วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563

"ทวี" เตือนรัฐ ใช้งบฯแก้วิกฤตโควิด ต้องโปร่งใส-ซื่อสัตย์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ทำไม "กองทุนพยุงตลาดตราสารหนี้ วงเงิน 400,000 ล้านบาท" จึงไม่มีกลไกในการป้องกันการทุจริต?

“ความแข็งแกร่งของคนชั่ว กับความอ่อนแอของคนซื่อสัตย์และกฎหมาย” เป็นหายนะของประเทศและบ่อเกิดของการทุจริตคอร์รัปชัน

ประเด็นทีมีการวิพากษ์ถกเถียงได้ขยายวงกว้างขณะนี้ กรณี รัฐบาลออกพระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดตั้ง กองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (Corporate Bond Stabilization Fund หรือ BSF) มีเงินตั้งต้น 400,000 ล้านบาท

การซื้อหุ้นกู้หรือตราสารหนี้คือการที่เราซื้อหน่วยลงทุนจากบริษัท(ส่วนใหญ่เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์) คาดหวังว่า จะได้ดอกเบี้ยที่มากกว่าฝากเงินกับธนาคาร  ในขณะเดียวกัน บริษัทที่ออกหุ้นกู้ก็ได้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าการกู้จากธนาคาร ถือว่าผู้ซื้อและผู้ขายได้รับประโยชน์ทั้งคู่

ยกตัวอย่างดังนี้ การฝากธนาคารให้ดอกเบี้ย 2% ต่อปี แต่การซื้อหุ้นกู้ฯ บริษัทให้ดอกเบี้ย 3%  การที่บริษัทจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ 3% ก็ถูกกว่าจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคาร 4%

การที่บุคคลคนหนึ่งซื้อหุ้นกู้นั้นก็เสมือนเป็นการปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัท มิได้แปลว่าซื้อหุ้นของบริษัทนั้น และไม่เกี่ยวกับหุ้นของบริษัทนั้นแต่อย่างใด และสามารถขายหุ้นกู้ให้กับผู้อื่นได้ กรณีนี้เรียกว่าผู้รับซื้อหุ้นกู้ในตลาดรอง เพราะไม่ได้ซื้อหุ้นกู้ที่ออกใหม่โดยตรงจากบริษัท  ผู้รับซื้อต่อนั้นก็จะได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นตามเงื่อนไขของหุ้นกู้เหมือนกัน

กองทุน BSF สามารถช่วยบริษัทเอกชนที่ไม่สามารถหาเงินมาชำระหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระได้ แต่บริษัทเอกชนที่ต้องการให้ BSF ช่วยนั้น จะต้องหาเงินมาช่วยตัวเองเพื่อชำระหนี้ได้ไม่ต่ำกว่า 50% ก่อน และมีข้อยกเว้นผ่อนคลายได้ที่ขึ้นอยู่กับ ‘คณะกรรมการกำกับกองทุน’ และให้อำนาจรัฐมนตรีคลังไว้มากที่คำวินิจฉัยหรือคำชี้ขาดถือเป็นที่สิ้นสุด

ตามพระราชกำหนดฯ จะมีคณะกรรมการอยู่ 2 คณะ คือ  ‘คณะกรรมการกำกับกองทุน’ มีด้วยกัน 7 คน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ,ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นรองประธานกรรมการ ,ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ,ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยคำแนะนำของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านตลาดทุนด้านตลาดตราสารหนี้ หรือด้านกฎหมาย จำนวนไม่เกิน 3 คน

และ ‘คณะกรรมการลงทุน’  จำนวน 5 คน ประกอบด้วย รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นประธานกรรมการ, ผู้แทนสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ, ผู้แทนกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านตลาดทุนหรือด้านการเงินการธนาคาร จำนวนไม่เกิน 2 คนเป็นกรรมการ

