เหตุผลเพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่สามารถแพร่ระบาดเชื้อไวรัสได้ แม้ขณะจะยังไม่ได้แสดงอาการเจ็บป่วย
2) การคุมเข้มที่ด่านเข้าเมืองต่างๆทั้งทางเครื่องบินทุกสนามบิน และทุกเที่ยวบินที่มีเครื่องบินลงจากประเทศที่มีการระบาดของโรค รวมทั้งด่านทางบก ที่มีนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีการระบาดเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ต้องตรวจทุกคน
รัฐบาลได้ทำครบถ้วนรอบคอบแล้วหรือยัง?
ในสมัยที่ดิฉันเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข
เราจะสกรีนผู้โดยสารจากเครื่องเทอร์โมสแกน และจัดเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาล สัมภาษณ์ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศเขตระบาดทุกคน
โดยที่ดิฉันและผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข จะเดินทางไปตรวจสถานการณ์ และไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกด่าน ทุกวัน
เรียกว่า ถึงแม้เราไม่ปิดประเทศ แต่เรา ”คัดกรองคนเข้าประเทศอย่างเข้มข้น“ ไม่ให้มีคนติดเชื้อเล็ดลอดเข้าประเทศได้เลย และในช่วงเวลานั้นเราก็ทำสำเร็จ จนได้รับยกย่องจาก WHO และทำให้นักเดินทางทั่วโลก เชื่อมั่นในมาตราการของไทย การท่องเที่ยวฟื้นได้เร็วมาก เพราะมาตราการที่เข้มข้นของ “รัฐบาลนายกฯทักษิณ” ทำให้คนทั่วโลกที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีความเชื่อมั่น
3) สำหรับผู้ที่ติดเชื้อ ที่รักษาตัวอยู่ในไทย เราได้มีการติดตามผู้ที่เขาสัมผัส ทั่งคนไทย คนจีน ตามระบบระบาดวิทยา ดีแล้วหรือไม่? มีการ Quarantine ผู้ที่ผู้ป่วยสัมผัสครบถ้วนหรือไม่
ขอฝาก 3 คำถามถึงรัฐบาล ด้วยความห่วงใยในความปลอดภัยของคนไทย
ไม่อยากให้ประชาชนบ่นว่า #รัฐบาลเฮงซวย หรือ #นายกเฮงซวย เลยค่ะ
เพราะ #ชีวิตคนไทยสำคัญที่สุด
"วัฒนรักษ์" เตือน "ประยุทธ์" ศึกอภิปรายฯซักฟอก ไม่รอดแน่
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภายในวันที่ 31 ม.ค.นี้ จะมีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งข้อมูลทั้งหมดได้อยู่กับหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่จะมีการหารือร่วมกันครั้งสุดท้ายภายในวันนี้เพื่อสรุปรายชื่อของรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปราย แต่ เป้าหมายหลักก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะตลอดระยะเวลาที่ได้บริหารราชการงานแผ่นดินมาเกือบ 6 ปี นั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแย่ลงทุกวัน และยังไม่มีนโยบายที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน ทั้งปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นมาตลอด 3 ปี เพียงเพราะรัฐบาลมีแต่แผนงานแต่ไม่มีโครงการที่สามารถใช้แก้ปัญหาได้ใช่หรือไม่ และได้เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาอีก ก็ยังไม่เห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจากรายงานของเว็บไซต์ thewuhanvirus.com รายงานตามสถานการณ์จริง พบว่ามียอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 6,169 คน และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 132 คน ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อของประเทศไทยนั้นอยู่ที่ 14 คน ซึ่งก็ยังคงครองตำแหน่งยอดผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 2 รองจากประเทศจีน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลทำให้หุ้นไทยตกลงกว่า 40 จุด เพราะประชาชนและนักลงทุนขาดความมั่นใจในการบริหารราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งหากประชาชนยังมีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ ก็มักจะไม่ส่งผลต่อการลงทุน ประกอบกับยังมีข่าวพร้อมหลักฐานออกมานำเสนอไม่เว้นแต่ละวัน กรณีที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลออกมาเสียบบัตรแทนกัน ซึ่งอาจส่งผลทำให้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2563 ล่าช้า ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า จากกรณีที่มีคนจำนวนหลายหมื่นคนรวมจากหลายจังหวัด จัดกิจกรรม“วิ่งไล่ลุง”ขึ้นนั้นก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่าคนไทยเบื่อหน่ายการบริหารงานของพล.อ.ประยุทธ์ ขนาดไหน โดยที่ผ่านมาเป็นขาดความรู้ความเข้าใจในการแก้ปัญหาทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญญาเศรษฐกิจได้อย่างจริงจังและตรงจุด จริงอยู่ที่เศรษฐกิจของโลกส่งผลต่อภาคเอกชนทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง แต่หากรัฐบาลมีการส่งเสริมช่วยเหลืออย่างถูกวิธี เช่น ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ตกลงมาตลอด 6 ปี ส่งเสริมการส่งออก โดยหาตลาดให้กับบริษัทต่างๆ แก้ไขปัญหาตลาดแรงงาน ซึ่งหากเราดูรายงานจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จะพบว่าตัวเลขคนตกงานปี 2562 สูงถึง 1.9 แสนคน และหากรัฐบาลยังไม่หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด จำนวนคนตกงานในปี 2563 คงสูงมากขึ้นแน่นอน หากพิจารณาว่าเหตุใดปัญหาแรงงานจึงมีความสำคัญ พบว่าหากตลาดนี้มีปัญหา มักจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน และจะส่งผลกลับไปที่ภาคเอกชนทั้งระบบ ทำให้ขาดสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ และด้วยเหตุนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ จึงได้ตั้งชื่อรัฐบาลชุดนี้ว่า “รัฐบาลสีเทา” และถ้าหากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ โดยปราศจากการทุจริตคอรัปชั่นจริง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปากกล้าขาสั่นอีกต่อไป
วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563
"วัฒนรักษ์" เปิดตัวเว็บ-โซเชียลฯ ล่าสุดถูกบล็อก
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ และหัวหน้าศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อวานนี้ทางคณะกรรมการกิจการพิเศษ ได้มีการเปิดตัวเว็บไซต์ ที่มีชื่อว่า specialmissionptp.com และช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ อาทิเช่น YouTube Twitter และ Instagram ซึ่งจะเสนอรายละเอียดและแนวทางการทำงานของคณะกรรมการฯ และสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยใช้เป็นช่องทางในแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างพรรคเพื่อไทยและประชาชนคนไทยทุกคน ภารกิจแรกคือการ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยเห็นว่าผู้มีอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง นั้นคือประชาชน ดังนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้จึงไม่ใช่การอภิปรายเฉพาะของพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล เท่านั้น แต่โดยแท้จริงแล้วเป็นการอภิปรายของคนไทยทุกคน ทางพรรคจึงอยากให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม โดยสามารถส่งเรื่องที่อยากให้อภิปราย และหากมีข้อมูล หรือมีเรื่องราวที่ต้องการร้องทุกข์ก็สามารถส่งเรื่องมาให้ทางช่อง “รับแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์” ผ่านทางเว็บไซต์ดังกล่าวได้ โดยทางพรรคเพื่อไทยจะได้ทำการประสาน ไปยัง ส.ส. ในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขต่อไป และในวันที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นั้นทางพรรคจะมีการทำคลิปวีดีโอการอภิปรายของ ส.ส. แต่ละท่าน เพื่อให้ประชาชนที่อยากฟังแต่ไม่มีเวลา สามารถรับฟังการอภิปรายทั้งหมดได้ โดยสามารถแยกดูวีดีโอคลิปของแต่ละท่านได้
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า หลังจากที่คณะกรรมการกิจการพิเศษได้มีการเปิดตัวเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย อย่างเป็นทางการเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น อินสตราแกรม ของคณะกรรมการฯ บางท่านไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากอาจจะมีกลุ่มคนบางกลุ่มระดมรีพอร์ต จนไม่สามารถลงรูปหรือข้อความได้ ซึ่งทำให้ตนอดที่จะเป็นห่วงและกังวลในสิทธิเสรีภาพของคนไทยไม่ได้ เพราะขนาดแค่ช่องทางการสื่อสารทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นช่องทางที่หากประชาชนมีปัญหาก็สามารถติดต่อได้ง่าย รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังจะมีกลุ่มไอ้โม่งเข้ามาบล็อก และขณะนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าในอนาคตช่องทางอื่นๆ จะโดนบล็อกอีกหรือไม่ ดังนั้นตนจึงขอประณามการกระทำของกลุ่มคนที่ใช้ระบบปฎิบัติการแบบนี้ เพราะการที่พรรคเพื่อไทย เปิดช่องทางนี้ขึ้นมานั้น ก็เพื่อบริการแก้ไขปัญหาของประชาชนและช่วยแบ่งเบา โดยเป็นสิทธิ์ที่พรรคพึงจะกระทำให้ประชาชนได้
วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563
"เฉลิม" ย้ำ ศึกอภิปรายฯจะนำรัฐบาลสู่หายนะ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย แสดงความเสียใจต่อภัยพิบัติในไทยที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่เผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ แต่ที่เสียใจคือรัฐบาลไม่กระตือรือล้นไม่เอาใจใส่ เพราะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ไปแจกหน้ากากอนามัยในนามพรรคพลังประชารัฐ แต่ไม่ใช่รัฐบาลพร้อมชี้ว่ามีวาระซ้อนเร้น และหากเป็นเพื่อไทยจะเปิดให้นักวิชาการแสดงความเห็นถึงแนวทางแก้ไขผ่านทีวี แต่ทางรัฐบาลสร้างความสับสน
ส่วนกรณีร่างกฎหมายงบประมาณที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญจากปม ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน ส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างมาก หากพิจารณาจากคำวินิจฉัยที่เคยมีมา ถือว่าการเสียบบัตรเป็นการทุจริต พร้อมกับย้ำรัฐบาลนี้เป็นสีเทา รัฐมนตรีบุกป่าแต่เรื่องเงียบ ปัญหา ส.ส.รุกที่ดินก็เงียบ และยังอ้างอิงว่ามีประชาชนส่งข้อมูลให้พรรคฝ่ายค้านจำนวนมาก ทำให้ประชาชนไม่พอใจต่อการบริหารประเทศของรัฐบาลนี้ เชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปทางทีดีสู่ความเป็นประชาธิปไตย และขอนายกรัฐมนตรีว่าอย่าโกรธเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน เชื่อมั่นว่าหลังอภิปรายแล้วเสร็จขอให้รัฐบาลหายนะ พร้อมยืนยันการอภิปรายครั้งนี้ ไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย และ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้ คณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย เปิดเว็บไซต์ http://specialmissionptp.com โดยประชาชนสามารถเข้าไปอ่านข้อมูลและส่งข้อร้องเรียนถึงพวกเราได้ครับ
"โภคิน" สอนกฎหมายรัฐ ลงมติ ร่าง พ.ร.บ.งบฯใหม่
นายโภคิน พลกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีส.ส.บางพรรค เสียบบัตรแทนกัน ที่ทำให้มีความกังวลว่าอาจทำให้ร่างพรบ.งบประมาณ2563 เป็นโมฆะว่า กรณีนี้ถือว่า การตรากฎหมายขัดกับหลักรัฐธรรมนูญ ที่ระบุให้การลงคะแนนในแต่ละขั้นตอนต้องเป็นไปโดยสุจริต ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยไว้แล้ว ประเด็นที่ถกเถียงกัน ไม่ใช่ใครเสียบบัตรแทนใคร หรือช่องลงคะแนนน้อย แต่เป็นการลงคะแนนโดยสุจริตใช่หรือไม่? และไม่อยากเห็นองค์กรใดที่มีอำนาชี้ขาดเรื่องนี้ไปบอกว่า ร่างพ.ร.บ.ที่กระบวนการขัดรัฐธรรมนูญนี้ใช้ได้ แนวทางแก้ไข รัฐบาลควรนำร่างพ.ร.บ.ที่ผ่านสภาฯ แล้วกลับมาเสนอเข้าสภาฯ เพื่อให้ลงมติใหม่ตั้งแต่วาระที่ 1 เพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง เชื่อว่า หากขอความร่วมมือกันจะใช้เวลาในการพิจารณาไม่มาก และจะสง่างามกว่า โดยเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรอคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันที แต่ส่วนตัวคิดว่า รัฐบาลน่าจะรอให้ศาลมีคำวินิจฉัยออกมาก่อน
"การุณ" อัดรัฐบาล กดบัตรแทนกัน ดันหลักกูแทนหลักการ
“การุณ” อัดส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจงใจทำผิดกฎหมาย เชื่อรัฐดันหลักกูแทนหลักการจ่อออกพรก.แก้ปัญหางบ
นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา จะเกิดปัญหาในการบังคับใช้ โดยที่ผ่านมาในการจัดทำงบประมาณปี 2563 ตั้งแต่ขั้นตอนการพิจารณาไปจนถึงขั้นตอนการอภิปรายในสภาในวาระ 2 จนถึงวาระ 3 พรรคฝ่ายค้านให้ความร่วมมือมาตลอด
ที่เป็นเช่นนี้เพราะพรรคร่วมเพราะตระหนักว่างบประมาณมีความสำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ยิ่งประเทศกำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจ เงินงบประมาณจำนวน 3.2 ล้านล้านบาท จึงมีความสำคัญมาก ดังนั้นพรรคฝ่ายค้านให้ความร่วมมือในการจัดทำงบประมาณมาโดยตลอด เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการลงทุนภาครัฐที่มาจากงบประมาณแผ่นดิน
นายการุณ กล่าวด้วยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดมาจากฝ่ายรัฐบาลที่ไม่เกรงกลัวการทำผิดกฎหมาย เพราะจะมีผู้มีอำนาจหาทางออกให้ทุกเรื่อง แต่การกระทำผิดโดยการกดบัตรแทนกันจะหาทางออกว่าอย่างไร เพราะกฎหมายบอกว่าผิดก็คือผิดจะพยายามหาทางออกบอกว่าช่วยกดแทนก็ฟังไม่ขึ้น เพราะกฎหมายบอกว่าต้องลงมติดังกล่าวด้วยตัวเอง ดังนั้นการกระทำดังกล่าวของพรรคฝ่ายรัฐบาลคือตั้งใจทำผิดกฎหมาย
“เชื่อว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมหาทางเพื่อแก้ปัญหางบประมาณเบิกจ่ายไม่ทันกับแผนงานที่กำหนดไว้ คาดว่า รัฐบาลจะหาทางออกโดยการใช้อำนาจพิเศษเพื่อออกพระราชกำหนด ในการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นการกระทำที่ขัดหลักการประชาธิปไตย ทั้งนี้หากรัฐบาลหาทางออกไม่เจอคงใช้วิธีการนี้เพื่อให้ได้มา โดยไม่สนวิธีการว่าจะเป็นไปตามหลักกฎหมาย เพราะรัฐบาลเน้นหลักกูมากกว่าหลักประชาธิปไตย
“พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดเสมอว่าทุกคนต้องเคารพกฎหมาย ปัญหาที่เกิดคือส.ส.ของฝ่ายรัฐบาลไม่เคารพกฎหมาย ดังนั้นปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้าเกิดมาจากฝ่ายรัฐบาลจงใจให้ล่าช้า พฤติกรรมส.ส.ของฝ่ายรัฐบาลส่งผลให้ประเทศเกิดวิกฤติอย่างแท้จริง”
นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา จะเกิดปัญหาในการบังคับใช้ โดยที่ผ่านมาในการจัดทำงบประมาณปี 2563 ตั้งแต่ขั้นตอนการพิจารณาไปจนถึงขั้นตอนการอภิปรายในสภาในวาระ 2 จนถึงวาระ 3 พรรคฝ่ายค้านให้ความร่วมมือมาตลอด
ที่เป็นเช่นนี้เพราะพรรคร่วมเพราะตระหนักว่างบประมาณมีความสำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ยิ่งประเทศกำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจ เงินงบประมาณจำนวน 3.2 ล้านล้านบาท จึงมีความสำคัญมาก ดังนั้นพรรคฝ่ายค้านให้ความร่วมมือในการจัดทำงบประมาณมาโดยตลอด เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการลงทุนภาครัฐที่มาจากงบประมาณแผ่นดิน
นายการุณ กล่าวด้วยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดมาจากฝ่ายรัฐบาลที่ไม่เกรงกลัวการทำผิดกฎหมาย เพราะจะมีผู้มีอำนาจหาทางออกให้ทุกเรื่อง แต่การกระทำผิดโดยการกดบัตรแทนกันจะหาทางออกว่าอย่างไร เพราะกฎหมายบอกว่าผิดก็คือผิดจะพยายามหาทางออกบอกว่าช่วยกดแทนก็ฟังไม่ขึ้น เพราะกฎหมายบอกว่าต้องลงมติดังกล่าวด้วยตัวเอง ดังนั้นการกระทำดังกล่าวของพรรคฝ่ายรัฐบาลคือตั้งใจทำผิดกฎหมาย
“เชื่อว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมหาทางเพื่อแก้ปัญหางบประมาณเบิกจ่ายไม่ทันกับแผนงานที่กำหนดไว้ คาดว่า รัฐบาลจะหาทางออกโดยการใช้อำนาจพิเศษเพื่อออกพระราชกำหนด ในการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นการกระทำที่ขัดหลักการประชาธิปไตย ทั้งนี้หากรัฐบาลหาทางออกไม่เจอคงใช้วิธีการนี้เพื่อให้ได้มา โดยไม่สนวิธีการว่าจะเป็นไปตามหลักกฎหมาย เพราะรัฐบาลเน้นหลักกูมากกว่าหลักประชาธิปไตย
“พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดเสมอว่าทุกคนต้องเคารพกฎหมาย ปัญหาที่เกิดคือส.ส.ของฝ่ายรัฐบาลไม่เคารพกฎหมาย ดังนั้นปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้าเกิดมาจากฝ่ายรัฐบาลจงใจให้ล่าช้า พฤติกรรมส.ส.ของฝ่ายรัฐบาลส่งผลให้ประเทศเกิดวิกฤติอย่างแท้จริง”
"หมวดเจี๊ยบ" เร่งรัฐ ส่งเครื่องบินรับคนไทยกลับ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่ามาอ้างว่ารัฐบาลจีนไม่ยอมให้รัฐบาลไทยส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับประเทศ เพื่อหนีภัยไวรัสโคโรน่า ในเมื่อ มีรายงานข่าวว่า ขณะนี้ สหรัฐได้ส่งเครื่องบินไปรับคนอเมริกันและเจ้าหน้าที่ทูตออกจากอู่ฮั่นแล้วนับร้อยคน แล้วทำไมรัฐบาลประยุทธ์ไม่รีบส่งเครื่องบินไปรับคนไทย พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เป็นห่วงคนไทยหรืออย่างไร?
ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่ามาอ้างว่ารัฐบาลจีนไม่ยอมให้รัฐบาลไทยส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า เพราะสื่อต่างประเทศ รายงานว่า ขณะนี้ สหรัฐได้ส่งเครื่องบินไปรับประชาชนและเจ้าหน้าที่ทางการทูตออกจากอู่ฮั่นแล้วนับร้อยคน ถ้าสหรัฐทำได้ แล้วทำไมรัฐบาลประยุทธ์ทำไม่ได้ มันหมายความว่าอย่างไร อยากถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เป็นห่วงคนไทยหรืออย่างไร? ทำไมจึงไม่รีบส่งเครื่องบินไปรับ ทั้ง ๆ ที่ กองทัพอากาศและการบินไทยก็จัดเตรียมเครื่องบินไว้พร้อมแล้ว รอแค่คำสั่งไฟเขียวจากรัฐบาลประยุทธ์เท่านั้น ทำให้ขณะนี้ คนไทยตั้งคำถามกันมากว่าเหตุใดรัฐบาลสหรัฐจึงรีบช่วยเหลือประชาชนของเขาได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ รัฐบาลประยุทธ์ทำงานอย่างเชื่องช้าในการรับมือกับปัญหาไวรัสโคโรน่า และรัฐบาลไทยอาจประเมินสถานการณ์ของโรคต่ำเกินไป ทั้ง ๆ ที่ ขณะนี้ ประเทศไทยมีคนติดเชื้อไวรัสโคโรน่ามากที่สุดในโลก รองจากจีน ก็สมควรแล้วทีมีการตั้งแฮชแท็ก #รัฐบาลเฮงซวย ซึ่งถือว่าเป็นคำวิจารณ์ที่เบาเกินไปด้วยซ้ำ เมื่อเทียบความบกพร่องและเชื่องช้าในการ ปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยในต่างแดน อันที่จริง ต้องบอกว่า # รัฐบาลยิ่งกว่าเฮงซวย ด้วยซ้ำ.
นอกจากนี้ รัฐบาลประยุทธ์ไม่ควรหวังพึ่งแค่การคัดกรองผู้ติดเชื้อที่สนามบินเท่านั้น แต่ต้องกระตุ้นให้คนกลุ่มเสี่ยงเป็นฝ่ายเข้ามารายงานตัวเพื่อให้ข้อมูล หรือ ที่เรียกว่า Self Report ซึ่งจะประหยัดเวลาและงบประมาณ แต่รัฐบาลต้องกำหนดศูนย์กลางการติดต่อ ว่าให้ไปรายตัวที่ไหนอย่างไร ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของชาติตะวันตกระบุว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ แม้จะไม่แสดงอาการของโรค และเชื้อไวรัสมีระยะฟักตัวราว 2 สัปดาห์ ดังนั้น การคัดกรองที่สนามบินอาจไม่สามารถตรวจพบผู้ติดเชื้อได้ 100% แต่เชื้อไวรัสโคโรน่าสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้จึงถือว่าน่าเป็นห่วงมาก โดยรัฐบาลต้องรายงานความคืบหน้าต่าง ๆให้ประชาชนทราบผ่านโซเชี่ยลมีเดียด้วย เช่น เฟสบุ๊ค ไม่งั้นประชาชนอาจเข้าไม่ถึงข้อมูลต่าง ๆ ของรัฐบาล
ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลงมานั่งบัญชาการเหตุการณ์ด้วยตนเองอย่าปล่อยให้เป็นแค่เรื่องของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเท่านั้น แต่ต้องบูรณาการการทำงานของหลายกระทรวงเพื่อรับมือ โดยเฉพาะกระทรวงการค่างประเทศต้องตอบสังคมให้ได้ว่า ตัวเลขคนไทยในอู่ฮั่นมีจำนวนเท่าไหร่และพวกเขาต้องการความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง และต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยและแนวทางรักษาโรคกับรัฐบาลต่างประเทศ เพราะมีรายงานว่า ยอดผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มแบบก้าวกระโดดถึง 150,000 - 350,000 ราย หลังจากชาวอู่ฮั่น 5 ล้านคน เดินทางกลับภูมิลำเนา หลังจากไปท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนหลายสัปดาห์ ซึ่งก็สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนในการเร่งสร้างโรงพยาบาลขนาด 1,000 เตียง เพิ่มอีก 1 แห่ง โดยใช้เวลาสร้างเพียง 6 วัน
ดังนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ต้องสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบข้อมูลกับรัฐบาลจีนว่ารายงานของสื่อต่างประเทศเป็นความจริงหรือไม่? เพื่อให้คนไทยทราบสถานการณ์ที่แท้จริง ไม่งั้นจะทำลายความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เพราะไทยเป็นประเทศที่ชาวจีนนิยมมาท่องเที่ยวเป็นอันดับต้น ๆ และส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจีนก็เดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถไฟฟ้าปะปนกับคนไทย ซึ่งบนรถไฟฟ้าก็มีการเบียดเสียดกันชนิดเนื้อแนบเนื้อ จึงอาจกระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ดังนั้น รัฐบาลประยุทธ์ค้องสร้างความมั่นใจว่ามีมาตรการที่จะรับมือไวรัสโคโรน่าที่ชัดเจนหากสถานการณ์ของโรคดังกล่าวลุกลามบานปลายในอนาคต นอกจากนี้ รัฐบาลไทยก็ต้องควบคุมการบริโภคสัตว์ป่าซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคประหลาด ๆ มาสู่คนด้วย เพราะขณะนี้ทางการจีนสั่งห้ามการเปิบพิสดารดังกล่าวแล้ว
ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่ามาอ้างว่ารัฐบาลจีนไม่ยอมให้รัฐบาลไทยส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า เพราะสื่อต่างประเทศ รายงานว่า ขณะนี้ สหรัฐได้ส่งเครื่องบินไปรับประชาชนและเจ้าหน้าที่ทางการทูตออกจากอู่ฮั่นแล้วนับร้อยคน ถ้าสหรัฐทำได้ แล้วทำไมรัฐบาลประยุทธ์ทำไม่ได้ มันหมายความว่าอย่างไร อยากถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เป็นห่วงคนไทยหรืออย่างไร? ทำไมจึงไม่รีบส่งเครื่องบินไปรับ ทั้ง ๆ ที่ กองทัพอากาศและการบินไทยก็จัดเตรียมเครื่องบินไว้พร้อมแล้ว รอแค่คำสั่งไฟเขียวจากรัฐบาลประยุทธ์เท่านั้น ทำให้ขณะนี้ คนไทยตั้งคำถามกันมากว่าเหตุใดรัฐบาลสหรัฐจึงรีบช่วยเหลือประชาชนของเขาได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ รัฐบาลประยุทธ์ทำงานอย่างเชื่องช้าในการรับมือกับปัญหาไวรัสโคโรน่า และรัฐบาลไทยอาจประเมินสถานการณ์ของโรคต่ำเกินไป ทั้ง ๆ ที่ ขณะนี้ ประเทศไทยมีคนติดเชื้อไวรัสโคโรน่ามากที่สุดในโลก รองจากจีน ก็สมควรแล้วทีมีการตั้งแฮชแท็ก #รัฐบาลเฮงซวย ซึ่งถือว่าเป็นคำวิจารณ์ที่เบาเกินไปด้วยซ้ำ เมื่อเทียบความบกพร่องและเชื่องช้าในการ ปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยในต่างแดน อันที่จริง ต้องบอกว่า # รัฐบาลยิ่งกว่าเฮงซวย ด้วยซ้ำ.
นอกจากนี้ รัฐบาลประยุทธ์ไม่ควรหวังพึ่งแค่การคัดกรองผู้ติดเชื้อที่สนามบินเท่านั้น แต่ต้องกระตุ้นให้คนกลุ่มเสี่ยงเป็นฝ่ายเข้ามารายงานตัวเพื่อให้ข้อมูล หรือ ที่เรียกว่า Self Report ซึ่งจะประหยัดเวลาและงบประมาณ แต่รัฐบาลต้องกำหนดศูนย์กลางการติดต่อ ว่าให้ไปรายตัวที่ไหนอย่างไร ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของชาติตะวันตกระบุว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ แม้จะไม่แสดงอาการของโรค และเชื้อไวรัสมีระยะฟักตัวราว 2 สัปดาห์ ดังนั้น การคัดกรองที่สนามบินอาจไม่สามารถตรวจพบผู้ติดเชื้อได้ 100% แต่เชื้อไวรัสโคโรน่าสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้จึงถือว่าน่าเป็นห่วงมาก โดยรัฐบาลต้องรายงานความคืบหน้าต่าง ๆให้ประชาชนทราบผ่านโซเชี่ยลมีเดียด้วย เช่น เฟสบุ๊ค ไม่งั้นประชาชนอาจเข้าไม่ถึงข้อมูลต่าง ๆ ของรัฐบาล
ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลงมานั่งบัญชาการเหตุการณ์ด้วยตนเองอย่าปล่อยให้เป็นแค่เรื่องของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเท่านั้น แต่ต้องบูรณาการการทำงานของหลายกระทรวงเพื่อรับมือ โดยเฉพาะกระทรวงการค่างประเทศต้องตอบสังคมให้ได้ว่า ตัวเลขคนไทยในอู่ฮั่นมีจำนวนเท่าไหร่และพวกเขาต้องการความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง และต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยและแนวทางรักษาโรคกับรัฐบาลต่างประเทศ เพราะมีรายงานว่า ยอดผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มแบบก้าวกระโดดถึง 150,000 - 350,000 ราย หลังจากชาวอู่ฮั่น 5 ล้านคน เดินทางกลับภูมิลำเนา หลังจากไปท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนหลายสัปดาห์ ซึ่งก็สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนในการเร่งสร้างโรงพยาบาลขนาด 1,000 เตียง เพิ่มอีก 1 แห่ง โดยใช้เวลาสร้างเพียง 6 วัน
ดังนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ต้องสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบข้อมูลกับรัฐบาลจีนว่ารายงานของสื่อต่างประเทศเป็นความจริงหรือไม่? เพื่อให้คนไทยทราบสถานการณ์ที่แท้จริง ไม่งั้นจะทำลายความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เพราะไทยเป็นประเทศที่ชาวจีนนิยมมาท่องเที่ยวเป็นอันดับต้น ๆ และส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจีนก็เดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถไฟฟ้าปะปนกับคนไทย ซึ่งบนรถไฟฟ้าก็มีการเบียดเสียดกันชนิดเนื้อแนบเนื้อ จึงอาจกระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ดังนั้น รัฐบาลประยุทธ์ค้องสร้างความมั่นใจว่ามีมาตรการที่จะรับมือไวรัสโคโรน่าที่ชัดเจนหากสถานการณ์ของโรคดังกล่าวลุกลามบานปลายในอนาคต นอกจากนี้ รัฐบาลไทยก็ต้องควบคุมการบริโภคสัตว์ป่าซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคประหลาด ๆ มาสู่คนด้วย เพราะขณะนี้ทางการจีนสั่งห้ามการเปิบพิสดารดังกล่าวแล้ว
"วัฒนา" สอนรัฐ ชู "ทักษิณ" ต้นแบบแก้วิกฤต
นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
วิกฤตแบบที่เกิดในสมัยรัฐบาลประยุทธ์เคยเกิดในสมัยรัฐบาลทักษิณมาแล้วแต่หนักกว่าหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดนกที่กระทบการส่งออก หรือไวรัสซาร์ หรือสึนามิที่กระทบการท่องเที่ยว เป็นต้น ที่ต่างกันคือวิธีจัดการกับวิกฤตที่นายกทักษิณจะนำทีมออกมาแก้ไขปัญหาแบบมืออาชีพอย่างเป็นระบบและรับผิดชอบต่อประชาชน
ผู้นำที่เก่งจะมีวิธีจัดการกับวิกฤต (crisis management) และสามารถแปรวิกฤตให้เป็นโอกาสได้เสมอ เช่น เมื่อปลายปี 2546 ที่เกิดสึนามิในไทย นายกทักษิณได้ใช้โอกาสดังกล่าวแสดงความสามารถในการจัดการกับปัญหาจนได้รับการยกย่องไปทั่วโลกและใช้เป็นโอกาสบอกชาวโลกให้รู้ว่าประเทศไทยมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแล้วด้วยการประกาศไม่ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากประเทศใดทั้งสิ้น
ปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้กระทบถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอย่างเดียวแต่จะกระทบไปถึงด้านเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วให้แย่หนักขึ้นไปอีก การที่รัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและสื่อสารไม่เป็นจะทำให้ผู้คนไม่กล้าไปไหนและไม่เข้าห้างเพราะกลัวติดหวัดนั่นคือการท่องเที่ยวและการค้าจะหายนะตามไปด้วย ดูจากสถิติแล้วไวรัสโคโรนายังน่ากลัวน้อยกว่าการมีผู้นำโง่เพราะคนไทยยังไม่มีใครตายเพราะไวรัสสายพันธุ์นี้ แต่ต้องมาฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจจากการมีผู้นำแบบนี้หลายคนแล้ว
วัฒนา เมืองสุข
27 มกราคม 2563
วิกฤตแบบที่เกิดในสมัยรัฐบาลประยุทธ์เคยเกิดในสมัยรัฐบาลทักษิณมาแล้วแต่หนักกว่าหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดนกที่กระทบการส่งออก หรือไวรัสซาร์ หรือสึนามิที่กระทบการท่องเที่ยว เป็นต้น ที่ต่างกันคือวิธีจัดการกับวิกฤตที่นายกทักษิณจะนำทีมออกมาแก้ไขปัญหาแบบมืออาชีพอย่างเป็นระบบและรับผิดชอบต่อประชาชน
ผู้นำที่เก่งจะมีวิธีจัดการกับวิกฤต (crisis management) และสามารถแปรวิกฤตให้เป็นโอกาสได้เสมอ เช่น เมื่อปลายปี 2546 ที่เกิดสึนามิในไทย นายกทักษิณได้ใช้โอกาสดังกล่าวแสดงความสามารถในการจัดการกับปัญหาจนได้รับการยกย่องไปทั่วโลกและใช้เป็นโอกาสบอกชาวโลกให้รู้ว่าประเทศไทยมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแล้วด้วยการประกาศไม่ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากประเทศใดทั้งสิ้น
ปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้กระทบถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอย่างเดียวแต่จะกระทบไปถึงด้านเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วให้แย่หนักขึ้นไปอีก การที่รัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและสื่อสารไม่เป็นจะทำให้ผู้คนไม่กล้าไปไหนและไม่เข้าห้างเพราะกลัวติดหวัดนั่นคือการท่องเที่ยวและการค้าจะหายนะตามไปด้วย ดูจากสถิติแล้วไวรัสโคโรนายังน่ากลัวน้อยกว่าการมีผู้นำโง่เพราะคนไทยยังไม่มีใครตายเพราะไวรัสสายพันธุ์นี้ แต่ต้องมาฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจจากการมีผู้นำแบบนี้หลายคนแล้ว
วัฒนา เมืองสุข
27 มกราคม 2563
วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2563
"จาตุรนต์" เร่งรัฐแก้ปัญหาสุขภาพประชาชน ฝุ่นพิษ-ไวรัสโคโรนา
นายจาตุรนต์ ฉายแสง โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
เมื่อดูจากระดับความรุนแรงของปัญหาไวรัสโคโรน่าและการที่ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากและก่อนหน้านี้ก็เป็นจุดหมายปลายทางของชาวจีนจากอู่ฮั่นเป็นอันดับต้นๆด้วย รวมทั้งประเทศไทยมีผู้ป่วยมากเป็นอันต้นๆนอกประเทศจีน สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในการรับมือกับไวรัสโคโรน่ายังไม่พอและไม่อาจไว้วางใจได้เลย
สิ่งที่รัฐบาลควรทำโดยด่วนคือจัดให้มีการประสานร่วมมือกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทั้งของไทยเองและของต่างประเทศเช่นผู้แทน WHO ต้องมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง กำหนดมาตรการอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและดักปัญหาล่วงหน้า
แต่ความจริงประเทศไทยเคยทำ (contingency plan หรืแผนฉุกเฉินรับการแพร่ระบาดแบบนี้ไว้ ผู้รู้และเชี่ยวชาญในการวางแผนวางระบบก็มี มีการกำหนดไว้อยู่แล้วว่าหน่วยงานไหนจะต้องทำอะไรตระเตรียมอะไร หากเชิญผู้เกี่ยวข้องมาคุยกันก็สามารถใช้เป็นตัวตั้งต้นได้เลย
จากประสบการณ์ในอดีต อาจจะตั้งคำถามเบื้องต้นว่าขณะนี้เตรียมห้องและอุปกรณ์รองรับคนไข้ที่สงสัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรน่าทั่วประเทศไว้แล้วมากน้อยเพียงใด โรงพยาบาลต่างๆหรือหมอตามคลีนิคมีข้อมูลแล้วหรือยัง หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติกำหนดแล้วและแจ้งผู้เกี่ยวข้องแล้วหรือยัง เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ต้องให้ผูเชี่ยวชาญช่วยกำหนดและวางแผน
รัฐบาลควรสร้างทีมที่มีหน้าที่ชี้แจงให้ข้อมูล มีศูนย์ข้อมูล ทำการชี้แจงอย่างเป็นระบบ มิฉะนั้นประชาชนหรือแม้แต่ผู้เกี่ยวข้องจะสับสนและไม่รู้ว่าควรเตรียมตัวอย่างไร ควรระวังอะไรหรือจะออกกฎกติกาอย่างไร
เฉพาะเรื่องหน้ากากอนามัยอย่างเดียวก็แสดงถึงความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลในการรับมือทั้งฝุ่นPM2.5 และไวรัสโคน่าแล้ว หน้ากากที่บางหน่วยงานแจกกันอยู่หรือที่ขายกันอยู่ใช้ได้ผลจริงหรือเปล่า เวลานี้ต้องใช้มากเพราะฝุ่นอยู่แล้ว รัฐบาลไม่ช่วยหา จะมีได้ยังไง ถ้าต้องใช้รับมือไวรัสอีกล่ะ จะไปหาจากไหน
การแก้ปัญหา #ฝุ่นPM2.5 และ #ไวรัสโคโรน่า ที่รัฐบาลประยุทธ์ทำอยู่ ไม่ใช่การบริหารภายใต้วิกฤต ความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลนี้และพลเอกประยุทธ์กำลังเป็นวิกฤตเสียเอง
