รัฐบาลควรอุทิศเวลาให้ประชาชนผ่านพ้นวิกฤตความยากลำบาก และแก้ปัญหา "รวยเป็นจุดจนกระจาย”
นายกรัฐมนตรี จะเชิญมหาเศรษฐี 20 อันดับของไทยหารือเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากมาตรการของรัฐบาลในการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด 19 ได้เห็นถึงความตั้งที่จะช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางสังคม เศรษฐกิจปากท้อง ที่ประสบวิกฤตความยากลำบากถ้วนทั่ว ดังปรากฏภาพประชาชนต้องเข้าคิวรับอาหารจากผู้มีน้ำใจจัดเลี้ยงจำนวนมาก ซึ่งศักยภาพของมหาเศรษฐีในการช่วยจะมีมาก ความร่วมมือที่รัฐบาลต้องพึ่งเอกชน เอกชนต้องพึ่งรัฐบาล การทำงานร่วมกันให้เกิดประโยชน์ต่อคนในชาติที่กำลังเดือดร้อนจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
ความจริงมหาเศรษฐีของไทยหลายคน ได้ร่วมเป็นคณะทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ มาตลอด 5 ปี ในรูปประชารัฐ และเมื่อพิจารณาความร่ำรวยส่วนใหญ่แล้ว จะได้รับสัมปทานผูกขาดทำธุรกิจจากรัฐบาลแทบทั้งสิ้น จึงอดเป็นห่วงว่าจะทำให้ท่านหลงทิศผิดทางไปได้
เนื่องจากความเหลื่อมล้ำในด้านเศรษฐกิจรายได้ของไทยที่มากที่สุดขณะนี้ มหาเศรษฐีของไทยได้เป็นเงื่อนไขด้วยที่เกิดจากระบบทุนนิยมที่รัฐหนุนและกลุ่มทุนได้ผูกขาดธุรกิจหรือฉวยผลประโยชน์ทำให้ประเทศไทยมีกลุ่มคนที่มั่งคั่ง ร่ำรวยอยู่เพียงไม่กี่คนแต่ครองทรัพย์สินส่วนใหญ่ของประเทศไป เรียกว่า “รวยเพียงจุดแต่จนกระจาย”
ในช่วงเวลาที่ประสบวิกฤตขณะนี้นอกจากนายกรัฐมนตรีจะฟังเสียงมหาเศรษฐีแล้ว ที่สำคัญอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีควรอุทิศเวลาฟังเสียงและสัมผัสกับประชาชนที่เดือดร้อนทุกข์ยากทั่วประเทศ ผู้ด้อยโอกาส มีฐานะยากจน และได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดกับที่เกิดจากมาตรการรัฐบาลให้หยุด “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ที่มีผู้ได้รับผลกระทบมากกว่า 30 ล้านคนให้มากด้วย
ประชาชนเหล่านี้จะเป็นผู้ยืนยัน “ความเป็นจริงทางสังคม” ที่เป็นประโยชน์ต่อนายกรัฐมนตรีจะได้นำปัญหา
และถือโอกาสใช้วิกฤตโควิดทำการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และความมั่นคงจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า ส่วนตัวเห็นว่าต้องปฏิรูปประเทศเพื่อยุติปัญหาของประเทศ อาทิเช่น
1 ยุติปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจน ต้องกล้าที่จะปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ขจัดสัมปทานการผูกขาด ผสมผสาน ระบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม+ระบบรัฐสวัสดิการ+ระบบฐานคุณธรรม+ระบบเศรษฐกิจทางเลือกและนวัตกรรม มาสร้างรูปแบบเศรษฐกิจบนหลักการเรื่องความร่วมมือ การช่วยเหลือระหว่างประชาชน ความยุติธรรมทางสังคม และการตัดสินใจด้วยประชาธิปไตยทางตรงบนพื้นฐานที่ใช้ได้กับทุกวัฒนธรรม โดยมีเป้าคือขจัดความเหลื่อมล้ำและยากจนด้วย
2.ยุติเรื่องคนไม่ที่ดินทำกินและไม่มีที่อยู่อาศัยต้อง โดยปฏิรูปที่ดิน ป่าไม้ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมใหม่ ต้องปฏิรูปให้เกษตรมีที่ดินเป็นของตนเอง คนไม่มีที่อาศัยมีที่อยู่ แล้วประชาชนจะสามารถสร้างงานขึ้นมาเอง ในที่สุดจะนำไปสู่การแก้ปัญหาการว่างงานได้
3.ยุติรัฐรวมศูนย์ โดยกระจายอำนาจ และงบประมาณให้จังหวัด และท้องถิ่น ให้มีอำนาจในการกำหนดการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุขโรงพยาบาล การศึกษา วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา เกษตรกรรม การคมนาคมภายใน และภาษีท้องถิ่นฯ ตามรูปแบบที่ท้องถิ่นต้องการ ที่ผู้นำท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้ง ยกเว้นอำนาจด้านการต่างประเทศ การป้องกันประเทศ ความมั่นคง ตุลาการ การคลัง จะต้องเป็นอำนาจของส่วนกลาง
4. ปฏิรูประบบราชการ ทหาร และกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะระบบราชการ ต้องเปลี่ยนจากรัฐรวมศูนย์เป็นระบบราชการที่ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ทหารต้องแยกออกจากการเมือง ทำหน้าที่ป้องกันประเทศ ปกป้องประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและงานด้านความมั่นคงของประเทศ ในส่วนของศาลและกระบวนการยุติธรรมนั้นต้องให้ธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม และนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาใช้ในงานด้านกฎหมาย เช่นการทำสัญญา หรือการยกเลิกกฎหมายที่ขัดกับหลักนิติธรรม รวมถึงใช้ในการตัดสินคดีบางประเภทแทนศาล เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น