‘คณะกรรมการลงทุน’ มีหน้าที่และอำนาจคัดเลือกตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือหุ้นกู้เพื่อซื้อตราสารหนี้หรือหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มีคุณภาพ ระดับอินเวสท์เมนท์เกรด หรือหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตตั้งแต่ BBB- ขึ้นไป  (เรทติ้งที่ดีที่สุด คือ AAA ที่แทบจะไม่เสี่ยงเลย จากนั้นไล่ลงไป B, C และแย่ที่สุด คือ D ซึ่งหมายถึง Default หรือมีสถานะผิดนัดชำระหนี้ไปแล้ว ยิ่งตัวอักษรซ้ำหลายตัว หรือมีประจุบวก แสดงว่าคุณภาพดีกว่าอักษรตัวเดียวหรือไม่มีประจุ) และเป็นการระดมทุนเพื่อชำระหนี้หุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดการไถ่ถอน โดยผู้ออกหุ้นกู้จะต้องจัดหาแหล่งเงินทุนจากภายในและภายนอกให้ได้ 50% แต่อาจมีการผ่อนผันน้อยกว่าจาก ‘คณะกรรมการกำกับกองทุน’ ได้

ประสบการณ์ที่เคยทำงานด้านสืบสวนสอบสวนคดีตลาดเงินและตลาดทุน ได้พบแผนประทุษกรรมที่กฏหมายกำหนดให้มี  “ระบบอนุญาต” และ “ระบบของคณะกรรมการ”  และเมื่อพิจารณา พรก กองทุน BSF  เห็นว่ามีจุดอ่อนคือไม่มีกลไกในการป้องกันการทุจริตไว้ โดยสรุป คือ

1. คณะกรรมการฯ ทั้ง 2 คณะ ไม่มีห้ามเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของคณะกรรมการและระบบอนุญาตไว้ จึงเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน ได้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 วรรคสาม จึงให้กำหนดเงื่อนไขให้การบัญญัติกฎหมายให้หลีกเลี่ยงระบบอนุญาตและระบบคณะกรรมการ และหากมีความจำเป็น จะต้องบัญญัติเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ไว้ เพื่อไม่ให้กรรมการใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการใดไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อม  อันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่เพื่อหาประโยชน์ของตนเอง  ของผู้อื่น โดยมิชอบ

ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ได้เคยมีการออก พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 หรือ ปรส เช่นกัน แต่ พรก ปรส ได้มีข้อกำหนดห้ามเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของคณะกรรมการไว้ อาทิ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและเลขาธิการ ปรส ต้องไม่เป็นข้าราชการการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง, ต้องไม่เป็นกรรมการหรือผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน หรือต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นลูกหนี้ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดไว้ เป็นต้น

ในการขายทรัพย์สิน ปรส ได้ออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขายทรัพย์สินฯ ที่ป้องกันเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ไว้อย่างรัดกุม คือ ผู้ประมูลและผู้ซื้อต้องมิใช่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับ คณะกรรมการ ปรส ที่ปรึกษาของคณะกรรมการ ปรส คณะอนุกรรมการของ ปรส และพนักงานของ ปรส รวมถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับ ปรส ไว้อีกด้วย

แม้ พรก ปรส จะกำหนดเรื่องผลประโยชน์ขัดกันอย่างรัดกุมก็ตามก็ยังเกิดการกล่าวหาฟ้องร้องดำเนินคดีต่อคณะกรรมการ ปรส จำนวนหลายคดีเรื่องการขายสินทรัพย์ของ ปรส ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานองค์ของรัฐร่วมกันปฏิวัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ที่ศาลฎีกาตัดสินคดีที่ประธานคณะกรรมการและเลขาธิการ ปรส เป็นจำเลย ว่ามีความผิดด้วย

ซึ่งใน พรก กองทุน BSF ไม่มีกำหนดข้อห้ามเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของคณะกรรมการทั้ง 2 คณะไว้ใน พระราชกำหนดแต่อย่างใดเลย