เมื่อดูจากระดับความรุนแรงของปัญหาไวรัสโคโรน่าและการที่ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากและก่อนหน้านี้ก็เป็นจุดหมายปลายทางของชาวจีนจากอู่ฮั่นเป็นอันดับต้นๆด้วย รวมทั้งประเทศไทยมีผู้ป่วยมากเป็นอันต้นๆนอกประเทศจีน สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในการรับมือกับไวรัสโคโรน่ายังไม่พอและไม่อาจไว้วางใจได้เลย
สิ่งที่รัฐบาลควรทำโดยด่วนคือจัดให้มีการประสานร่วมมือกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทั้งของไทยเองและของต่างประเทศเช่นผู้แทน WHO ต้องมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง กำหนดมาตรการอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและดักปัญหาล่วงหน้า
แต่ความจริงประเทศไทยเคยทำ (contingency plan หรืแผนฉุกเฉินรับการแพร่ระบาดแบบนี้ไว้ ผู้รู้และเชี่ยวชาญในการวางแผนวางระบบก็มี มีการกำหนดไว้อยู่แล้วว่าหน่วยงานไหนจะต้องทำอะไรตระเตรียมอะไร หากเชิญผู้เกี่ยวข้องมาคุยกันก็สามารถใช้เป็นตัวตั้งต้นได้เลย
จากประสบการณ์ในอดีต อาจจะตั้งคำถามเบื้องต้นว่าขณะนี้เตรียมห้องและอุปกรณ์รองรับคนไข้ที่สงสัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรน่าทั่วประเทศไว้แล้วมากน้อยเพียงใด โรงพยาบาลต่างๆหรือหมอตามคลีนิคมีข้อมูลแล้วหรือยัง หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติกำหนดแล้วและแจ้งผู้เกี่ยวข้องแล้วหรือยัง เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ต้องให้ผูเชี่ยวชาญช่วยกำหนดและวางแผน
รัฐบาลควรสร้างทีมที่มีหน้าที่ชี้แจงให้ข้อมูล มีศูนย์ข้อมูล ทำการชี้แจงอย่างเป็นระบบ มิฉะนั้นประชาชนหรือแม้แต่ผู้เกี่ยวข้องจะสับสนและไม่รู้ว่าควรเตรียมตัวอย่างไร ควรระวังอะไรหรือจะออกกฎกติกาอย่างไร
เฉพาะเรื่องหน้ากากอนามัยอย่างเดียวก็แสดงถึงความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลในการรับมือทั้งฝุ่นPM2.5 และไวรัสโคน่าแล้ว หน้ากากที่บางหน่วยงานแจกกันอยู่หรือที่ขายกันอยู่ใช้ได้ผลจริงหรือเปล่า เวลานี้ต้องใช้มากเพราะฝุ่นอยู่แล้ว รัฐบาลไม่ช่วยหา จะมีได้ยังไง ถ้าต้องใช้รับมือไวรัสอีกล่ะ จะไปหาจากไหน
การแก้ปัญหา #ฝุ่นPM2.5 และ #ไวรัสโคโรน่า ที่รัฐบาลประยุทธ์ทำอยู่ ไม่ใช่การบริหารภายใต้วิกฤต ความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลนี้และพลเอกประยุทธ์กำลังเป็นวิกฤตเสียเอง
"สุดารัตน์" เร่งรัฐรับมือ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ชีวิตประชาชน คือสิ่งสำคัญที่สุด
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในจีนขณะนี้ขยายวงกว้างไปเกือบทั่วประเทศ ระดับมณฑล 30 มณฑล จีนได้ประกาศ “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระดับสูง” เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของ ไวรัส #โคโรนาสายพันธุ์ใหม่
โดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิง นั่งเป็นประธานบัญชาการในการสู้ศึกโคโรนาด้วยตัวเอง
นอกจากนี้จีนยังพบว่า “ไวรัสโคโรนา” อาจติดต่อได้แม้ในระยะเวลาฟักตัว ส่งผลให้การควบคุม และป้องกันทำได้ยากขึ้น เพราะผู้ติดเชื้อสามารถแพร่โรคแม้ยังไม่แสดงอาการป่วย ทำให้แนวโน้มการแพร่ระบาดในจีนอาจรุนแรงขึ้น
ดังนั้นจึงถึงเวลาที่รัฐบาลไทย ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง โดยควรยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วยการจัดตั้งเป็น “คณะกรรมการระดับชาติ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่” และนายกรัฐมนตรีนั่งควรเป็นประธานเอง เพื่อระดมทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาร่วมสู้ศึกโคโรนา รวมทั้งยังสามารถให้มีอำนาจพิเศษ เพื่อวางมาตรการการป้องกันโรคได้ทันท่วงที
เพราะชีวิตของประชาชน สำคัญที่สุด รัฐบาลจึงต้องเร่งลงมือวางมาตรการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวเกิดความตระหนก
การไม่มีมาตราการ และไม่ลงมือทำภารกิจ #สู้โคโรนา อย่างจริงจังต่างหาก ที่ประชาชนวิตกกังวล จนออกมาบ่นว่า #รัฐบาลเฮงซวย เพราะประชาชนไม่มั่นใจในมาตราการรับมือกับ #ไวรัสโคโนนา ของรัฐบาล
วันนี้นายกจึงควรรู้ถึงความกังวลของประชาชน แล้วลงมือทำงาน #สู้ศึกโคโรนา เพื่อสร้างความมั่นใจให้คนไทยและนักท่องเที่ยว ถ้ารัฐบาลสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นได้ ก็จะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจตามมา การท่องเที่ยวก็จะกลับมา อย่างรวดเร็ว
ชีวิตประชาชน คือสิ่งสำคัญที่สุด
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในจีนขณะนี้ขยายวงกว้างไปเกือบทั่วประเทศ ระดับมณฑล 30 มณฑล จีนได้ประกาศ “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระดับสูง” เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของ ไวรัส #โคโรนาสายพันธุ์ใหม่
โดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิง นั่งเป็นประธานบัญชาการในการสู้ศึกโคโรนาด้วยตัวเอง
นอกจากนี้จีนยังพบว่า “ไวรัสโคโรนา” อาจติดต่อได้แม้ในระยะเวลาฟักตัว ส่งผลให้การควบคุม และป้องกันทำได้ยากขึ้น เพราะผู้ติดเชื้อสามารถแพร่โรคแม้ยังไม่แสดงอาการป่วย ทำให้แนวโน้มการแพร่ระบาดในจีนอาจรุนแรงขึ้น
ดังนั้นจึงถึงเวลาที่รัฐบาลไทย ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง โดยควรยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วยการจัดตั้งเป็น “คณะกรรมการระดับชาติ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่” และนายกรัฐมนตรีนั่งควรเป็นประธานเอง เพื่อระดมทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาร่วมสู้ศึกโคโรนา รวมทั้งยังสามารถให้มีอำนาจพิเศษ เพื่อวางมาตรการการป้องกันโรคได้ทันท่วงที
เพราะชีวิตของประชาชน สำคัญที่สุด รัฐบาลจึงต้องเร่งลงมือวางมาตรการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวเกิดความตระหนก
การไม่มีมาตราการ และไม่ลงมือทำภารกิจ #สู้โคโรนา อย่างจริงจังต่างหาก ที่ประชาชนวิตกกังวล จนออกมาบ่นว่า #รัฐบาลเฮงซวย เพราะประชาชนไม่มั่นใจในมาตราการรับมือกับ #ไวรัสโคโนนา ของรัฐบาล
วันนี้นายกจึงควรรู้ถึงความกังวลของประชาชน แล้วลงมือทำงาน #สู้ศึกโคโรนา เพื่อสร้างความมั่นใจให้คนไทยและนักท่องเที่ยว ถ้ารัฐบาลสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นได้ ก็จะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจตามมา การท่องเที่ยวก็จะกลับมา อย่างรวดเร็ว
"อนุดิษฐ์" เตือนรัฐ หยุดอุ้มเสียบบัตรแทนกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำลังอยู่บนทางสองแพร่งในการแก้ปัญหาการเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเลือกแนวทางแบบ “ #ศรีธนญชัย” ของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าการ #เสียบบัตรแทนกัน ในอดีตไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐานในปัจจุบันได้ หรือจะยึดตามบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยวินิจฉัยเอาไว้ว่าการเสียบบัตรแทนคนอื่น มีผลทำให้การลงคะแนนของสภาไม่สุจริต ถือเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเชื่อตามคำแนะนำของนายวิษณุ ก็จะทำให้การวางแผนรองรับสถานการณ์ดังกล่าวเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเชื่อนายวิษณุมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องการถวายสัตย์ไม่ครบจนนำไปสู่การฟ้องร้องเอาผิด หากครั้งนี้ยังคงเชื่อตามคำแนะนำอีก ก็อาจจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ เนื่องจากเป็นการกระทำที่สวนทางกับแนวการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะลองกลับใจดูสักครั้ง ก็จะทำให้สามารถวางแผนรับมือได้อย่างถูกต้อง โดยอาจไม่จำเป็นต้องรอการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ได้ เพราะเคยมีแนวทางการวินิจฉัยเอาไว้แล้วว่าให้ร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2557 ตกไป เพราะมีการเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส. จนทำให้กระบวนการออกกฎหมายไม่ชอบ
“ไม่ว่าจะเลือกแนวทางใด รัฐบาลก็ยังมีทางออกอื่นในการนำงบประมาณปี 63 เอามาใช้ได้ แต่ที่จะเป็นปัญหาอย่างมากสำหรับตัว พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือความรับผิดชอบทางการเมืองจากการที่มี ส.ส. รัฐบาลเสียบบัตรแทนกันถึง 4 คน แม้จะพยายามอ้างว่ามี 2 คนเสียบบัตรแทนกันเพราะเครื่องไม่พอ แต่ประธานสภาก็ฟันธงไปแล้วว่าถือเป็นความผิดเช่นเดียวกัน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่รัฐบาลจะปัดความรับผิดชอบ” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
ผมขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ เร่งสร้างความกระจ่างให้ได้ว่าใครเป็นคนเอาบัตรไปเสียบแทนกัน จะอ้างในทำนองว่า ไม่ได้ฝากใครเสียบหรือไม่ได้มอบอำนาจให้ใครเสียบบัตร แล้วก็ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเฉยๆ ตามที่นายวิษณุแนะนำไม่ได้ เพราะจะยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงปัญหาสองมาตรฐานของประเทศ เพราะต้องไม่ลืมว่ากรณีนายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย เคยถูกทั้ง สนช. ยื่นถอดถอนและถูกอัยการสั่งฟ้องคดีอาญาโทษถึง 10 ปี จากกรณีเดียวกัน
ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ถูกครหาว่า มีทั้งการอุ้มรัฐมนตรี และ ส.ส. ที่ถูกฟ้องคดีอีกหลายคน หากครั้งนี้ยังไม่ทำเรื่องใครเสียบบัตรแทนกันให้กระจ่างอีก ก็จะมีเรื่องอุ้ม ส.ส. เสียบบัตร เพิ่มเข้าไปอีก ซึ่งจะยิ่งทำให้ความชอบธรรมของรัฐบาลหมดไปเรื่อยๆ และนั่นเท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มนับถอยหลังทางการเมือง ตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ได้เลย
ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำลังอยู่บนทางสองแพร่งในการแก้ปัญหาการเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเลือกแนวทางแบบ “ #ศรีธนญชัย” ของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าการ #เสียบบัตรแทนกัน ในอดีตไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐานในปัจจุบันได้ หรือจะยึดตามบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยวินิจฉัยเอาไว้ว่าการเสียบบัตรแทนคนอื่น มีผลทำให้การลงคะแนนของสภาไม่สุจริต ถือเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเชื่อตามคำแนะนำของนายวิษณุ ก็จะทำให้การวางแผนรองรับสถานการณ์ดังกล่าวเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเชื่อนายวิษณุมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องการถวายสัตย์ไม่ครบจนนำไปสู่การฟ้องร้องเอาผิด หากครั้งนี้ยังคงเชื่อตามคำแนะนำอีก ก็อาจจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ เนื่องจากเป็นการกระทำที่สวนทางกับแนวการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะลองกลับใจดูสักครั้ง ก็จะทำให้สามารถวางแผนรับมือได้อย่างถูกต้อง โดยอาจไม่จำเป็นต้องรอการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ได้ เพราะเคยมีแนวทางการวินิจฉัยเอาไว้แล้วว่าให้ร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2557 ตกไป เพราะมีการเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส. จนทำให้กระบวนการออกกฎหมายไม่ชอบ
“ไม่ว่าจะเลือกแนวทางใด รัฐบาลก็ยังมีทางออกอื่นในการนำงบประมาณปี 63 เอามาใช้ได้ แต่ที่จะเป็นปัญหาอย่างมากสำหรับตัว พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือความรับผิดชอบทางการเมืองจากการที่มี ส.ส. รัฐบาลเสียบบัตรแทนกันถึง 4 คน แม้จะพยายามอ้างว่ามี 2 คนเสียบบัตรแทนกันเพราะเครื่องไม่พอ แต่ประธานสภาก็ฟันธงไปแล้วว่าถือเป็นความผิดเช่นเดียวกัน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่รัฐบาลจะปัดความรับผิดชอบ” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
ผมขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ เร่งสร้างความกระจ่างให้ได้ว่าใครเป็นคนเอาบัตรไปเสียบแทนกัน จะอ้างในทำนองว่า ไม่ได้ฝากใครเสียบหรือไม่ได้มอบอำนาจให้ใครเสียบบัตร แล้วก็ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเฉยๆ ตามที่นายวิษณุแนะนำไม่ได้ เพราะจะยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงปัญหาสองมาตรฐานของประเทศ เพราะต้องไม่ลืมว่ากรณีนายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย เคยถูกทั้ง สนช. ยื่นถอดถอนและถูกอัยการสั่งฟ้องคดีอาญาโทษถึง 10 ปี จากกรณีเดียวกัน
ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ถูกครหาว่า มีทั้งการอุ้มรัฐมนตรี และ ส.ส. ที่ถูกฟ้องคดีอีกหลายคน หากครั้งนี้ยังไม่ทำเรื่องใครเสียบบัตรแทนกันให้กระจ่างอีก ก็จะมีเรื่องอุ้ม ส.ส. เสียบบัตร เพิ่มเข้าไปอีก ซึ่งจะยิ่งทำให้ความชอบธรรมของรัฐบาลหมดไปเรื่อยๆ และนั่นเท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มนับถอยหลังทางการเมือง ตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ได้เลย
"สุดารัตน์" แนะ "ประยุทธ์" ลาออก หากรับมือไวรัสโคโรน่าไม่ได้
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
เรามีนักศึกษาและประชาชนไทย ที่เดือดร้อนอยู่ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เขตแพร่ระบาดของ #ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
เรามีกองทัพอากาศและบุคลากร ที่เตรียมพร้อมเพื่อช่วยเหลือประชาชน พร้อมขึ้นบินไปรับคนไทยที่เดือดร้อนทันที แต่ยังไม่ได้ไปเพราะ #รอนายกสั่งการ
เรามีรัฐบาลที่ถูกประชาชนตั้งชื่อว่าเป็น #รัฐบาลเฮงซวย เรามีผู้นำที่ #หลงตัวเอง #เก่งแต่โทษประชาชน และ #โยนความผิดให้ผู้อื่น โดยที่ไม่เคยมองเห็นความผิดของตนเอง
จึงทำให้ปัญหาต่างๆในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา หมักหมมและแก้ไขไม่ได้อย่างทันท่วงที สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง และมากขึ้นเรื่อยๆในทุกมิติ
ประเทศไทยของเรา เคยเจอปัญหาใหญ่กว่านี้หลายเท่า ตั้งแต่ โรคซาร์ส, ไข้หวัดนก, โรคระบาดอื่นๆ ตลอดจนคลื่นยักษ์สึนามิ
แต่รัฐบาลจากการเลือกตั้งในอดีต ได้มีการReactอย่างทันท่วงที จึงสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ จนผ่านพ้นไปได้ด้วยดีตลอดมา
จากประสบการณ์ที่เคยรับผิดชอบในช่วงการระบาดของโรคซาร์ส และไข้หวัดนก หากจะแก้ไขความวิตกกังวลของประชาชนได้รัฐบาลต้อง
1.พูดความจริง
2.ให้ความรู้กับประชาชน
3.ออกมาตรการที่เข้มข้น และลงมือทำอย่างจริงจัง
ที่จีนผู้นำของเขาเด็ดขาด ลงมากำกับการจัดการในครั้งนี้ด้วยตนเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ถ้าจะเอาอย่างก็ควรดูภาวะผู้นำของเขาในการจัดการเรื่องนี้อย่างฉับไว
ผู้นำควรเลิก #โทษประชาชน เลิกโยนความผิดต่างๆให้ประชาชน และหันมาบริหารประเทศอย่างมืออาชีพ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไป และปล่อยให้คนอื่นที่มีความสามารถ ได้เข้ามาดูแลประชาชน และทำงานเพื่อบ้านเมืองเถอะค่ะ
