เมื่อดูจากระดับความรุนแรงของปัญหาไวรัสโคโรน่าและการที่ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากและก่อนหน้านี้ก็เป็นจุดหมายปลายทางของชาวจีนจากอู่ฮั่นเป็นอันดับต้นๆด้วย รวมทั้งประเทศไทยมีผู้ป่วยมากเป็นอันต้นๆนอกประเทศจีน สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในการรับมือกับไวรัสโคโรน่ายังไม่พอและไม่อาจไว้วางใจได้เลย
สิ่งที่รัฐบาลควรทำโดยด่วนคือจัดให้มีการประสานร่วมมือกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทั้งของไทยเองและของต่างประเทศเช่นผู้แทน WHO ต้องมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง กำหนดมาตรการอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและดักปัญหาล่วงหน้า
แต่ความจริงประเทศไทยเคยทำ (contingency plan หรืแผนฉุกเฉินรับการแพร่ระบาดแบบนี้ไว้ ผู้รู้และเชี่ยวชาญในการวางแผนวางระบบก็มี มีการกำหนดไว้อยู่แล้วว่าหน่วยงานไหนจะต้องทำอะไรตระเตรียมอะไร หากเชิญผู้เกี่ยวข้องมาคุยกันก็สามารถใช้เป็นตัวตั้งต้นได้เลย
จากประสบการณ์ในอดีต อาจจะตั้งคำถามเบื้องต้นว่าขณะนี้เตรียมห้องและอุปกรณ์รองรับคนไข้ที่สงสัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรน่าทั่วประเทศไว้แล้วมากน้อยเพียงใด โรงพยาบาลต่างๆหรือหมอตามคลีนิคมีข้อมูลแล้วหรือยัง หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติกำหนดแล้วและแจ้งผู้เกี่ยวข้องแล้วหรือยัง เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ต้องให้ผูเชี่ยวชาญช่วยกำหนดและวางแผน
รัฐบาลควรสร้างทีมที่มีหน้าที่ชี้แจงให้ข้อมูล มีศูนย์ข้อมูล ทำการชี้แจงอย่างเป็นระบบ มิฉะนั้นประชาชนหรือแม้แต่ผู้เกี่ยวข้องจะสับสนและไม่รู้ว่าควรเตรียมตัวอย่างไร ควรระวังอะไรหรือจะออกกฎกติกาอย่างไร
เฉพาะเรื่องหน้ากากอนามัยอย่างเดียวก็แสดงถึงความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลในการรับมือทั้งฝุ่นPM2.5 และไวรัสโคน่าแล้ว หน้ากากที่บางหน่วยงานแจกกันอยู่หรือที่ขายกันอยู่ใช้ได้ผลจริงหรือเปล่า เวลานี้ต้องใช้มากเพราะฝุ่นอยู่แล้ว รัฐบาลไม่ช่วยหา จะมีได้ยังไง ถ้าต้องใช้รับมือไวรัสอีกล่ะ จะไปหาจากไหน
การแก้ปัญหา #ฝุ่นPM2.5 และ #ไวรัสโคโรน่า ที่รัฐบาลประยุทธ์ทำอยู่ ไม่ใช่การบริหารภายใต้วิกฤต ความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลนี้และพลเอกประยุทธ์กำลังเป็นวิกฤตเสียเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น