2. พรก กองทุน BSF การบริหารจัดการเป็นเพียง “ระบบของคณะกรรมการ” ไม่มีองค์กรและเจ้าพนักงานทำงานเต็มเวลาหรือไม่มีเจ้าภาพเฉพาะที่กำหนดไว้ในกฎหมาย จึงหาตัวผู้รับผิดชอบไม่ได้ ทั้งที่ กองทุน BSF มีวงเงินมากถึง 400,000 ล้านบาทและตลาดตราสารหนี้มีขนาดประมาณ 3.6 ล้านล้านบาท กลับไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐทำงานเต็มเวลา เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก

ที่ต่างกับ ปรส ที่มีองค์กรและเจ้าหน้าที่ทำงานเต็มเวลาโดยมีเลขาธิการ ปรส ที่แต่งตั้งจาก ครม ปฏิบัติให้ ปรส เต็มเวลา และการที่กองทุน BSF ไม่ได้กำหนดให้มีผู้รับผิดชอบไว้ หากมีการกระทำเกิดความเสียหายหรือไม่ชอบเกิดขึ้น การสอบสวนหาผู้รับผิดชอบทำให้เกิดความเสียหายจะยากและจะอ้างว่าไม่มีกฏหมายกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบไว้และขาดเจตนา

3. พรก. อาจเกิดการเลือกปฏิบัติมีความไม่เสมอภาพ  ที่กำหนดให้ช่วยเหลือบริษัทที่อยู่ในระดับดี ทั้งที่ตลาดตราสานหนี้มีขนาด 3.6 ล้านล้านบาท กองทุนในวงเงิน 4 แสนล้านบาท หรือประมาณเพียงร้อยละ 10 ของตลาดตราสารหนี้ และหลักเกณฑ์ที่กำหนดว่า ช่วยผู้ออกตราสารหนี้เอกชนส่วนใหญ่ที่มีฐานะการเงินดี แข็งแกร่งนั้น ที่ภาวะปกติบริษัทเหล่านี้สามารถออกตราสารหนี้ใหม่ หรือหาแหล่งเงินกู้อื่น เพื่อมาชำระตราสารหนี้เดิมได้อยู่แล้ว ยิ่งหากภาครัฐเป็นกำแพงหนุนให้เช่นนี้อีกประโยชน์ยิ่งตกแก่บริษัทใหญ่ซึ่งหากมองย้อนกลับไปในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า มูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้น กองทุน BAF ต้องให้ความสำคัญในเรื่องความเสมอภาคในการช่วยเหลือด้วย มิเช่นนั้นจะเป็นการสนับสนุนความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยให้สูงมากขึ้นได้

การช่วยเหลือจากรัฐเพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตทางการเงินก็ถือเป็นเรื่องที่ดี และส่วนตัวจะไม่มีความสงสัยกับผู้ที่จะเป็นคณะกรรมการ Corporate Bond Stabilization Fund (BSF) ในเรื่องความไม่โปร่งใสและความซื่อสัตย์เลย แต่การตรากฏหมายหรือพระราชกำหนดต้องเกิดประโยชน์สูงสุดกับปวงชนและต้องมีมาตรฐานตามรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นหลักประกันในการคุ้มครองความเสมอภาคของประชาชน ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดจากนโยบายรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตโควิด 19 มีผลกระทบอย่างที่รุนแรงต้องแก้ไขด่วนขณะนี้ คือเรื่องความอยู่รอดของประชาชนมากกว่าความจน การแก้ปัญหาความอยู่รอดนั้นอาจต้องไม่แก้แบบปัญหาความจน เพราะแม้ ‘เงินถึงมือแต่ข้าวยังไม่ถึงปาก’ ที่นำมาถึงการอดตายแล้วจะส่งผลความไม่พอใจที่ขัดแย้งในสังคมที่รุนแรงมากขึ้น จนยากต่อการแก้ไขปัญหาได้

https://www.facebook.com/2631268303555462/posts/3557655844250032/?d=n

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง
เลขาธิการพรรคประชาชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น