อย่าให้ประชาชนเขามองว่าเรามี #นายกทำงานไม่เป็น ปล่อยประชาชนไปตามยถากรรม และแก้ปัญหาด้วยการ สวดมนต์-วิงวอน-นอนไม่หลับ หรือพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ท่าเดียว ต่อไปเลยค่ะ
เรามีนักศึกษาและประชาชนไทย ที่เดือดร้อนอยู่ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เขตแพร่ระบาดของ #ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
เรามีกองทัพอากาศและบุคลากร ที่เตรียมพร้อมเพื่อช่วยเหลือประชาชน พร้อมขึ้นบินไปรับคนไทยที่เดือดร้อนทันที แต่ยังไม่ได้ไปเพราะ #รอนายกสั่งการ
เรามีรัฐบาลที่ถูกประชาชนตั้งชื่อว่าเป็น #รัฐบาลเฮงซวย เรามีผู้นำที่ #หลงตัวเอง #เก่งแต่โทษประชาชน และ #โยนความผิดให้ผู้อื่น โดยที่ไม่เคยมองเห็นความผิดของตนเอง
จึงทำให้ปัญหาต่างๆในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา หมักหมมและแก้ไขไม่ได้อย่างทันท่วงที สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง และมากขึ้นเรื่อยๆในทุกมิติ
ประเทศไทยของเรา เคยเจอปัญหาใหญ่กว่านี้หลายเท่า ตั้งแต่ โรคซาร์ส, ไข้หวัดนก, โรคระบาดอื่นๆ ตลอดจนคลื่นยักษ์สึนามิ
แต่รัฐบาลจากการเลือกตั้งในอดีต ได้มีการReactอย่างทันท่วงที จึงสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ จนผ่านพ้นไปได้ด้วยดีตลอดมา
จากประสบการณ์ที่เคยรับผิดชอบในช่วงการระบาดของโรคซาร์ส และไข้หวัดนก หากจะแก้ไขความวิตกกังวลของประชาชนได้รัฐบาลต้อง
1.พูดความจริง
2.ให้ความรู้กับประชาชน
3.ออกมาตรการที่เข้มข้น และลงมือทำอย่างจริงจัง
ที่จีนผู้นำของเขาเด็ดขาด ลงมากำกับการจัดการในครั้งนี้ด้วยตนเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ถ้าจะเอาอย่างก็ควรดูภาวะผู้นำของเขาในการจัดการเรื่องนี้อย่างฉับไว
ผู้นำควรเลิก #โทษประชาชน เลิกโยนความผิดต่างๆให้ประชาชน และหันมาบริหารประเทศอย่างมืออาชีพ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไป และปล่อยให้คนอื่นที่มีความสามารถ ได้เข้ามาดูแลประชาชน และทำงานเพื่อบ้านเมืองเถอะค่ะ
อย่าให้ประชาชนเขามองว่าเรามี #นายกทำงานไม่เป็น ปล่อยประชาชนไปตามยถากรรม และแก้ปัญหาด้วยการ สวดมนต์-วิงวอน-นอนไม่หลับ หรือพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ท่าเดียว ต่อไปเลยค่ะ
วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2563
อนุสรณ์ ชี้ แฮชแท็ก “รัฐบาลเฮงซวย” ขึ้นอันดับ 1 สะท้อน วิกฤตภาวะผู้นำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 26 มกราคม 2563 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี แฮชแท็ก “รัฐบาลเฮงซวย” ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับที่ 1 โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์ต่างแสดงความเห็นต่อการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 และไวรัสโคโรนาของรัฐบาล ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนด้วยใจเป็นธรรม ก่อนหน้านี้ แฮชแทก #เบื่อนายก ก็ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับที่ 1 มาแล้ว ถ้าแปลเป็นค่าคะแนนนิยมในตัวพล.อ.ประยุทธ์ อาจตกต่ำลงเรื่อยๆ ปัญหาเศรษฐกิจก็แก้แบบอิเหนาเมาหมัด เงินบาทแข็ง กระทบส่งออก ค่าครองชีพสูง หนี้ครัวเรือนวิกฤติ คนตกงาน เศรษฐกิจฐานรากกระทบ แจกเงินจนมึน แจกไปแจกมา แจกไปถึงต่างชาติจ้างให้มาเที่ยวเมืองไทย ด้านการเมือง สนิมเกิดจากเนื้อใน ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ ถูกตั้งคำถามว่าอุ้มคนทั้งรัฐบาล ตอนนี้อุ้มมาถึงสภา ต้องมาตามแก้ปัญหา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล เสียบบัตรแทนกัน จนอาจส่งผลให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณร่ายจ่ายประจำปี 2563 เป็นโมฆะ แล้วยังต้องไปเจอด่านหินอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านมีใบเสร็จเตรียมเช็คบิล ปัญหาสังคมและคุณภาพชีวิต ถูกตั้งคำถามว่าไม่มีศักยภาพการจัดการปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 และ ไวรัสโคโรนา ที่รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับประชาชน ว่า รัฐบาลสามารถบริหารจัดการ ป้องกัน แก้ไขได้ ซึ่งไม่น่าจะกลายเป็นความตื่นตระหนกขนาดนี้ แต่ท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เหมือนลอยแพและผลักภาระให้ประชาชนรับผิดชอบดูแลตัวเอง จึงทำให้แฮชแท็ก “รัฐบาลเฮงซวย” ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับที่ 1
“สถานการณ์สร้างผู้นํา พล.อ.ประยุทธ์ อย่าทำให้ประชาชนสิ้นหวัง จนกลายเป็นวิกฤตภาวะผู้นำ คนดีชอบแก้ไข อย่ามองทุกเรื่องเป็นการเมือง” นายอนุสรณ์ กล่าว
“วัฒนรักษ์” จี้ “ประยุทธ์” เร่งแก้ปัญหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 26 มกราคม 2563 ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า “ปัจจุบันจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ พบว่าประเทศไทยเป็นประเทศปลายทางที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสนี้มากที่สุด รองลงจากประเทศต้นทางคือประเทศจีน โดยข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) พบว่าการระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้มีที่มาจากสัตว์ และเชื่อว่า ต้นตอมาจากสัตว์ติดเชื้อที่ตลาดขายอาหารทะเลและสัตว์ป่าในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งคณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติจีน ยืนยันว่าการติดเชื้อสามารถติดต่อจากคนไปสู่คนได้ โดยเชื้อไวรัสโคโรนาชนิดนี้ถือว่าเป็นไวรัสตัวใหม่ที่พึ่งค้นพบ และเมื่ออยู่ในเซลล์ของมนุษย์ จะขยายตัว และเริ่มกลายพันธุ์จึงทำให้แพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นหากไม่มีการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีก็อาจจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้“
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวว่า “ในขณะนี้ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีนได้มีคำสั่งทัวร์จีนห้ามเที่ยวทั่วโลกประมาณ 2 เดือน ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนหายไปจากประเทศไทย 1.3 ล้านคน รายได้จากการท่องเที่ยวจะหายไปประมาณ 50,000 ล้านบาท และหากตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยยังคงเพิ่มขึ้นอีก ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวจากต่างชาติไม่กล้ามาประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ขาดรายได้จากการท่องเที่ยวไปอีกเป็นแสนล้านบาทซึ่งเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญของรายได้หลักของประเทศไทยนั้นมาจากการท่องเที่ยว ในตอนนี้คณะทำงานของประเทศจีนได้ทำงานกันอย่างหนักเพื่อหาทางควบคุมไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งขนาดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ยังแสดงความชื่นชมผ่านทวิตเตอร์ ว่า “สหรัฐขอชื่นชมในความพยายามและความโปร่งใสเป็นอย่างมาก ผลการทำงานทั้งหมดจะออกมาดี” โดยโรคซาร์ส และโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น ล้วนเป็นไวรัสที่มาจากตระกูลเดียวกัน และมีต้นตอมาจากประเทศจีน โดยในสมัยรัฐบาลของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร พรรคไทยรักไทย ก็สามารถควบคุมโรคซาร์สได้ และทำให้ไม่มีการแพร่ระบาดในประเทศไทย ดังนั้นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรเร่งหามาตราการในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ถ้าหากไม่สามารถหาแนวทางในการแก้ไขได้ ทางพรรคเพื่อไทยยินดีให้คำแนะนำ เพื่อแก้ไขให้ทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะที่ประเทศปลอดจากเชื้อดังกล่าว เพราะพรรคเพื่อไทยเล็งเห็นผลประโยชน์ของประเทศชาติและสุขภาพของคนไทยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563
"การุณ" สอน "ประยุทธ์" ยอมรับรัฐบาลมีทุจริต
นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่าจากการที่ตนได้พูดคุยกับทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารงานที่ผิดพลาดและปล่อยให้มีการทุจริตของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
ตนเองรับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้รับมาวิเคราะห์แล้วบอกได้คำเดียวว่าถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกเพราะรัฐบาลลุงตู่ที่บอกว่า ต้องการเข้ามาปราบโกง ดูแล้วถ้าจะไม่เป็นจริงเสียแล้ว เพราะทีมตรวจสอบพบว่าการทุจริตหนักอาจหนักกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาหลายรัฐบาลรวมกันเสียอีก
นอกจากนี้การการเข้าสู่ตำแหน่งของพลเอกประยุทธ์ทำให้ประเทศไทยต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง เช่น ความบิดเบี้ยวของกฎหมายและองค์กรอิสระ การใช้ภาษีประชาชนเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้พลเอกประยุทธ์สืบทอดอำนาจ คำครหาเรื่องการใช้ฝ่ายความมั่นคงไปข่มขู่ประชาชน การใช้จ่ายงบประมาณเอื้อให้กับพวกพ้อง รวมทั้งเรื่องสำคัญที่สุดก็คือการทุจริตที่ทำอย่างไม่เกรงใจประชาชน ซึ่งประเด็นเหล่านี้เมื่อประชาชนจับได้ พลเอกประยุทธ์ก็จะออกอาการโวยวายทวงบุญคุณก่อนใช้มุขหล่อชี้แจงว่าตนเองไม่เคยอยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต้องยอมลำบากเพราะไม่ต้องการให้ประเทศกลับไปสู่ความวุ่นวาย ประชาชนแตกแยก เหมือนที่เคยผ่านมา
นายการุณ กล่าวต่อว่า เกือบ6 ปีในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ ถึงวันนี้ส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติ อย่างหนัก ประชาชนมีความเป็นอยู่ลำบาก เศรษฐกิจพังพินาศ ตัวเลขคนตกงานจนถึงวันนี้หลายแสนคน คนฆ่าตัวตายรายวัน แต่พลเอกประยุทธ์ ไม่สนใจ เพราะต้องการนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนเป็นสถิติประเทศไทยเท่านั้น ส่วนประชาชนจะเป็นอย่างไรไม่ใช่ประเด็น
“การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ตนเองเชื่อว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะอธิบายให้ประชาชนได้รู้ความจริงที่พลเอกประยุทธ์ฝังไว้ ใต้ท็อปบู๊ท สิ่งที่พลเอกประยุทธ์คุยว่าทำงานหนักกว่าทุกรัฐบาล แต่พบว่าประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร กลับยิ่งจนลง ตรงข้ามกับนายทุน และคนใกล้ชิดพลเอกประยุทธ์ที่มีคำครหามาตลอดว่าหาประโยชน์จากภาษีประชาชน จนร่ำรวยกันถ้วนหน้า ตนเองไม่มั่นใจว่าพลเอกประยุทธ์ ไม่รู้หรือแกล้งโง่ ว่าวันนี้ประชาชนจนทั้งแผ่นดินจริงๆ ซึ่งตนเองคิดเร็วๆตอนนี้ว่าหากพล.อ.ประยุทธ์ เสียสละตัวเองด้วยการลาออกแล้วให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาฟื้นฟูประเทศ กอบกู้เศรษฐกิจโดยเร็ว ย่อมดีกว่าปล่อยให้พังด้วยมือของพลเอกประยุทธ์และคณะอย่างแน่นอน”
ตนเองรับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้รับมาวิเคราะห์แล้วบอกได้คำเดียวว่าถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกเพราะรัฐบาลลุงตู่ที่บอกว่า ต้องการเข้ามาปราบโกง ดูแล้วถ้าจะไม่เป็นจริงเสียแล้ว เพราะทีมตรวจสอบพบว่าการทุจริตหนักอาจหนักกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาหลายรัฐบาลรวมกันเสียอีก
นอกจากนี้การการเข้าสู่ตำแหน่งของพลเอกประยุทธ์ทำให้ประเทศไทยต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง เช่น ความบิดเบี้ยวของกฎหมายและองค์กรอิสระ การใช้ภาษีประชาชนเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้พลเอกประยุทธ์สืบทอดอำนาจ คำครหาเรื่องการใช้ฝ่ายความมั่นคงไปข่มขู่ประชาชน การใช้จ่ายงบประมาณเอื้อให้กับพวกพ้อง รวมทั้งเรื่องสำคัญที่สุดก็คือการทุจริตที่ทำอย่างไม่เกรงใจประชาชน ซึ่งประเด็นเหล่านี้เมื่อประชาชนจับได้ พลเอกประยุทธ์ก็จะออกอาการโวยวายทวงบุญคุณก่อนใช้มุขหล่อชี้แจงว่าตนเองไม่เคยอยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต้องยอมลำบากเพราะไม่ต้องการให้ประเทศกลับไปสู่ความวุ่นวาย ประชาชนแตกแยก เหมือนที่เคยผ่านมา
นายการุณ กล่าวต่อว่า เกือบ6 ปีในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ ถึงวันนี้ส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติ อย่างหนัก ประชาชนมีความเป็นอยู่ลำบาก เศรษฐกิจพังพินาศ ตัวเลขคนตกงานจนถึงวันนี้หลายแสนคน คนฆ่าตัวตายรายวัน แต่พลเอกประยุทธ์ ไม่สนใจ เพราะต้องการนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนเป็นสถิติประเทศไทยเท่านั้น ส่วนประชาชนจะเป็นอย่างไรไม่ใช่ประเด็น
“การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ตนเองเชื่อว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะอธิบายให้ประชาชนได้รู้ความจริงที่พลเอกประยุทธ์ฝังไว้ ใต้ท็อปบู๊ท สิ่งที่พลเอกประยุทธ์คุยว่าทำงานหนักกว่าทุกรัฐบาล แต่พบว่าประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร กลับยิ่งจนลง ตรงข้ามกับนายทุน และคนใกล้ชิดพลเอกประยุทธ์ที่มีคำครหามาตลอดว่าหาประโยชน์จากภาษีประชาชน จนร่ำรวยกันถ้วนหน้า ตนเองไม่มั่นใจว่าพลเอกประยุทธ์ ไม่รู้หรือแกล้งโง่ ว่าวันนี้ประชาชนจนทั้งแผ่นดินจริงๆ ซึ่งตนเองคิดเร็วๆตอนนี้ว่าหากพล.อ.ประยุทธ์ เสียสละตัวเองด้วยการลาออกแล้วให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาฟื้นฟูประเทศ กอบกู้เศรษฐกิจโดยเร็ว ย่อมดีกว่าปล่อยให้พังด้วยมือของพลเอกประยุทธ์และคณะอย่างแน่นอน”
"ชูศักดิ์" สวน "วิษณุ" กดบัตรแทนกัน ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
"ชูศักดิ์" สวน "วิษณุ" ปม ส.ส.รัฐบาลเสียบบัตรแทนกันตัองใช้บรรทัดฐานเดียวกับสมัย "ยิ่งลักษณ์" เพราะประเด็นอยู่ทึ่ว่าร่างพ.ร.บ.งบฯตราขึ้นโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ส่วนใครเป็นคนกดบัตร เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและประธานคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรค ได้ให้ความเห็นต่อกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันของ ส.ส.ในการพิจารณาร่าง พรบ.ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กับ กรณีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563
โดยนายวิษณุ เห็นว่ามีความแตกต่างกันและอาจมีผลที่ต่างกัน ซึ่งไม่อาจนำบรรทัดฐานคำวินิจฉัยเดิมมาใช้ได้นั้น
นายชูศักดิ์ ได้กล่าวว่า หากพิจารณาหลักเกณฑ์การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง(1) ที่ให้สิทธิ ส.ส.หรือ ส.ว.หรือทั้ง ส.ส.และ ส.ว.จำนวนหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภานั้นหรือประธานรัฐสภา เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่าง พรบ. นั้น จะมีสองกรณี กล่าวคือ
กรณีแรก ร่าง พรบ.นั้นตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ อันเป็นการตรวจสอบเกี่ยวกับกระบวนการตราร่าง พรบ.
กรณีที่สอง ร่าง พรบ.นั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ อันเป็นการตรวจสอบเกี่ยวกับเนื้อหาของร่าง พรบ.
ความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่าง พรบ.หากเป็นกรณีแรก ถือว่าร่าง พรบ.นั้นตกไปทั้งฉบับ เพราะตราขึ้นโดยไม่ชอบ แต่หากเป็นกรณีที่สอง จะต้องพิจารณาว่าข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้นเป็นสาระสำคัญของร่าง พรบ.นั้นหรือไม่ ถ้าเป็นสาระสำคัญก็ถือว่าร่าง พรบ.นั้นตกไปทั้งฉบับ แต่ถ้าไม่ใช่สาระสำคัญ ก็ตกไปเฉพาะข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเท่านั้น
กรณีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 3-4/2557 ว่าร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ....ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
โดยในส่วนที่เห็นว่า ร่าง พรบ.ดังกล่าวตราขึ้นโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้นมาจาก การที่มี ส.ส.ใช้บัตร ส.ส.อื่นลงคะแนนแทนกัน เมื่อเปรียบเทียบกับการพิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณฯ พ.ศ.2563 ซึ่งมีข้อเท็จจริงว่ามี ส.ส.กดบัตรลงคะแนนแทนกันจริงตามที่เลขาธิการสภาฯได้ตรวจสอบ แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นผู้ใดก็ตาม แต่ก็ถือว่ากระบวนการตราร่าง พรบ.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ส่วนการตรวจสอบต่อไปว่าผู้ใดเป็นคนกดบัตรแทนโดยกระทำไปโดยพลการหรือมีการมอบหมายหรือไม่นั้นเป็นเรื่องการหาตัวผู้กระทำผิดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้บรรทัดฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ตามคำวินิจฉัยข้างต้นจึงยังนำมาใช้ได้
ดังนั้น การที่นายวิษณุอ้างว่าเป็นคนละกรณีกัน ความผิดต่างกัน โทษต่างกัน และผลต่างกัน จึงไม่น่าจะถูกต้อง ส่วนที่อ้างว่ามีการเสียบบัตรทิ้งไว้โดยที่เจ้าของไม่ได้มอบหมายหรือวานให้กดแทน นอกจากเป็นการแก้ตัวแทน ส.ส.ฝ่ายตนเองแล้ว ก็ไม่อาจนำมาอ้างได้ เพราะกระบวนการตราร่าง พรบ.ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ต้องพิจารณาจากตัวข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่ามีการกดบัตรแทนกันหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎชัดว่ามีการกดบัตรแทนกันแม้ยังไม่ปรากฏชื่อผู้กระทำแต่ถือว่ากระบวนการไม่ชอบแล้ว ยิ่งนายวิษณุไปอ้างถึงความบกพร่องของเครื่องก็ยิ่งไปกันใหญ่
สำหรับประเด็นที่นายวิษณุอ้างว่า ลำพังเพียงกระบวนการตราร่าง พรบ.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่ทำให้ร่างกฎหมายตกไป อาจเป็นการตีความกฎหมายที่เข้าข้างตนเองและผิดไปจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 148 วรรคหนึ่ง(1) ทั้งนี้เพราะเมื่อกระบวนการตราร่าง พรบ.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ต้องถือว่ามติของสภาผู้แทนราษฏรในกระบวนการตราร่างพรบ.ดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อันมีผลให้ร่าง พรบ.นั้นตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ร่าง พรบ.จึงต้องตกไปทั้งฉบับ
นายชูศักดิ์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยทุกวันนี้ที่มีความขัดแย้งกันมายาวนาน ส่วนหนึ่งก็มาจากการบังคับใช้กฎหมายและตีความกฎหมายที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน ยิ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองยิ่งควรทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และบังคับใช้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ควรมีการบิดเบือนหรือใช้อภินิหารทางกฎหมายบ่อยนัก เพราะจะทำให้ชาติบ้านเมืองเดินไปลำบาก /////
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและประธานคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรค ได้ให้ความเห็นต่อกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันของ ส.ส.ในการพิจารณาร่าง พรบ.ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กับ กรณีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563
โดยนายวิษณุ เห็นว่ามีความแตกต่างกันและอาจมีผลที่ต่างกัน ซึ่งไม่อาจนำบรรทัดฐานคำวินิจฉัยเดิมมาใช้ได้นั้น
นายชูศักดิ์ ได้กล่าวว่า หากพิจารณาหลักเกณฑ์การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง(1) ที่ให้สิทธิ ส.ส.หรือ ส.ว.หรือทั้ง ส.ส.และ ส.ว.จำนวนหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภานั้นหรือประธานรัฐสภา เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่าง พรบ. นั้น จะมีสองกรณี กล่าวคือ
กรณีแรก ร่าง พรบ.นั้นตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ อันเป็นการตรวจสอบเกี่ยวกับกระบวนการตราร่าง พรบ.
กรณีที่สอง ร่าง พรบ.นั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ อันเป็นการตรวจสอบเกี่ยวกับเนื้อหาของร่าง พรบ.
ความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่าง พรบ.หากเป็นกรณีแรก ถือว่าร่าง พรบ.นั้นตกไปทั้งฉบับ เพราะตราขึ้นโดยไม่ชอบ แต่หากเป็นกรณีที่สอง จะต้องพิจารณาว่าข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้นเป็นสาระสำคัญของร่าง พรบ.นั้นหรือไม่ ถ้าเป็นสาระสำคัญก็ถือว่าร่าง พรบ.นั้นตกไปทั้งฉบับ แต่ถ้าไม่ใช่สาระสำคัญ ก็ตกไปเฉพาะข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเท่านั้น
กรณีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 3-4/2557 ว่าร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ....ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
โดยในส่วนที่เห็นว่า ร่าง พรบ.ดังกล่าวตราขึ้นโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้นมาจาก การที่มี ส.ส.ใช้บัตร ส.ส.อื่นลงคะแนนแทนกัน เมื่อเปรียบเทียบกับการพิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณฯ พ.ศ.2563 ซึ่งมีข้อเท็จจริงว่ามี ส.ส.กดบัตรลงคะแนนแทนกันจริงตามที่เลขาธิการสภาฯได้ตรวจสอบ แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นผู้ใดก็ตาม แต่ก็ถือว่ากระบวนการตราร่าง พรบ.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ส่วนการตรวจสอบต่อไปว่าผู้ใดเป็นคนกดบัตรแทนโดยกระทำไปโดยพลการหรือมีการมอบหมายหรือไม่นั้นเป็นเรื่องการหาตัวผู้กระทำผิดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้บรรทัดฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ตามคำวินิจฉัยข้างต้นจึงยังนำมาใช้ได้
ดังนั้น การที่นายวิษณุอ้างว่าเป็นคนละกรณีกัน ความผิดต่างกัน โทษต่างกัน และผลต่างกัน จึงไม่น่าจะถูกต้อง ส่วนที่อ้างว่ามีการเสียบบัตรทิ้งไว้โดยที่เจ้าของไม่ได้มอบหมายหรือวานให้กดแทน นอกจากเป็นการแก้ตัวแทน ส.ส.ฝ่ายตนเองแล้ว ก็ไม่อาจนำมาอ้างได้ เพราะกระบวนการตราร่าง พรบ.ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ต้องพิจารณาจากตัวข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่ามีการกดบัตรแทนกันหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎชัดว่ามีการกดบัตรแทนกันแม้ยังไม่ปรากฏชื่อผู้กระทำแต่ถือว่ากระบวนการไม่ชอบแล้ว ยิ่งนายวิษณุไปอ้างถึงความบกพร่องของเครื่องก็ยิ่งไปกันใหญ่
สำหรับประเด็นที่นายวิษณุอ้างว่า ลำพังเพียงกระบวนการตราร่าง พรบ.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่ทำให้ร่างกฎหมายตกไป อาจเป็นการตีความกฎหมายที่เข้าข้างตนเองและผิดไปจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 148 วรรคหนึ่ง(1) ทั้งนี้เพราะเมื่อกระบวนการตราร่าง พรบ.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ต้องถือว่ามติของสภาผู้แทนราษฏรในกระบวนการตราร่างพรบ.ดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อันมีผลให้ร่าง พรบ.นั้นตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ร่าง พรบ.จึงต้องตกไปทั้งฉบับ
นายชูศักดิ์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยทุกวันนี้ที่มีความขัดแย้งกันมายาวนาน ส่วนหนึ่งก็มาจากการบังคับใช้กฎหมายและตีความกฎหมายที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน ยิ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองยิ่งควรทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และบังคับใช้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ควรมีการบิดเบือนหรือใช้อภินิหารทางกฎหมายบ่อยนัก เพราะจะทำให้ชาติบ้านเมืองเดินไปลำบาก /////
"จิรายุ" ป้อง "สุดารัตน์" ไม่ถือ เสียงตำหนิ
"จิรายุ" ดีดปากโทรโข่งเน่า พลังประชารัฐแนะใช้มือทำงานให้มากกว่าใช้ปากแก้ PM2.5 เพราะอากาศเสียมีเยอะแล้วชี้ควรไปแนะนำผู้นำประเทศใจกว้างรับฟังคำติชมและตั้งใจทำงานอย่างจริงจังถ้าไม่ไหวก็ควรกลับไปเลี้ยงหลาน
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐออกมาฟาดใส่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ในกรณีที่ไปช่วยเหลือประชาชนแจกหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันผลกระทบจากความไม่เหลียวแลและสนใจของรัฐบาล ต่อค่าฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
ซึ่งการออกมาพูดเช่นนี้ของโฆษกพรรครัฐบาลถือเป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่ธรรมเนียมประเพณีการเมืองของพรรครัฐบาล ที่มีความเป็นสุภาพบุรุษจะไม่ใช้วิธีการเช่นนี้ เพราะการทำงานของฝ่ายค้านที่ช่วยเหลือประชาชนเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน
ที่ผ่านมาตนไม่เห็นว่า นายธนากร มีอะไรไปแจกประชาชนในช่วงฝุ่นพิษ นอกจากออกมาใช้ลมปากเพิ่ม มลพิษ ทั้งๆที่ฝ่ายค้านทำงานช่วยเหลือประชาชน ทั้งเสนอแนะตามระบอบรัฐสภา และลงช่วยเหลืออย่างจริงจังต่อพี่น้องประชาชนทั้งนี้ควรจะมา กราบขอบพระคุณ
นายจิรายุกล่าวว่า โฆษกพรรคพลังประชารัฐต้องตักเตือนผู้นำประเทศว่าให้สนใจพี่น้องประชาชนคนไทยให้มากขึ้น พูดให้น้อยและทำให้เป็นรูปธรรมให้เยอะประชาชนจะได้ประโยชน์
อย่าเที่ยวไปตำหนิคนอื่นที่เขาช่วยเหลือประชาชนเพราะวันนี้มลพิษพีเอ็ม 2.5ก็มากพออยู่แล้วอย่าให้ลมปากมาเพิ่มอากาศเสียให้กับประชาชน
นายจิรายุกล่าวอีกว่าถ้ารัฐบาลตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนจริง อย่างที่นายธนากร มาอวดอ้างสรรพคุณ3ปีมานี้คงไม่มีปัญหาแบบนี้เหตุไฉนประชาชนเขาจึงด่ากันทั้งประเทศ
ครม. ตั้งแต่ปี60 ก็ทำเป็นสนใจ มาปี61 ก็เหมือนเดิม 62 หัวโต้ะก็คนเดิม มีการติดตามงานหรือไม่และมีผล อย่างเป็นรูปธรรมขนาดไหนเรื่องอย่างนี้นายธนากรควรจะออกมาบอกสังคมมากกว่าไปแขวะ คนอื่น อย่าปล่อยให้ชาวบ้านเขาเบื่อหน่ายรัฐบาลมากไปกว่านี้ทำงานให้เยอะพูดให้น้อยจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่า
วันนี้รัฐบาลต้องใช้มือทำงานและควรทำอย่างจริงจังไม่ใช่แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆการไปตำหนิติเตียนแกนนำพรรคฝ่ายค้านถือว่าไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษจ้องแต่จะเล่นการเมืองปกป้องนายเพื่อรักษาเก้าอี้ตนเองเท่านั้น
ซึ่งจริงๆแล้วคุณหญิงฯท่านก็ไม่ถือ เพราะท่านถือคติขับรถเข้าซอยย่อมมีหมาเห่าเป็นธรรมดา จะลงไปเตะปากหมาทุกตัวคงจะไม่ใช่วิสัย
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐออกมาฟาดใส่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ในกรณีที่ไปช่วยเหลือประชาชนแจกหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันผลกระทบจากความไม่เหลียวแลและสนใจของรัฐบาล ต่อค่าฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
ซึ่งการออกมาพูดเช่นนี้ของโฆษกพรรครัฐบาลถือเป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่ธรรมเนียมประเพณีการเมืองของพรรครัฐบาล ที่มีความเป็นสุภาพบุรุษจะไม่ใช้วิธีการเช่นนี้ เพราะการทำงานของฝ่ายค้านที่ช่วยเหลือประชาชนเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน
ที่ผ่านมาตนไม่เห็นว่า นายธนากร มีอะไรไปแจกประชาชนในช่วงฝุ่นพิษ นอกจากออกมาใช้ลมปากเพิ่ม มลพิษ ทั้งๆที่ฝ่ายค้านทำงานช่วยเหลือประชาชน ทั้งเสนอแนะตามระบอบรัฐสภา และลงช่วยเหลืออย่างจริงจังต่อพี่น้องประชาชนทั้งนี้ควรจะมา กราบขอบพระคุณ
นายจิรายุกล่าวว่า โฆษกพรรคพลังประชารัฐต้องตักเตือนผู้นำประเทศว่าให้สนใจพี่น้องประชาชนคนไทยให้มากขึ้น พูดให้น้อยและทำให้เป็นรูปธรรมให้เยอะประชาชนจะได้ประโยชน์
อย่าเที่ยวไปตำหนิคนอื่นที่เขาช่วยเหลือประชาชนเพราะวันนี้มลพิษพีเอ็ม 2.5ก็มากพออยู่แล้วอย่าให้ลมปากมาเพิ่มอากาศเสียให้กับประชาชน
นายจิรายุกล่าวอีกว่าถ้ารัฐบาลตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนจริง อย่างที่นายธนากร มาอวดอ้างสรรพคุณ3ปีมานี้คงไม่มีปัญหาแบบนี้เหตุไฉนประชาชนเขาจึงด่ากันทั้งประเทศ
ครม. ตั้งแต่ปี60 ก็ทำเป็นสนใจ มาปี61 ก็เหมือนเดิม 62 หัวโต้ะก็คนเดิม มีการติดตามงานหรือไม่และมีผล อย่างเป็นรูปธรรมขนาดไหนเรื่องอย่างนี้นายธนากรควรจะออกมาบอกสังคมมากกว่าไปแขวะ คนอื่น อย่าปล่อยให้ชาวบ้านเขาเบื่อหน่ายรัฐบาลมากไปกว่านี้ทำงานให้เยอะพูดให้น้อยจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่า
วันนี้รัฐบาลต้องใช้มือทำงานและควรทำอย่างจริงจังไม่ใช่แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆการไปตำหนิติเตียนแกนนำพรรคฝ่ายค้านถือว่าไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษจ้องแต่จะเล่นการเมืองปกป้องนายเพื่อรักษาเก้าอี้ตนเองเท่านั้น
ซึ่งจริงๆแล้วคุณหญิงฯท่านก็ไม่ถือ เพราะท่านถือคติขับรถเข้าซอยย่อมมีหมาเห่าเป็นธรรมดา จะลงไปเตะปากหมาทุกตัวคงจะไม่ใช่วิสัย
"อนุสรณ์" แนะรัฐรับผิดชอบ อันดับทุจริตพุ่ง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี องค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ( Transparency International) ได้ประกาศค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตปี 2019 ทั้งหมด 180 ประเทศ โดยประเทศไทย ตกลงไปอยู่อันดับ 101 จนถูกประเทศเพื่อนบ้านแซง ว่า อันดับที่ออกมาสอดรับกับผลงานการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม อยู่มา 5-6 ปี ไม่สามารถไปโยนบาปให้ใคร หรือโทษรัฐบาลไหนได้แล้ว รัฐบาลต้องมีคำตอบว่า เหตุใดอันดับในเรื่องความโปร่งใส ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศไทยจึงตกต่ำลง เหตุผลหนึ่งที่มักใช้เป็นข้ออ้างในการทำไอโอเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำรัฐประหาร คือเข้ามาปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ยิ่งอยู่นาน นอกจากอันดับจะไม่ดีขึ้นแล้วยังตกต่ำลงอย่างน่าใจหายจนถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงเกือบหมดภูมิภาค องค์กรตรวจสอบที่มี ถูกตั้งคำถามว่า ทำหน้าที่เป็นตราประทับ สารฟอกขาว หรือเป็นองค์กรตรวจสอบที่เข้มข้นตรงไปตรงมา ผลอันดับและค่าคะแนนที่ออกมา เป็นวิทยาศาสตร์ ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร คนดีชอบแก้ไข รัฐบาลไม่มีทางเลือก นอกจากยอมรับกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นและลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่มี ไม่สามารถคาดหวังได้ว่า จะสามารถต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นได้หรือไม่ เพราะ5-6ปี ที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า รัฐบาลนี้ล้มเหลวในเรื่องความโปร่งใสและการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น จนถูกตั้งคำถามว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่นเชิงอำนาจ คอร์รัปชั่นกระบวนการยุติธรรม กลุ่มผู้สนับสนุนและเครือข่ายในระบอบประยุทธ์ ยังเชื่ออยู่จริงหรือว่า รัฐบาลนี้ไม่มีเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่น
"การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านมีหลักฐาน ใบเสร็จที่จะแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลนี้มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสและการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น"นายอนุสรณ์ กล่าว
"สมคิด" สั่ง "วิษณุ" หุบปาก-ชี้โทษกดบัตรแทนกัน ตัดสิทธิ์20ปี
“เพื่อไทย” ชี้กดบัตรแทนหากผิดจริงตัดสิทธิ 20 ปี แนะ “วิษณุ” หยุดพูดยิ่งพูดยิ่งทำลายความน่าเชื่อถือรัฐบาล
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ วิปฝ่ายค้าน เปิดเผยถึงกรณีที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ถึงกรณีการเสียบบัตรลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 แทนกันของสมาชิกพรรคภูมิใจไทย จนอาจทำให้การประกาศใช้พ.ร.บ.งบฯ ล่าช้าออกไป ว่า
กรณีนี้ขอให้แยกออกเป็นสองเรื่อง คือ เคยมีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ใน 2 เรื่อง เรื่องแรกเมื่อปี 2556 อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2557 สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นประเด็นที่จะต้องนำไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยในอดีตไม่ได้เป็นบรรทัดฐาน 100% ต่อคดีในปัจจุบันทุกกรณี เว้นแต่ศาลจะมองว่าเป็นรูปแบบเดียวกัน เพราะบางเรื่องกฎหมายก็ต่างกัน
การให้ความเห็นทางกฎหมายของนายวิษณุเป็นการให้ความเห็นที่ขาดหลักเกณฑ์ทางกฎหมายรองรับ คนเป็นนักกฎหมายอย่าไปรับรองในเรื่องที่ยังไม่รู้จริง สิ่งที่ยังไม่เห็นจริง การพูดของนายวิษณุ ถือว่าเป็นการชี้นำ เพราะทุกครั้งที่นายวิษณุพูดการตัดสินขององค์กรอิสระมักจะออกมาในทิศทางเดียวกันกับที่นายวิษณุเคยให้ความเห็นไว้
ดังนั้นจึงมองว่าทุกวันนี้ประเทศไทยไม่มีกฎหมายแล้วหรือถึงเอาความของคนคนเดียวทำทุกอย่างได้ แบบนี้อาจส่งผลให้สังคมเกิดความปั่นป่วนได้ ทั้งนี้การให้ความเห็นของนายวิษณุทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลงไป ไม่เหลือความน่าเชื่อถือแล้ว ขอแนะนำให้นายวิษณุหยุดพูด ไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีใครเชื่อถือนายวิษณุอีกแล้ว
