ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
รำลึกเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์พฤษภาทมิฬผ่านไปแล้วเป็นเวลาถึง 28 ปี นึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้วยังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้เอง อาจเป็นเพราะมีงานรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นกันอยู่เป็นประจำและมีการวิเคราะห์ศึกษาบทเรียนจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นอยู่บ่อยๆ
ความจริงการต่อสู้ของประชาชนหลังการรัฐประหารของรสช.ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2534 ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เป็นการต่อสู้ที่มีความหมายอย่างมากเพราะนอกจากทำให้หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจเผด็จการแล้วยังทำให้เกิดการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 14 ปี กว่าจะมีการรัฐประหารอีกครั้งในปี 2549
กล่าวได้ว่าช่วงเวลา 14 ปี จากปี 2535 - 2549 เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดที่ประเทศไทยอยู่กันอย่างเป็นประชาธิปไตยพอสมควรและปลอดจากการรัฐประหาร
การรัฐประหารของรสช.ในปี 2534 กับการรัฐประหารของคมช.ในปี 2549 มีผลต่อเนื่องตามมาที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้น่าศึกษาว่าหลังจากที่มีการพัฒนาประชาธิปไตยติดต่อกันมาถึง 14 ปี มีเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้บ้านเมืองถอยหลังอย่างมากในหลายแง่มุม
คณะรสช.หมดบทบาทลงไปในเวลาสั้นๆจากแรงต่อต้านของหลายฝ่ายทั้งประชาชน ภาคประชาสังคม นักศึกษา สื่อมวลชนและพรรคการเมือง รวมทั้งชนชั้นนำด้วยกันเอง นำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยขึ้นระดับหนึ่งก่อนที่จะเกิดการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ที่ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายโดยเฉพาะประชาชนในเวลาต่อมา
ระบบรัฐสภา ระบบพรรคการเมืองถูกทำให้เข้มแข็งขึ้น พร้อมๆกับการตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็งขึ้นด้วย แต่ต่อมาพลังประชาชนแตกเป็นฝักเป็นฝ่าย ชนชั้นนำที่เคยแตกแยกกันมากกลับผนึกกำลังกันได้มากขึ้นๆ คนชั้นกลางที่เคยเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยย้ายข้างไปเป็นจำนวนมาก
การรัฐประหารในปี 2549 ไม่ได้ถูกสกัดกั้นขัดขวางอย่างที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่กลับพัฒนาไปสู่การยื้ออำนาจกันระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตยอยู่หลายปีก่อนที่จะถอยหลังไปสู่ความเป็นเผด็จการมากยิ่งขึ้นในการรัฐประหารปี 2557 ที่ทำให้เกิดระบอบการปกครองที่ล้าหลังยิ่งกว่ายุคสมัยใดๆ ขณะที่ชนชั้นนำผนึกกันเป็นปึกแผ่น มีกฎกติกาที่ร้อยรัดกันไว้อย่างเข้มแข็งมั่นคงกว่าสมัยก่อนๆ ส่วนพลังประชาชนก็ยังคงแตกเป็นฝักเป็นฝ่ายและพรรคการเมืองถูกทำลายให้อยู่ในสภาพที่อ่อนแอ
หรือว่าการเปลี่ยนแปลงในเดือนพฤษภาคม 2535 และพัฒนาการหลังจากนั้นเกิดขึ้นได้เนื่องจากความแตกแยกอ่อนแอของชนชั้นนำไทยเป็นการชั่วคราวทำให้ชนชั้นนำต้องอยู่ในสภาพจำยอม ตกกระไดพลอยโจน พอตั้งหลักได้ก็กลับมายึดทุกอย่างคืนไป
หรือว่าพลังทางสังคมทั้งภาคเอกชนและประชาชนยังไม่มีความเชื่อที่แท้จริงต่อหลักการประชาธิปไตยเหมือนกับตอนที่หลายฝ่ายไชโยโห่ร้องที่ได้คนนอกเป็นนายกฯอีกครั้งหลังจากการเสียเลือดเสียเนื้อในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่ต่อต้านคัดค้านคนนอกเป็นนายกฯผ่านไปหยกๆ
มองย้อนกลับไปในอดีตแล้วเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ยังมีเรื่องที่น่าศึกษาทำความเข้าใจสังคมไทยไม่น้อย ในแง่มุมที่มีทั้งน่าหดหู่และทำให้เกิดกำลังใจ
ที่น่าหดหู่เพราะวันนี้บ้านเมืองดูจะถอยหลังไปกว่าเมื่อปี 2534-2535 ด้วยซ้ำ
แต่เมื่อดูพัฒนาการทางการเมืองในระยะใกล้มากๆคือในเร็วๆนี้เปรียบเทียบกับในอดีต ก็จะเห็นด้านที่ทำให้เกิดกำลังใจอยู่เหมือนกัน ขณะนี้พลังฝ่ายประชาชนดูจะลดความแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายลงไปบ้าง พลังใหม่ๆเกิดขึ้นและกำลังเติบโตเข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ชนชั้นนำก็ดูจะลดความเป็นเอกภาพลงไปมากและหัวหน้ารัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารก็กำลังเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของพรรคการเมือง แม้พรรคฝ่ายค้านยังต้องการการปรับตัวและต้องผ่านการทดสอบอีกพอสมควร แต่ก็มีประชาชนสนับสนุนอยู่ไม่น้อย ส่วนพรรคการเมืองที่สนับสนุนผู้มีอำนาจก็กำลังอ่อนแอลงมาก พรรคที่เป็นแกนของรัฐบาลที่พยายามทำตัวให้แตกต่างจากพรรคการเมืองในสมัยรสช.ก็กำลังขัดแย้งภายในและดูเหมือนกำลังจะเปลี่ยนแปลงถอยหลังไปสู่การเป็นพรรคการเมืองแบบพรรคสามัคคีธรรมในสมัยรสช.เข้าไปทุกที
จะว่าไป การรำลึกถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปีนี้ ยังมีเรื่องให้ศึกษาค้นคว้ากันต่อ
ที่จะต้อง "ตามหาความจริง” เกี่ยวกับการสังหารประชาชนที่เคยมีความพยายามกันมาแล้วและยังไม่พบความจริงก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องหาความจริงกันต่อไป
ส่วนการศึกษาเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันก็มีทั้งด้านที่เป็นปริศนาและน่าหดหู่ ขณะเดียวกันก็มีด้านที่ทำให้เกิดกำลังใจในอันที่จะช่วยกันผลักดันให้บ้านเมืองเป็นประชาธิไตยมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น