3 เงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าร่วมกิจกรรมวื่งไล่ลุงเป็นจำนวนมาก คือ ปัญหา 2 มาตรฐานในสังคมไทย ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล และปัญหาการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน แม้จะโดนขู่ว่าอาจไม่ปลอดภัยจากมือที่สาม คนรุ่นใหม่ก็ยังออกมาแสดงพลัง วิ่งไล่ลุงเพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่า มือที่สาม คือ กลัวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จะเป็นนายกฯ นานเกินไป ทำให้บ้านเมืองถอยหลังและเศรษฐกิจจะยิ่งพังพินาศ
ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกิจกรรมวิ่งไล่ลุง จะเห็นว่ามีสัดส่วนของคนรุ่นใหม่เข้าร่วมกิจกรรมค่อนข้างเยอะ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คนหนุ่มสาวออกมาแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์จำนวนมากขนาดนี้ น่าจะเกิดจากเงื่อนไข 3 ประการ คือ
1. ปัญหา 2 มาตรฐานในสังคมไทย เพราะคนฝ่ายรัฐบาลทำอะไรก็ไม่ผิด เช่น นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลบุกรุกป่าสงวน ก็ยังลอยนวลอยู่ได้ หรือ นักการเมืองที่ย้ายค่ายไปอยู่กับรัฐบาลหรือทำตัวเป็นงูเห่า ก็รอดคดีได้ราวกับมีปาฏิหาริย์ เป็นต้น
เงื่อนไขที่ 2. คือ ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่บริหารประเทศมานาน 5-6 ปี ทำให้คนไทยยากจนและเป็นหนี้ท่วมหัวเป็นอันดีบต้นๆ ของโลก โดยแบ็งค์ชาติระบุว่า คนไทยเป็นหนี้ภาคครัวเรือน 13 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 2 ของเอเชีย และเป็นอันดับที่ 11 ของโลก โดยครึ่งหนึ่งของคนรุ่นใหม่ อายุ 30 ปี กำลังเป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์ และ 20% ของหนี้เสียหรือ NPL กระจุกตัวอยู่กลุ่มคนอายุ 29 ปี ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ และนอกจากจะเป็นหนี้แล้ว ยังหางานทำยาก เพราะตัวเลขคนตกงานไตรมาส 3 ของปี 2562 มีจำนวน 385,000 คน โดย 45% ของผู้ตกงาน เป็นคนจบปริญญาตรี ในขณะที่มีธุรกิจจดทะเบียนเลิกกิจการถึง 14,070 แห่ง ณ เดือนตุลาคม 2562 ซึ่งมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ตกต่ำที่สุดในรอบ 68 เดือน เพราะคนไม่เชื่อมั่น ในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง และไม่เชื่อมั่นว่าจะมีงานทำ นอกจากนี้ ยอดการส่งออกก็ติดลบหนักที่สุดในรอบ 4 ปี ทำให้รายได้การส่งออกไทยหายไป 400,000 ล้านบาท และคาดว่าภาพรวมการส่งออกไทยทั้งปี 2562 น่าจะติดลบมากกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ เพราะยอดส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 ติดลบถึง 4.64 % ซึ่งติดลบหนักที่สุดในรอบ 4 ปี เมื่อบวกเข้ากับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากที่สุดในเอเชีย เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ก็ส่งผลให้ ส่วนแบ่งของสินค้าไทยในตลาดโลกลดลงเหลือ 1.38 % จากเดิมมีส่วนแบ่ง 1.5% โดยตลาดสินค้าที่หายไป คือ จีนและอินเดีย
ส่วนเงื่อนไขที่ 3 คือ ปัญหาการปิดกั้นสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนอย่างหนักในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกอึดอัดจึงออกมาแสดงพลังดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่ โดนกีดกันทุกวิถีทาง ทั้งส่งเจ้าหน้าที่ตามประกบคนที่จะเข้าร่วมกิจกรรม และดิสเครดิตว่ากิจกรรมดังกล่าวสร้างความแตกแยกในบ้านเมืองและยังมีการปล่อยข่าวข่มขู่ผู้เข้าร่วมกิจการมว่าอาจไม่ปลอดภัยจากมือที่สาม แต่คนรุ่นใหม่ก็ยังออกมาแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์จำนวนมากอยู่ดี คงเพราะคนรุ่นใหม่เป็นห่วงอนาคตของประเทศ มากกว่าห่วงความปลอดภัยของตัวเอง และสิ่งที่น่ากลัวสำหรับพวกเขาไม่ใช่มือที่สาม แต่สิ่งที่คนรุ่นใหม่กลัวมากกว่า คือ กลัวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่บริหารประเทศนานเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ประเทศถอยหลังลงคลอง และเศรษฐกิจจะยิ่งพังพินาศ ทั้งนี้ จะเห็นว่า เงื่อนไขที่ทำให้คนรุ่นใหม่ออกมาแสดงพลังขับไล่รัฐบาล ก็เป็นเงื่อนไขเดิม ๆ ที่เคยทำให้เกิดม็อบคนเสื้อแดงในอดีต
นอกจากนี้ กลุ่มคนที่สร้างเงื่อนไขสองมาตราฐานในสังคมไทยก็ยังเป็นกลุ่มคนหน้าเดิม ๆ แต่วันนี้ แต่งหน้าทาปากใหม่ แปลงร่างกลายเป็นรัฐมนตึในรัฐบาล บ้างก็ใส่สูทเป็น ส.ว. บ้างก็เป็น ส.ส. เป็นต้น ด้งนั้น คนเหล่านี้ก็อย่าไปสบประมาทใครว่าเป็นม็อบข้างถนน เพราะที่มาในการเข้าสู่อำนาจของพวกท่านก็คือม็อบข้างถนนที่สมคบคิดก้นแบ่งอำนาจจากรัฐบสลที่มาจากการเลือกตั้งและปูทางให้ทหารยึดอำนาจในอดีต ในส่วนของรัฐบาล ก็ไม่ควรรับมือม็อบขับไล่รัฐบาลด้วยการจัดม็อบชนม็อบ เพราะจะยิ่งเติมไฟของความขัดแย้ง และหาก พล.อ. ประยุทธ์ ไม่อยากเห็นบ้านเมืองวุ่นวาย ก็ควรเสียสละด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อหลีกทางในคนอื่นเข้ามาแก้ปัญหาและกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศ บ้านเมืองจะได้เจริญขึ้นและไม่วุ่นวาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น