นายสมคิด กล่าวด้วยว่า คนอย่างนายวิษณุ ดีกรีระดับศาสตราจารย์ไม่รู้จะบอกอย่างไร นายวิษณุคงสับสนเพราะต้องช่วยเหลือรัฐบาลจนไม่สนใจหลักกฎหมายแล้ว ส่งผลให้ทุกอย่างเพี้ยนไปหมด มาอ้างคนละกรณีกับสมัยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เคยมีการกล่าวหามีการเสียบบัตรแทนกัน และนำไปสู่การพิจารณาคดีในศาลรัฐธรรมนูญจนพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินว่ากระบวนการในการออกพระราชบัญญัติไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ก็ไม่ต่างกันเพราะไม่ว่าจะกรณีไหนหากพบความผิดก็ต้องตรวจสอบ ต้องมีการสอบสวน กรณีพรรคเพื่อไทยถูกฟ้อง 4 คน ยกฟ้องไป 3 คน ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการนี้หมดไม่เข้าใจว่านายวิษณุไปแอ่นอกรับผิดชอบทำไม
“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นกรณีเดียวกัน ข้อกฎหมายเดียวกัน และในรัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่าการกระทำของส.ส.พรรคจะส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคมีความผิดเช่นเดียวกัน หากสอบแล้วพบว่ามีความผิดจริงกรรมการบริหารพรรคการเมืองต้องรับโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี เพราะกดบัตรแทนกันไม่ว่ากรณีไหนก็คือความผิดเช่นเดียวกันไม่มีข้อยกเว้น”
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ วิปฝ่ายค้าน เปิดเผยถึงกรณีที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ถึงกรณีการเสียบบัตรลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 แทนกันของสมาชิกพรรคภูมิใจไทย จนอาจทำให้การประกาศใช้พ.ร.บ.งบฯ ล่าช้าออกไป ว่า
กรณีนี้ขอให้แยกออกเป็นสองเรื่อง คือ เคยมีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ใน 2 เรื่อง เรื่องแรกเมื่อปี 2556 อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2557 สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นประเด็นที่จะต้องนำไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยในอดีตไม่ได้เป็นบรรทัดฐาน 100% ต่อคดีในปัจจุบันทุกกรณี เว้นแต่ศาลจะมองว่าเป็นรูปแบบเดียวกัน เพราะบางเรื่องกฎหมายก็ต่างกัน
การให้ความเห็นทางกฎหมายของนายวิษณุเป็นการให้ความเห็นที่ขาดหลักเกณฑ์ทางกฎหมายรองรับ คนเป็นนักกฎหมายอย่าไปรับรองในเรื่องที่ยังไม่รู้จริง สิ่งที่ยังไม่เห็นจริง การพูดของนายวิษณุ ถือว่าเป็นการชี้นำ เพราะทุกครั้งที่นายวิษณุพูดการตัดสินขององค์กรอิสระมักจะออกมาในทิศทางเดียวกันกับที่นายวิษณุเคยให้ความเห็นไว้
ดังนั้นจึงมองว่าทุกวันนี้ประเทศไทยไม่มีกฎหมายแล้วหรือถึงเอาความของคนคนเดียวทำทุกอย่างได้ แบบนี้อาจส่งผลให้สังคมเกิดความปั่นป่วนได้ ทั้งนี้การให้ความเห็นของนายวิษณุทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลงไป ไม่เหลือความน่าเชื่อถือแล้ว ขอแนะนำให้นายวิษณุหยุดพูด ไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีใครเชื่อถือนายวิษณุอีกแล้ว
นายสมคิด กล่าวด้วยว่า คนอย่างนายวิษณุ ดีกรีระดับศาสตราจารย์ไม่รู้จะบอกอย่างไร นายวิษณุคงสับสนเพราะต้องช่วยเหลือรัฐบาลจนไม่สนใจหลักกฎหมายแล้ว ส่งผลให้ทุกอย่างเพี้ยนไปหมด มาอ้างคนละกรณีกับสมัยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เคยมีการกล่าวหามีการเสียบบัตรแทนกัน และนำไปสู่การพิจารณาคดีในศาลรัฐธรรมนูญจนพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินว่ากระบวนการในการออกพระราชบัญญัติไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ก็ไม่ต่างกันเพราะไม่ว่าจะกรณีไหนหากพบความผิดก็ต้องตรวจสอบ ต้องมีการสอบสวน กรณีพรรคเพื่อไทยถูกฟ้อง 4 คน ยกฟ้องไป 3 คน ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการนี้หมดไม่เข้าใจว่านายวิษณุไปแอ่นอกรับผิดชอบทำไม
“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นกรณีเดียวกัน ข้อกฎหมายเดียวกัน และในรัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่าการกระทำของส.ส.พรรคจะส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคมีความผิดเช่นเดียวกัน หากสอบแล้วพบว่ามีความผิดจริงกรรมการบริหารพรรคการเมืองต้องรับโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี เพราะกดบัตรแทนกันไม่ว่ากรณีไหนก็คือความผิดเช่นเดียวกันไม่มีข้อยกเว้น”
"ทวี" อัดรัฐ กดบัตรแทนกัน เป็นการคอรัปชั่น
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ส.ส.การเสียบบัตรแทนกัน คือการโกงประชาชนที่ถูกจับได้
เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2563 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International - TI) ได้เผยผลการจัดอันดับภาพลักษณ์คอรัปชั่นในภาครัฐของหลายประเทศทั่วโลกประจำปี 2562 (CORRUPTION PERCEPTIONS INDEX 2019) โดยสำหรับประเทศไทยพบอยู่ในอันดับที่ 101 จากทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลก ได้ 36 คะแนนจากเต็ม 100 ถือว่าเป็นความล้มเหลวด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐในการบริหารงานของพล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีตลอด 5 ปีเศษติดต่อกันที่ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นได้
ภาพลักษณ์การคอรัปชั่นของฝ่ายรัฐบาล ยิ่งฉาวโฉ่ เมื่อมี ส.ส.พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล คือจากพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมารับสารภาพว่าได้มีการเสียบบัตรแทนกันขึ้นในการลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ที่เพิ่งผ่านไป ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำผิด และขาดความรับผิดชอบอย่างร้ายแรง เพราะการเสียบบัตรแทนกันนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยเมื่อปี พ.ศ.2556 ว่า
เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น ส.ส. ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือการครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ ยังขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่ ส.ส. ได้ปฏิญาณตนไว้ และขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ ที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนนมีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนน ส.ส. ในการประชุมพิจารณานั้น เป็นการออกเสียงลงคะแนนไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย
ประสบการณ์ส่วนตัวเห็นว่า ในเรื่อง “หน้าที่ความรับผิดชอบ” นั้นมีความสำคัญยิ่งในทุกอาชีพ หรือในความเป็นมนุษย์ หากมีผู้การละเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่รับผิดชอบต้องถือว่าเป็นการโกงและคอรัปชั่นด้วย ซึ่งการโกงและคอรัปชั่นนั้น มรว คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เคยนิยามไว้สั้นๆ ว่า “การโกงคือคอรัปชั่นที่จับได้ ส่วนคอรัปชั่นคือการโกงที่จับไม่ได้ ” ซึ่งผู้มีหน้าที่ความรับผิดชอบแล้วละเลยไม่ทำหน้าที่รับผิดชอบก็คือการรอวันเวลาแห่งความพินาศติดตามมา นั้นเอง
ส.ส.การเสียบบัตรแทนกัน คือการโกงประชาชนที่ถูกจับได้
เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2563 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International - TI) ได้เผยผลการจัดอันดับภาพลักษณ์คอรัปชั่นในภาครัฐของหลายประเทศทั่วโลกประจำปี 2562 (CORRUPTION PERCEPTIONS INDEX 2019) โดยสำหรับประเทศไทยพบอยู่ในอันดับที่ 101 จากทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลก ได้ 36 คะแนนจากเต็ม 100 ถือว่าเป็นความล้มเหลวด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐในการบริหารงานของพล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีตลอด 5 ปีเศษติดต่อกันที่ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นได้
ภาพลักษณ์การคอรัปชั่นของฝ่ายรัฐบาล ยิ่งฉาวโฉ่ เมื่อมี ส.ส.พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล คือจากพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมารับสารภาพว่าได้มีการเสียบบัตรแทนกันขึ้นในการลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ที่เพิ่งผ่านไป ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำผิด และขาดความรับผิดชอบอย่างร้ายแรง เพราะการเสียบบัตรแทนกันนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยเมื่อปี พ.ศ.2556 ว่า
เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น ส.ส. ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือการครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ ยังขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่ ส.ส. ได้ปฏิญาณตนไว้ และขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ ที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนนมีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนน ส.ส. ในการประชุมพิจารณานั้น เป็นการออกเสียงลงคะแนนไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย
ประสบการณ์ส่วนตัวเห็นว่า ในเรื่อง “หน้าที่ความรับผิดชอบ” นั้นมีความสำคัญยิ่งในทุกอาชีพ หรือในความเป็นมนุษย์ หากมีผู้การละเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่รับผิดชอบต้องถือว่าเป็นการโกงและคอรัปชั่นด้วย ซึ่งการโกงและคอรัปชั่นนั้น มรว คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เคยนิยามไว้สั้นๆ ว่า “การโกงคือคอรัปชั่นที่จับได้ ส่วนคอรัปชั่นคือการโกงที่จับไม่ได้ ” ซึ่งผู้มีหน้าที่ความรับผิดชอบแล้วละเลยไม่ทำหน้าที่รับผิดชอบก็คือการรอวันเวลาแห่งความพินาศติดตามมา นั้นเอง
"ชลน่าน" แนะ "ประยุทธ์" ลาออก
“หมอชลน่าน” แนะ “ประยุทธ์” ลาออกหลังอภิปราย เผยพรรคฝ่ายค้านลับมีดเปิดสภาเชือดรายบุคคลต้นกุมภาฯ
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กรณีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมยื่นต่อรัฐสภาเพื่อขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีการเตรียมการไว้พร้อมคาดว่าจะมีการยื่นญัตติต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ไม่เกินวันที่ 29 มกราคม 2563 ทั้งนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาดคาดว่าทางสภาจะบรรจุญัตติและเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์
ในส่วนของเนื้อหาและข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ประเด็นที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะเปิดแผลสำคัญของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล เชื่อว่าเมื่อประชาชนได้ฟังการอภิปรายแล้วจะทราบถึงความล้มเหลว ความไร้ประสิทธิภาพ สิ่งที่รัฐบาลได้กระทำมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ไม่มีการตรวจสอบ ตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ 1 จนมาถึงรัฐบาลประยุทธ์ 2 ที่ทำงานต่อเนื่องกันมา เชื่อว่าหลังจากประชาชนได้ฟังได้ยินแล้วจะเห็นภาพความล้มของเหลวรัฐบาลแน่นอน เพราะสิ่งที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ทำมาจนถึงวันนี้ส่งผลเสียหายต่อชาติอย่างไร
นายแพทย์ ชลน่าน กล่าวต่อว่า จากกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีออกมาบอกว่าการกล่าวหาของพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นการก่อหาลอยๆไร้หลักฐาน นั้น ขอให้รอฟังในสภา พรรคร่วมฝ่ายค้านจะฉายภาพให้เห็นถึงความเลวร้ายของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา ว่า ไม่ใช่การพูดลอยๆ การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการกล่าวหารัฐบาลต้องมาแก้ข้อกล่าวหา แต่หลักฐานที่พรรคร่วมฝ่ายค้านมีคือความเสียหายจากการบริหารงานคิดเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท แล้วจะสูญเสียมากขึ้นหาปล่อยให้บริหารงานต่อไป
“การอภิปรายจะชี้ให้เห็นชัดเจนถึงความล้มเหลวและการแสวงหาประโยชน์จากเงินงบประมาณ ส่วนจะเป็นจากโครงการอะไร ที่ไหน ขอให้รอฟังการอภิปราย ทั้งนี้ถ้าแผลของรัฐบาลมันเน่า จนเป็นเนื้อร้ายหากรัฐบาลไม่ทำอะไร ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่ผิด ไม่ออก ไม่ปรับคณะรัฐมนตรี ก็เชื่อว่าประชาชนคงไม่ยอมแน่ ดังนั้นถ้าพลเอกประยุทธ์ เห็นแก่ประเทศชาติและประชาชนควรลาออก แล้วจะกลับมาใหม่ไม่ว่ากันแต่ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น”
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กรณีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมยื่นต่อรัฐสภาเพื่อขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีการเตรียมการไว้พร้อมคาดว่าจะมีการยื่นญัตติต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ไม่เกินวันที่ 29 มกราคม 2563 ทั้งนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาดคาดว่าทางสภาจะบรรจุญัตติและเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์
ในส่วนของเนื้อหาและข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ประเด็นที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะเปิดแผลสำคัญของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล เชื่อว่าเมื่อประชาชนได้ฟังการอภิปรายแล้วจะทราบถึงความล้มเหลว ความไร้ประสิทธิภาพ สิ่งที่รัฐบาลได้กระทำมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ไม่มีการตรวจสอบ ตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ 1 จนมาถึงรัฐบาลประยุทธ์ 2 ที่ทำงานต่อเนื่องกันมา เชื่อว่าหลังจากประชาชนได้ฟังได้ยินแล้วจะเห็นภาพความล้มของเหลวรัฐบาลแน่นอน เพราะสิ่งที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ทำมาจนถึงวันนี้ส่งผลเสียหายต่อชาติอย่างไร
นายแพทย์ ชลน่าน กล่าวต่อว่า จากกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีออกมาบอกว่าการกล่าวหาของพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นการก่อหาลอยๆไร้หลักฐาน นั้น ขอให้รอฟังในสภา พรรคร่วมฝ่ายค้านจะฉายภาพให้เห็นถึงความเลวร้ายของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา ว่า ไม่ใช่การพูดลอยๆ การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการกล่าวหารัฐบาลต้องมาแก้ข้อกล่าวหา แต่หลักฐานที่พรรคร่วมฝ่ายค้านมีคือความเสียหายจากการบริหารงานคิดเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท แล้วจะสูญเสียมากขึ้นหาปล่อยให้บริหารงานต่อไป
“การอภิปรายจะชี้ให้เห็นชัดเจนถึงความล้มเหลวและการแสวงหาประโยชน์จากเงินงบประมาณ ส่วนจะเป็นจากโครงการอะไร ที่ไหน ขอให้รอฟังการอภิปราย ทั้งนี้ถ้าแผลของรัฐบาลมันเน่า จนเป็นเนื้อร้ายหากรัฐบาลไม่ทำอะไร ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่ผิด ไม่ออก ไม่ปรับคณะรัฐมนตรี ก็เชื่อว่าประชาชนคงไม่ยอมแน่ ดังนั้นถ้าพลเอกประยุทธ์ เห็นแก่ประเทศชาติและประชาชนควรลาออก แล้วจะกลับมาใหม่ไม่ว่ากันแต่ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น”
"สมพงษ์" ชี้กดบัตรแทนกัน ทำพ.ร.บ.งบฯโมฆะ-ประเทศเสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
จากกรณีกดบัตรแทนกันของ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล สะท้อนให้เห็นผลกระทบที่สำคัญ 2 ด้าน ทั้งทางด้านความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศ และความเสียหายต่อบรรทัดฐานของการตีความกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ในสังคม
เนื่องจากการเสียบบัตรแทนกันครั้งนี้ เป็นการลงมติเพื่อเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2563 ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อมีปัญหาที่ถูกตั้งคำถาม เกี่ยวกับความชอบในการตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ อันจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณ ซึ่งจะส่งผลต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ ที่กระทบต่อเงินลงทุนของประเทศอย่างหนัก จึงนับเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่ประเทศต้องการการขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ ซึ่งถือเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจขณะนี้ ซึ่งความล่าช้านี้ยังจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และสร้างความชะงักงันต่อเศรษฐกิจประเทศ
ในความเห็นของผม…
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากบรรทัดฐานในอดีตที่เราสามารถเทียบเคียงได้อย่างชัดเจนว่าการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณครั้งนี้มีกระบวนการตราที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นโมฆะได้
ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังเฝ้าจับตามองว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้จะคลี่คลายอย่างไร การบิดเบือนหรือการตีความใดๆ ในขณะนี้ ที่ต่างออกไปจากข้อสรุป และความเชื่อที่สังคม มีอยู่ น่าจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมที่กำลังมีข้อกังขาอยู่ในปัจจุบัน
ดังนั้น กระบวนการแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป ทุกองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องยึดมั่นในหลักการตามกฎหมาย และตามบรรทัดฐานที่ถูกต้องที่เคยมีมาในอดีต เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเคลือบแคลงและบั่นทอนต่อความเชื่อมั่นต่อระบบรัฐสภาไทย และต่อระบบกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมไทย
สิ่งที่เป็นข้อพึงระวังคือ ทุกฝ่ายต้องไม่คิดแก้ไขปัญหา แค่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพียงเพื่อให้ พ.ร.บ.งบประมาณผ่านไปได้ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายอย่างรุนแรงในอนาคตที่จะเกิดขึ้น
