"ชุมสาย" ชี้ 8 ข้อน่าห่วงกระบวนการยุติธรรมภายใต้รัฐบาลสืบทอดอำนาจ ประเทศต้องมีความไว้วางใจและความเชื่อมั่น แนะทุกภาคส่วนเร่งปฏิรูปด่วน
นายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า นับแต่มีรัฐประหารและคณะผู้มีอำนาจเข้าปกครองประเทศ อํานาจนิติบัญญัติและบริหารถูกควบคุมเบ็ดเสร็จ แต่ยังคาดหมายกันว่าเหลือที่พึ่งสุดท้ายของสุจริตชนเพียงหนึ่งเดียวคืออำนาจตุลาการ แต่กระนั้นก็ตาม ดูประหนึ่งว่า อำนาจตุลาการในยุคนี้ ถูกสังคมไทยตั้งคำถาม และเคลือบแคลงสงสัยในหลายมิติ ซี่งพอจำแนกสาเหตุและอธิบายพฤติการณ์ได้ ดังนี้
1. นักนิติศาสตร์ ในระดับปรมาจารย์ถูกใช้เป็นสถาปนิกอำนาจออกแบบ รธน.และกฎหมายเกี่ยวกับการเมือง บ้างก็ให้เป็นผู้นำในงานนิติบัญญัติ บ้างก็ให้เป็นคีย์แมนกฎหมายในฝ่ายบริหาร ทั้งนี้เพื่อสร้างอำนาจให้ผู้มีอำนาจและบริวารได้บริหารอำนาจ และจัดระเบียบอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ มั่นคงในระยะยาว ในขณะเดียวกันก็ได้ออกแบบ จำกัดตัดสิทธิลิดรอนอำนาจฝ่ายการเมืองฝั่งตรงข้ามและประชาชนจนแทบไม่สามารถทำอะไรได้ตามที่ควรจะเป็นในครรลองประชาธิปไตย
2. มีการแก้ไขหลักการของกฎหมายที่เคยมามาแต่เดิมให้แตกต่างไปจากหลักยุติธรรมอันเป็นสากล เช่น การให้กฎหมายย้อนหลังเป็นโทษกับจำเลยได้ การไม่ต้องพิจารณาคดีต่อหน้าจำเลย และคดีการเมืองไม่ต้องมีอายุความ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อต้องการ จัดการกับฝ่ายการเมืองฝั่งตรงข้าม โดยยอมทำลาย หลักนิติรัฐ นิติธรรม หลักยุติธรรมอันเป็นสากล
3 ประเด็นเรื่องคดีความของนักการเมืองถูกคณะผู้มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาเป็นเงื่อนไขต่อรองในทางการเมือง และมีผลต่อการตัดสินใจของนักการเมืองบางกลุ่ม ส่งผลให้มีการดูด สส. ย้ายพรรค เพื่อประโยชน์ และความปลอดภัยในทางคดีความ ซึ่งไม่มี บุคลากรระดับผู้นำในกระบวนการยุติธรรม ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้อย่างจริงจัง
4. ผู้นำรัฐบาลและบริวารมีวิธีคิด ในการใช้อำนาจ มากกว่า การใช้กฎหมาย ตามที่ควรจะเป็น ข้อเท็จจริงและเหตุการณ์เดียวกัน ถูกตีความ ต่างกัน ระหว่าง ฝ่ายผู้มีอำนาจ และฝ่ายการเมืองฝั่งตรงข้าม มีการบังคับใช้กฎหมาย สองมาตรฐานค่อนข้างชัดแจ้ง
5. กระบวนการทางกฎหมายและคดี ตลอดจนเจ้าหน้าที่ ของรัฐถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองอย่างชัดแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้นำของฝ่ายการเมือง บุคคลในครอบครัว หรือบริวาร ของฝ่ายตรงข้าม กับผู้มีอำนาจ
6. ผู้มีอำนาจในรัฐบาลที่รับผิดชอบด้านกฎหมาย แสดงความเห็น และตีความ ชี้ถูกผิดเสมือนหนึ่งว่าตนเอง เป็นกฎหมาย เป็นความถูกต้อง หรือเป็นความยุติธรรมเสียเองซึ่งขัดต่อหลักการทางกฎหมายที่ถูกยึดถือไว้อย่างมั่นคง ไม่นำพาต่อเสียงทักท้วงของสื่อมวลชนและคนในสังคม ก่อให้เกิดความสับสนทางกฎหมายขยายไปในวงกว้าง
7. มีข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ในเชิงประจักษ์ว่าความการอำนวยความยุติธรรมในคดีการเมืองบางคดีที่เกี่ยวกับประโยชน์ ทางเศรษฐกิจมหาศาล เป็นไปเพื่อ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนธุรกิจผูกขาดรายใหญ่ที่มีความใกล้ชิดกับคณะผู้มีอำนาจ โดยยอมทำลายหลักแห่งความยุติธรรมตามบรรทัดฐานที่ถูกต้องชอบธรรมในอดีตและสอดคล้องกับแนวทางสากล ตามที่ควรจะเป็น
8.บรรดาข้อกล่าวหาหรือความผิดของนักการเมืองในซีกฝ่ายผู้มีอำนาจ ไม่ได้ถูกดำเนินคดี ในขณะที่ คดีของ ฝ่ายตรงข้าม จะถูกเร่งรัดดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว
นายชุมสาย กล่าวต่อว่า การที่ประเทศจะเป็นที่ยอมรับต่อนานาอารยะประเทศนั้น จะต้องมีความไว้วางใจ (trust) และ ความมั่นใจ (Confident) จึงจะเป็นหลักประกันของประเทศในทุกมิติ ให้กับคนทั้งในประเทศและต่างประเทศเชื่อมั่น ซึ่งขณะนี้ ประเทศไทยแทบจะไม่เหลือแล้วซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ ทำให้ไม่มีใครคบหาค้าขายด้วย ซึ่งประเทศตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มาตั้งแต่ การปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อปี พ.ศ.2557 หากยังปล่อยไว้ไม่แก้ไขมีความเสี่ยงจะเป็นประเทศที่ล้มเหลว (failed state) จึงจำเป็นต้อง สังคายนาและปฏิรูปการศาลและการยุติธรรมทุกมิติ โดยเร่งด่วน ก่อนจะสายเกินการ นายชุมสาย กล่าวทิ้งท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น