ผมหวังว่าผู้ที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.ที่เสียบบัตรแทนเพื่อน / ส.ส.ที่ฝากบัตรให้เพื่อนเสียบแทน / หัวหน้าพรรคการเมืองที่มีสมาชิกกระทำผิด / ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี รวมทั้งคณะรัฐมนตรี ตลอดจนองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ต้องตระหนักถึงภาระความรับผิดชอบที่สำคัญนี้ ไม่ปล่อยให้ปัญหานี้จบลงด้วยวิธีการที่สร้างความเคลือบแคลงใจกับคนในประเทศ และทำลายความเชื่อมั่นของนานาประเทศ เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่าน
อย่าให้ประเทศเราต้องบอบช้ำไปมากกว่าที่เป็นอยู่เลยครับ
สมพงษ์ อมรวิวัฒน์
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
24 มกราคม 2563
จากกรณีกดบัตรแทนกันของ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล สะท้อนให้เห็นผลกระทบที่สำคัญ 2 ด้าน ทั้งทางด้านความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศ และความเสียหายต่อบรรทัดฐานของการตีความกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ในสังคม
เนื่องจากการเสียบบัตรแทนกันครั้งนี้ เป็นการลงมติเพื่อเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2563 ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อมีปัญหาที่ถูกตั้งคำถาม เกี่ยวกับความชอบในการตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ อันจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณ ซึ่งจะส่งผลต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ ที่กระทบต่อเงินลงทุนของประเทศอย่างหนัก จึงนับเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่ประเทศต้องการการขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ ซึ่งถือเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจขณะนี้ ซึ่งความล่าช้านี้ยังจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และสร้างความชะงักงันต่อเศรษฐกิจประเทศ
ในความเห็นของผม…
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากบรรทัดฐานในอดีตที่เราสามารถเทียบเคียงได้อย่างชัดเจนว่าการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณครั้งนี้มีกระบวนการตราที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นโมฆะได้
ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังเฝ้าจับตามองว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้จะคลี่คลายอย่างไร การบิดเบือนหรือการตีความใดๆ ในขณะนี้ ที่ต่างออกไปจากข้อสรุป และความเชื่อที่สังคม มีอยู่ น่าจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมที่กำลังมีข้อกังขาอยู่ในปัจจุบัน
ดังนั้น กระบวนการแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป ทุกองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องยึดมั่นในหลักการตามกฎหมาย และตามบรรทัดฐานที่ถูกต้องที่เคยมีมาในอดีต เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเคลือบแคลงและบั่นทอนต่อความเชื่อมั่นต่อระบบรัฐสภาไทย และต่อระบบกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมไทย
สิ่งที่เป็นข้อพึงระวังคือ ทุกฝ่ายต้องไม่คิดแก้ไขปัญหา แค่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพียงเพื่อให้ พ.ร.บ.งบประมาณผ่านไปได้ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายอย่างรุนแรงในอนาคตที่จะเกิดขึ้น
ผมหวังว่าผู้ที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.ที่เสียบบัตรแทนเพื่อน / ส.ส.ที่ฝากบัตรให้เพื่อนเสียบแทน / หัวหน้าพรรคการเมืองที่มีสมาชิกกระทำผิด / ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี รวมทั้งคณะรัฐมนตรี ตลอดจนองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ต้องตระหนักถึงภาระความรับผิดชอบที่สำคัญนี้ ไม่ปล่อยให้ปัญหานี้จบลงด้วยวิธีการที่สร้างความเคลือบแคลงใจกับคนในประเทศ และทำลายความเชื่อมั่นของนานาประเทศ เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่าน
อย่าให้ประเทศเราต้องบอบช้ำไปมากกว่าที่เป็นอยู่เลยครับ
สมพงษ์ อมรวิวัฒน์
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
24 มกราคม 2563
“เพื่อไทย” ค้านชิมช้อปใช้อินเตอร์ แจกเงินต่างชาติ
“เพื่อไทย” กุมขมับ เห็นมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้ อินเตอร์” แจกเงินจ้างต่างชาติเที่ยว ซัดคิดเยอะๆ ก่อนใช้เงินภาษีประชาชน
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลมีแนวคิดจะพิจารณามาตรการ “ชิม ช้อป ใช้ อินเตอร์” หรือการแจกคูปองเงินให้ต่างชาติเที่ยว มาใช้กระตุ้นการท่องเที่ยว ชดเชยบาทแข็งตามข่าว ว่า
ไม่น่าเชื่อว่าแนวคิดการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นครั้งๆ จะลามไปสู่การแจกเงินให้ต่างชาติเที่ยว มาตรการสารพัดแจกในที่สุดก็ถูกดัดแปลงเป็นการเอาภาษีคนไทยไปแจกเงินจ้างต่างชาติมาเที่ยวไทย
มาตรการสารพัดแจกเหล่านี้ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเลย แจกหมด ก็หมดไป แล้วเขาก็เลิกมาเที่ยว แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม แต่ที่หายไปคือเงินภาษีประชาชน เรื่องบาทแข็ง ก็ต้องแก้ที่เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน ไม่ใช่ปัญหาอยู่ที่หนึ่ง แล้วก็ไปแก้อีกที่หนึ่ง
การแจกเงินให้กับนักท่องเที่ยว โดยใช้มาตรการด้านราคาเป็นตัวดึงดูดการท่องเที่ยว ผลลัพธ์ของมันคือการได้มาแต่นักท่องเที่ยวที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงด้านราคาสูง นั่นก็คือ นักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพการใช้จ่ายต่ำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เราอยากได้น้อยสุด มีตัวคูณทางเศรษฐกิจที่ต่ำสุด ซึ่งไม่ใช่ทางออก เป็นการใช้งบประมาณ ซึ่งมาจากภาษีคนไทย ที่ไม่ชาญฉลาด น่ากลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง
หากจะใช้มาตรการด้านราคาจริง มาตรการเหล่านั้น ต้องเอางบประมาณใส่มือคนไทย สนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยให้สามารถให้บริการในราคาที่ถูกลง เพื่อไปดึงดูดการท่องเที่ยวอีกทอดหนึ่ง ไม่ใช่เอาเงินไปจ้างนักท่องเที่ยวในลักษณะนี้
เช่น การสนับสนุนด้านต้นทุนจากภาครัฐให้กับโรงแรมของคนไทย โดยสร้างเงื่อนไขดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยู่ไทยนานขึ้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่พักหลายๆ คืน ขึ้นไป เพิ่มสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยว อยู่ไทยนานขึ้น ใช้จ่ายในเมืองไทยนานขึ้น และโรงแรมคนไทยก็ได้ประโยชน์นานขึ้น
นอกเหนือจากนั้น 10 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวเอเซียมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเยอะ และตอบสนองดียิ่งต่อการจัดนิทรรศการ เทศกาลกีฬาขนาดใหญ่ ในการท่องเที่ยว รัฐบาลควรสนับสนุนการจัดงานเหล่านี้
นักท่องเที่ยวเอเซียยังนิยมกิจกรรมท่องเที่ยวในลักษณะที่อิงกับสิ่งปลูกสร้างใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้น (man-made) มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ คือ Bana Hills ที่เวียดนาม Gardens by the Bay ที่สิงค์โปร เป็นต้น รัฐบาลควรใช้งบประมาณสนับสนุนการสร้างแหล่งท่องเที่ยวในลักษณะนี้มากขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่สร้างรายได้ในระยะยาว ยังช่วยเรื่องการกระจายความเจริญด้วย
ผมอยากให้รัฐบาลคิดเยอะๆ ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ก่อนจะทำมาตรการต่างๆ ควรมุ่งที่จะทำในสิ่งที่มันสร้างรายได้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เอาเงินไปซื้อ เอาไปแจก ต่อลมหายใจในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ อย่าติดนิสัยการแจกในประเทศ ไปไกลถึงการแจกให้ต่างชาติเลย
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลมีแนวคิดจะพิจารณามาตรการ “ชิม ช้อป ใช้ อินเตอร์” หรือการแจกคูปองเงินให้ต่างชาติเที่ยว มาใช้กระตุ้นการท่องเที่ยว ชดเชยบาทแข็งตามข่าว ว่า
ไม่น่าเชื่อว่าแนวคิดการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นครั้งๆ จะลามไปสู่การแจกเงินให้ต่างชาติเที่ยว มาตรการสารพัดแจกในที่สุดก็ถูกดัดแปลงเป็นการเอาภาษีคนไทยไปแจกเงินจ้างต่างชาติมาเที่ยวไทย
มาตรการสารพัดแจกเหล่านี้ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเลย แจกหมด ก็หมดไป แล้วเขาก็เลิกมาเที่ยว แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม แต่ที่หายไปคือเงินภาษีประชาชน เรื่องบาทแข็ง ก็ต้องแก้ที่เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน ไม่ใช่ปัญหาอยู่ที่หนึ่ง แล้วก็ไปแก้อีกที่หนึ่ง
การแจกเงินให้กับนักท่องเที่ยว โดยใช้มาตรการด้านราคาเป็นตัวดึงดูดการท่องเที่ยว ผลลัพธ์ของมันคือการได้มาแต่นักท่องเที่ยวที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงด้านราคาสูง นั่นก็คือ นักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพการใช้จ่ายต่ำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เราอยากได้น้อยสุด มีตัวคูณทางเศรษฐกิจที่ต่ำสุด ซึ่งไม่ใช่ทางออก เป็นการใช้งบประมาณ ซึ่งมาจากภาษีคนไทย ที่ไม่ชาญฉลาด น่ากลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง
หากจะใช้มาตรการด้านราคาจริง มาตรการเหล่านั้น ต้องเอางบประมาณใส่มือคนไทย สนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยให้สามารถให้บริการในราคาที่ถูกลง เพื่อไปดึงดูดการท่องเที่ยวอีกทอดหนึ่ง ไม่ใช่เอาเงินไปจ้างนักท่องเที่ยวในลักษณะนี้
เช่น การสนับสนุนด้านต้นทุนจากภาครัฐให้กับโรงแรมของคนไทย โดยสร้างเงื่อนไขดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยู่ไทยนานขึ้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่พักหลายๆ คืน ขึ้นไป เพิ่มสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยว อยู่ไทยนานขึ้น ใช้จ่ายในเมืองไทยนานขึ้น และโรงแรมคนไทยก็ได้ประโยชน์นานขึ้น
นอกเหนือจากนั้น 10 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวเอเซียมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเยอะ และตอบสนองดียิ่งต่อการจัดนิทรรศการ เทศกาลกีฬาขนาดใหญ่ ในการท่องเที่ยว รัฐบาลควรสนับสนุนการจัดงานเหล่านี้
นักท่องเที่ยวเอเซียยังนิยมกิจกรรมท่องเที่ยวในลักษณะที่อิงกับสิ่งปลูกสร้างใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้น (man-made) มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ คือ Bana Hills ที่เวียดนาม Gardens by the Bay ที่สิงค์โปร เป็นต้น รัฐบาลควรใช้งบประมาณสนับสนุนการสร้างแหล่งท่องเที่ยวในลักษณะนี้มากขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่สร้างรายได้ในระยะยาว ยังช่วยเรื่องการกระจายความเจริญด้วย
ผมอยากให้รัฐบาลคิดเยอะๆ ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ก่อนจะทำมาตรการต่างๆ ควรมุ่งที่จะทำในสิ่งที่มันสร้างรายได้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เอาเงินไปซื้อ เอาไปแจก ต่อลมหายใจในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ อย่าติดนิสัยการแจกในประเทศ ไปไกลถึงการแจกให้ต่างชาติเลย
"วัฒนรักษ์" แนะรัฐบาลลาออก รับผิดกดบัตรแทนกัน-พ.ร.บ.งบฯโมฆะ
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการที่มี นักการเมือง นักกฎหมาย ออกมาแสดงความเห็นแก้ต่างปกป้องรัฐบาล กรณีเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร นั้น ยิ่งจะทำให้ประเทศเดินได้ลำบาก เพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นแล้ว ก็ควรจะต้องเป็นในแนวทางเดียวกัน ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง อาจทำให้ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฉบับนี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจะส่งผลกระทบทำให้การใช้งบประมาณแผ่นดินเสียหาย แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ขนาด นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ยังชี้แจงว่า แม้ ส.ส. ซึ่งนั่งกันเป็นกลุ่มและให้เพื่อนเสียบบัตรแทน โดยกดคะแนนแทนกันก็ ถือว่า “ผิดแน่ๆครับ” ซึ่งในกรณีที่ ส.ส. ดังกล่าวมีหลักฐานชี้ชัดว่า ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมจริง จะไม่มีความผิดเลยหรือ สังคมคงจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า จากการที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ว่า คดีเสียบบัตรแทนกันในอดีต ไม่สามารถยกมาเป็นบรรทัดฐานกับคดีในปัจจุบันได้ นั้น เหมาะสมหรือไม่ เพราะทุกครั้งที่นายวิษณุ ออกมาก็มักมีอภินิหารทางกฎหมายเกิดขึ้นเสมอ จนทำให้สังคมเกิดคำถามขึ้นในใจตลอดว่า เราจะยังคงมีมาตรฐานเดียวกันหรือไม่ ซึ่งในทุกวันนี้หาความยุติธรรม ได้ยากเย็น และหากความยุติธรรมไม่มีสามัคคีจะเกิดได้อย่างไร และถ้า พ.ร.บ. งบประมาณฯ ฉบับนี้ เป็นโมฆะ รัฐบาลควรแสดงสปิริต รับผิดชอบด้วยการลาออก หรือหากเพียงต้องการอยากจะยืดเวลาให้นานออกไป แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่นานเพราะเชื่อว่าคงไม่มีทางรอดจากการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอน
วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563
"เพื่อไทย" แจกหน้ากากกันฝุ่น-แนะรัฐเร่งแก้ปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริเวณอาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ว่า พรรคเพื่อไทย แจกหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาย่านอโศก หลังกรุงเทพมหานครประสบปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนรับหน้ากากเป็นจำนวนมาก
พรรคเพื่อไทย นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส เลขาธิการกลุ่มเพื่อไทยพลัส นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ รองโฆษกพรรค ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยคณะทำงาน ลงพื้นที่แจกหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นพิษ PM 2.5 ย่านอโศก กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่าจากการใช้ชีวิตประจำวันเข้าใจสภาพและผลกระทบจากฝุ่นพิษ PM 2.5 ทั้งต่อตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งบุตรสาวก็เรียนหนังสือในเมือง แม้มีรถยนต์ส่วนตัวแต่ก็ใช้รถบริการสาธารณะเหมือนกัน ทำให้เห็นว่า เหมือนประชาชนไม่มีทางเลือก คนที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ไม่มีสิทธิ์เลือกอากาศบริสุทธิ์ที่จะใช้หายใจ
“แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลประกาศให้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 แต่ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้าในการแก้ปัญหา ขณะที่ประเทศจีนก่อนหน้านี้มีปัญหาฝุ่นมากกว่าประเทศไทย แต่ได้เริ่มมีมาตรการที่ชัดเจนตั้งแต่ปี 2561 กระทั่งวันนี้ค่าอากาศดีกว่าในเมืองหลวงของไทย ซึ่งรัฐบาลต้องเข้าใจว่าประชาชนไม่ได้หวังให้ฝุ่นพิษหมดไปภายใน 1-2 วันนี้ แต่อยากรู้ว่าฝุ่นพิษจะหมดเมื่อไหร่ และภาครัฐจะทำอะไรบ้างเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่ปัจจุบันรัฐบาลทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน นอกจากไม่ช่วยแก้ไขปัญหาแล้ว ยังกล่าวโทษประชาชนเป็นต้นตอปัญหาอีกด้วย”
"ภูมิธรรม" ตอกรัฐบาล กดบัตรแทนกัน ทำประเทศให้ไร้มาตรฐาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
หยุดสร้างสองมาตรฐาน
ทำประเทศให้ไร้มาตรฐาน
ข่าวกรณี...รัฐมนตรีและนักกฎหมายบางท่าน ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องการเสียบบัตรแทนกันของส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมให้เหตุผลในการ “แก้ต่างออกตัวรับหน้า”แทนรัฐบาลและแทนผู้ถูกกล่าวหาว่า..”การกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติไม่มีปัญหาใดๆ จะใช้บรรทัดฐานที่เคยพิจารณาดังเช่นในอดีตมิได้”..
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ประเทศและสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น และดำรงอยู่ในสังคมเราในปัจจุบัน
ในเบื้องต้นอาจส่งผลกระทบเสียหาย และอาจจะมีผลทำให้ร่างฯ พรบ.งบประมาณฉบับนี้ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับ”กระบวนการตรากฎหมายที่มิชอบ” นอกจากนั้น ยังอาจมีผลทำให้ร่างพรบ.งบประมาณนี้…”ผ่านสภาด้วยเสียงที่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งเพราะมีการกดบัตรแทนกัน” ซึ่งจะส่งผลให้ร่างพรบ.ฉบับนี้ต้องตกไป
นอกจากนั้น ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ สิ่งที่ รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลกระทำในวันนี้ ได้ตอกย้ำให้สังคมเห็นถึงความเป็นสองมาตรฐาน สร้างบรรทัดฐานที่ผิดเพี้ยน ทำผิดให้เป็นถูก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กล่าวคือ ในกรณีการเสียบบัตรแทนกันของส.ส.พรรครัฐบาลครั้งนี้ ผู้ที่เป็นเนติบริกรของรัฐบาลออกมาบอกว่า ไม่อาจใช้บรรทัดฐานเดียวกันกับกรณีที่ผ่านมาในสมัยรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
การกล่าวอ้างเช่นนี้หมายความว่าสังคมไทยวันนี้ ไม่อาจยึดถือบรรทัดฐานใดๆที่ผ่านมาได้ แต่กลับจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ขึ้นมา เพื่อสนองประโยชน์แห่งตนและพวกพ้อง โดยมิได้คำนึงถึงว่าได้ใช้วิธีการดังกล่าวสร้างบรรทัดฐานที่ผิดเพี้ยน ทำผิดให้เป็นถูก ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายให้กับหลักนิติธรรมของประเทศอย่างร้ายแรง
ผมอยากเห็นการสร้างบรรทัดฐานในสังคมที่ถูกต้องตามหลักการ เพื่อให้กฎหมายนั้นยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์ และ ผดุงความยุติธรรมให้กับคนทุกกลุ่ม
พอเถอะครับสำหรับการมีสองมาตรฐาน ที่พวกเราทำอะไรก็ไม่ผิด แต่พวกเขาถึงไม่ผิดก็สร้างความผิดให้เกิดขึ้นได้
วันนี้บ้านเมืองเราผิดเพี้ยนและเลอะเทอะในความรู้สึกของพี่น้องประชาชน มามากพอแล้ว..
แม้นว่าการที่ใครจะเลือกหนทางในการกระทำหรือการเสนอความเห็นทางกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้น ก็ถือเป็นการตัดสินใจของท่าน แต่ หากไตร่ตรองให้ดี อยากให้นึกถึงผลเสียหายที่ประเทศชาติจะได้รับให้มาก..
ขออย่ารุมทำร้ายประเทศให้มากไปกว่านี้เลย..คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยวันนี้กระอักกระอ่วนหัวใจ จนสุดจะพรรณาแล้ว.
ภูมิธรรม เวชยชัย.
ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
23มกราคม 2563
หยุดสร้างสองมาตรฐาน
ทำประเทศให้ไร้มาตรฐาน
ข่าวกรณี...รัฐมนตรีและนักกฎหมายบางท่าน ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องการเสียบบัตรแทนกันของส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมให้เหตุผลในการ “แก้ต่างออกตัวรับหน้า”แทนรัฐบาลและแทนผู้ถูกกล่าวหาว่า..”การกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติไม่มีปัญหาใดๆ จะใช้บรรทัดฐานที่เคยพิจารณาดังเช่นในอดีตมิได้”..
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ประเทศและสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น และดำรงอยู่ในสังคมเราในปัจจุบัน
ในเบื้องต้นอาจส่งผลกระทบเสียหาย และอาจจะมีผลทำให้ร่างฯ พรบ.งบประมาณฉบับนี้ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับ”กระบวนการตรากฎหมายที่มิชอบ” นอกจากนั้น ยังอาจมีผลทำให้ร่างพรบ.งบประมาณนี้…”ผ่านสภาด้วยเสียงที่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งเพราะมีการกดบัตรแทนกัน” ซึ่งจะส่งผลให้ร่างพรบ.ฉบับนี้ต้องตกไป
นอกจากนั้น ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ สิ่งที่ รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลกระทำในวันนี้ ได้ตอกย้ำให้สังคมเห็นถึงความเป็นสองมาตรฐาน สร้างบรรทัดฐานที่ผิดเพี้ยน ทำผิดให้เป็นถูก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กล่าวคือ ในกรณีการเสียบบัตรแทนกันของส.ส.พรรครัฐบาลครั้งนี้ ผู้ที่เป็นเนติบริกรของรัฐบาลออกมาบอกว่า ไม่อาจใช้บรรทัดฐานเดียวกันกับกรณีที่ผ่านมาในสมัยรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
การกล่าวอ้างเช่นนี้หมายความว่าสังคมไทยวันนี้ ไม่อาจยึดถือบรรทัดฐานใดๆที่ผ่านมาได้ แต่กลับจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ขึ้นมา เพื่อสนองประโยชน์แห่งตนและพวกพ้อง โดยมิได้คำนึงถึงว่าได้ใช้วิธีการดังกล่าวสร้างบรรทัดฐานที่ผิดเพี้ยน ทำผิดให้เป็นถูก ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายให้กับหลักนิติธรรมของประเทศอย่างร้ายแรง
ผมอยากเห็นการสร้างบรรทัดฐานในสังคมที่ถูกต้องตามหลักการ เพื่อให้กฎหมายนั้นยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์ และ ผดุงความยุติธรรมให้กับคนทุกกลุ่ม
พอเถอะครับสำหรับการมีสองมาตรฐาน ที่พวกเราทำอะไรก็ไม่ผิด แต่พวกเขาถึงไม่ผิดก็สร้างความผิดให้เกิดขึ้นได้
วันนี้บ้านเมืองเราผิดเพี้ยนและเลอะเทอะในความรู้สึกของพี่น้องประชาชน มามากพอแล้ว..
แม้นว่าการที่ใครจะเลือกหนทางในการกระทำหรือการเสนอความเห็นทางกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้น ก็ถือเป็นการตัดสินใจของท่าน แต่ หากไตร่ตรองให้ดี อยากให้นึกถึงผลเสียหายที่ประเทศชาติจะได้รับให้มาก..
ขออย่ารุมทำร้ายประเทศให้มากไปกว่านี้เลย..คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยวันนี้กระอักกระอ่วนหัวใจ จนสุดจะพรรณาแล้ว.
ภูมิธรรม เวชยชัย.
ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
23มกราคม 2563
"วัฒนา" ตะเพิดประยุทธ์ลาออก รับผิดชอบกดบัตรแทนกัน
นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ตามรัฐธรรมนูญรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของตน อันเป็นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่เป็นระบบที่ใช้เสียงข้างมาก หากเสียงส่วนใหญ่แสดงความไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือรัฐมนตรี รัฐบาลทั้งคณะหรือรัฐมนตรีคนนั้นก็ไม่พึงอยู่ในตำแหน่งต่อไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (3) อันเป็นหลักความรับผิดชอบที่มีต่อสภาผู้แทนราษฎร
นอกจากการแสดงความไม่ไว้วางใจทางตรงที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้พ้นจากตำแหน่งแล้ว การแสดงความไม่ไว้วางใจทางอ้อมที่สภาแสดงออกคือการไม่ผ่านกฎหมายสำคัญ เช่น กฎหมายงบประมาณ เป็นต้น ซึ่งหากเกิดขึ้นก็แสดงว่าสภาไม่ให้ความไว้วางใจรัฐบาลเช่นกันจึงไม่ผ่านกฎหมายสำคัญให้ กรณีเช่นนี้หากหัวหน้ารัฐบาลมีสำนึกจะต้องลาออกหรือยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนไปเลือกตั้งใหม่ตามหลักความรับผิดชอบที่กล่าวมา
การที่ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลไม่เข้าประชุมจนต้องกดบัตรแทนกันซึ่งนอกจากจะเป็นการทุจริตต่อหน้าที่แล้ว ยังเป็นการยืนยันว่า ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับการประชุมเพื่อผ่านกฎหมายสำคัญจนทำให้เสียงฝ่ายรัฐบาลไม่พอ นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่ประกอบด้วย ส.ส. จากพรรคการเมืองที่ไม่มีความรับผิดชอบดังกล่าวจึงควรแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อประชาชนด้วยการลาออก อย่าเสียเวลาให้บรรดาศรีธนญชัยทั้งหลายออกมาตีความให้เสื่อมกับประเทศมากไปกว่านี้เลย อายเป็นบ้างครับ
วัฒนา เมืองสุข
23 มกราคม 2563
ตามรัฐธรรมนูญรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของตน อันเป็นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่เป็นระบบที่ใช้เสียงข้างมาก หากเสียงส่วนใหญ่แสดงความไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือรัฐมนตรี รัฐบาลทั้งคณะหรือรัฐมนตรีคนนั้นก็ไม่พึงอยู่ในตำแหน่งต่อไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (3) อันเป็นหลักความรับผิดชอบที่มีต่อสภาผู้แทนราษฎร
นอกจากการแสดงความไม่ไว้วางใจทางตรงที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้พ้นจากตำแหน่งแล้ว การแสดงความไม่ไว้วางใจทางอ้อมที่สภาแสดงออกคือการไม่ผ่านกฎหมายสำคัญ เช่น กฎหมายงบประมาณ เป็นต้น ซึ่งหากเกิดขึ้นก็แสดงว่าสภาไม่ให้ความไว้วางใจรัฐบาลเช่นกันจึงไม่ผ่านกฎหมายสำคัญให้ กรณีเช่นนี้หากหัวหน้ารัฐบาลมีสำนึกจะต้องลาออกหรือยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนไปเลือกตั้งใหม่ตามหลักความรับผิดชอบที่กล่าวมา
การที่ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลไม่เข้าประชุมจนต้องกดบัตรแทนกันซึ่งนอกจากจะเป็นการทุจริตต่อหน้าที่แล้ว ยังเป็นการยืนยันว่า ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับการประชุมเพื่อผ่านกฎหมายสำคัญจนทำให้เสียงฝ่ายรัฐบาลไม่พอ นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่ประกอบด้วย ส.ส. จากพรรคการเมืองที่ไม่มีความรับผิดชอบดังกล่าวจึงควรแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อประชาชนด้วยการลาออก อย่าเสียเวลาให้บรรดาศรีธนญชัยทั้งหลายออกมาตีความให้เสื่อมกับประเทศมากไปกว่านี้เลย อายเป็นบ้างครับ
วัฒนา เมืองสุข
23 มกราคม 2563
วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2563
“การุณ” แนะรัฐเร่งแก้ปัญหาฝุ่น เตือนอย่าหนี
นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่าประชาชนในหลายพื้นที่ ได้รับผลกระทบจากปัญหาฝุ่นเป็นวงกว้าง ทั้งผู้ใหญ่และเด็กเล็กเริ่มเจ็บป่วยมากขึ้น แต่รัฐบาลกับไม่มีมาตรการใดๆออกมาป้องกัน หรือปกปกป้องประชาชน เด็กเล็กเริ่มป่วบางคนไอจนเป็นเลือดออกมา หนักกว่าทุกปีแต่ไม่มีแม้แต่การช่วยเหลือจากรัฐแค่หน้ากากปิดจมูกประชาชนยังต้องซื้อเองเลย
ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศชัดเจนว่ามีมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นในกรุงเทพมหานคร แต่มาถึงวันนี้โฆษกรัฐบาลบอกว่าขอให้ประชาชนอย่าตกใจเรื่องฝุ่นซึ่งการพูดลอยตัวแบบนี้ชี้ชัดว่ารัฐบาลไร้มาตรการป้องกัน ปล่อยให้ประชาชนแก้ปัญหากันเอง ซึ่งหากคนเป็นนายกรัฐมนตรียังปล่อยปละละเลยและทอดทิ้งประชาชนให้ตายผ่อนส่งแบบนี้ แล้วต่อไปประชาชนจะหันหน้าไปพึ่งใคร
นายการุณ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมีแต่การออกมาโฆษณาชวนเชื่อว่า รัฐบาลพยายามเร่งแก้ปัญหาฝุ่นพิษ ทั้งบังคับใช้กฎหมาย และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเพื่อชวนเชื่อว่ารัฐบาลจริงจังในการแก้ปัญหาฝุ่น แต่มาวันนี้ประชาชนกลับต้องรับกรรมจากรัฐบาลที่จ้องแต่โทษคนอื่นแต่ไม่โทษตัวเอง เรื่องฝุ่นผงแค่นี้ยังแก้ไม่ได้แล้วจะไปหวังอะไรที่ยากกว่านี้กับรัฐบาล
“อยากให้รัฐบาลทำงานจริงจังและจริงใจในการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ไม่ใช่อะไรก็บอกว่าประชาชนต้องช่วยกัน ต้องช่วยตัวเองก่อนอย่ารอแต่รัฐบาล หากให้ประชาชนต้องแก้ปัญหาเองแล้วจะมีรัฐบาลไว้เพื่ออะไร”
"หมวดเจี๊ยบ" แนะรัฐสภา ใช้เครื่องสแกนนิ้วลงมติ
ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุ หวังว่า สภาจะกล้าตรวจสอบเรื่องการเสียบบัตรแทนกันในการ ลงมติ รับร่าง พรบ. งบประมาณฯ 2563 อย่างตรงไปตรงมา เพราะถ้ากฎหมายการเงินที่สำคัญต้องกลายเป็นโมฆะเพราะกระบวนการลงมติไม่ถูก จะส่งผลให้รัฐบาลประยุทธ์ต้องลาออกหรือยุบสภา นอกจากนี้ สภาควรใช้เครื่องสแกนนิ้วในการลงมติ เพื่อป้องกันการเสียบบัตรแทนกัน เพราะคงไม่มีใครบ้าตัดนิ้วฝากเพื่อนให้ลงมติต่าง ๆ แทน
ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หวังว่า นาย ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร จะดูแลการตรวจสอบข้อร้องเรียนเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน ในการลงมติร่าง พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ในวาระ ที่ 2 และวาระที่ 3 ตามหลักฐานของ นาย นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างตรงไปตรงมา เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย ถ้าผลการสอบสวนออกมาในลักษณะมวยล้มต้มคนดู สังคมจะมองว่า ประธานสภากำลังปกป้องผลประโยชน์ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนยอมละทิ้งหลักการ เพราะหากกระบวนการลงมติร่าง พรบ. งบประมาณฯ ดังกล่าว มีปัญหา จนนำไปสู่การตีความให้กลายเป็นโมฆะในภายหลัง ก็จะส่งผลถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ทันที เพราะนี่เป็นการลงมติรับร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน ที่สำคัญ ไม่ใช่การลงมติกฎหมายทั้ว ๆ ไป ดังนั้น หาก ร่าง พรบ. งบประมาณฯ ดังกล่าว ไม่ผ่านความเห็นชอบของสภา รัฐบาลประยุทธ์ ก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือ ยุบสภา ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มาก จึงทำให้มีคนจ้องตรวจสอบว่ามีการลงมติแทนกันหรือเปล่า เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ซึ่งในครั้งนี้ หลักฐานของ นาย นิพิฏฐ์ ก็ชัดเจน ประกอบกับตัว ส.ส พัทลุง ที่ถูกกล่าวหา ก็ออกมายอมรับแล้วว่า นาย นิพิฏฐ์ พูดเรื่องจริง ดังนั้น ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภาแล้วว่าจะกล้าตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจังหรือไม่ และหลังตรวจสอบจะกล้าสรุปผลสอบเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ มีเดิมพันสูง เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง และอาจมีผลถึงขั้นต้องเปลี่ยนรัฐบาล
นอกจากนี้ ในโลกโซเชียล ก็มีคนเมนอให้สภาใช้เครื่องสแกนนิ้วมือในการลงมติต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหากดบัตรแทนกัน ซึ่งตนก็เห็นด้วยเพราะคราวนี้หากจะลงมติแทนกัน ก็ต้องตัดนิ้วตัวเองแล้วฝากเพื่อนไปสแกนให้ ซึ่งคนสติดี ๆ คงไม่ยอมเสียสละตัดนิ้วมือตัวเองฝากคนอื่นให้ลงมติแทนอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังเป็นการพิสูจน์ตัวบุคคลและเวลาในการลงมติที่น่าเชื่อถืออีกด้วย และปัจจุบัน ในองค์กรทั่ว ๆ ไป ก็ใช้เครื่องสแกนนิ้วอย่างแพร่หลาย เชื่อว่างบประมาณไม่น่าจะสูงเกินไป ถ้าหากสภาจะติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว ก็น่าจะเป็นการใช้งบประมาณที่คุ้มค่า เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่คงจะไม่คัดค้าน เพราะยังมีประโยชน์กว่าการเอาเงินไปซื้อรถเก๋งประจำตำแหน่งราคาแพง ๆ แจกผู้บริหารของสภาเป็นไหน ๆ
ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หวังว่า นาย ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร จะดูแลการตรวจสอบข้อร้องเรียนเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน ในการลงมติร่าง พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ในวาระ ที่ 2 และวาระที่ 3 ตามหลักฐานของ นาย นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างตรงไปตรงมา เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย ถ้าผลการสอบสวนออกมาในลักษณะมวยล้มต้มคนดู สังคมจะมองว่า ประธานสภากำลังปกป้องผลประโยชน์ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนยอมละทิ้งหลักการ เพราะหากกระบวนการลงมติร่าง พรบ. งบประมาณฯ ดังกล่าว มีปัญหา จนนำไปสู่การตีความให้กลายเป็นโมฆะในภายหลัง ก็จะส่งผลถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ทันที เพราะนี่เป็นการลงมติรับร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน ที่สำคัญ ไม่ใช่การลงมติกฎหมายทั้ว ๆ ไป ดังนั้น หาก ร่าง พรบ. งบประมาณฯ ดังกล่าว ไม่ผ่านความเห็นชอบของสภา รัฐบาลประยุทธ์ ก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือ ยุบสภา ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มาก จึงทำให้มีคนจ้องตรวจสอบว่ามีการลงมติแทนกันหรือเปล่า เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ซึ่งในครั้งนี้ หลักฐานของ นาย นิพิฏฐ์ ก็ชัดเจน ประกอบกับตัว ส.ส พัทลุง ที่ถูกกล่าวหา ก็ออกมายอมรับแล้วว่า นาย นิพิฏฐ์ พูดเรื่องจริง ดังนั้น ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภาแล้วว่าจะกล้าตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจังหรือไม่ และหลังตรวจสอบจะกล้าสรุปผลสอบเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ มีเดิมพันสูง เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง และอาจมีผลถึงขั้นต้องเปลี่ยนรัฐบาล
นอกจากนี้ ในโลกโซเชียล ก็มีคนเมนอให้สภาใช้เครื่องสแกนนิ้วมือในการลงมติต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหากดบัตรแทนกัน ซึ่งตนก็เห็นด้วยเพราะคราวนี้หากจะลงมติแทนกัน ก็ต้องตัดนิ้วตัวเองแล้วฝากเพื่อนไปสแกนให้ ซึ่งคนสติดี ๆ คงไม่ยอมเสียสละตัดนิ้วมือตัวเองฝากคนอื่นให้ลงมติแทนอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังเป็นการพิสูจน์ตัวบุคคลและเวลาในการลงมติที่น่าเชื่อถืออีกด้วย และปัจจุบัน ในองค์กรทั่ว ๆ ไป ก็ใช้เครื่องสแกนนิ้วอย่างแพร่หลาย เชื่อว่างบประมาณไม่น่าจะสูงเกินไป ถ้าหากสภาจะติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว ก็น่าจะเป็นการใช้งบประมาณที่คุ้มค่า เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่คงจะไม่คัดค้าน เพราะยังมีประโยชน์กว่าการเอาเงินไปซื้อรถเก๋งประจำตำแหน่งราคาแพง ๆ แจกผู้บริหารของสภาเป็นไหน ๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)