พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ตามหาหลักประกันความปลอดภัยของประชาชนจากการถูกซ้อมทรมานและบังคับสูญหาย
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ได้กล่าวในเวทีเสวนา "ตามหาวันเฉลิม" เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 บางตอนถึง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือเรียกสั้นๆว่า กฏหมายป้องกันซ้อมทรมานและอุ้มหาย ว่า ผมกับคุณชัยธวัช (เลขาธิการพรรคก้าวไกล ) และพรรคร่วมฝ่ายค้าน เห็นด้วยว่าต้องผลักดันในเกิดเป็นพระราชบัญญัติขึ้น ในหลักการทั่วไปของกฏหมายที่มีโทษทางอาญา คือ กฏหมายต้องทำให้คนทุกคนได้รับความยุติธรรม , กฎหมายต้องสร้างความเสมอภาคให้กับคนทุกคน ,กฎหมายต้องคุ้มครองคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และการประทุษร้ายต่อเสียชีวิตและร่างกายของบุคคลด้วยวิธีการนอกกฎหมายจะทำไม่ได้เด็ดขาด
ในเรื่อง กฏหมายป้องกันซ้อมทรมานและอุ้มหาย ส่วนตัวได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อปี พ.ศ. 2552 ถึงต้นปี 2554 ขณะดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรมที่กำกับกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ที่ภายหลังประเทศไทยรับอนุสัญญาเรื่องการต่อต้านการทรมาน เมื่อปี 2550 กระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิ์ฯเป็นหน่วยดำเนินการศึกษาที่ ผมเป็นประธานการประชุมรับฟังรายงานคืบหน้าเป็นประจำโดยให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้วิจัย ได้เชิญหลายฝ่ายเข้ามาประชุมระดมสมองความคิดเห็นจากทุกฝ่าย มีแนวคิดเป็น 2 ทาง คือการพยายามเอาเรื่องนี้ไปใส่ในกฎหมายอาญาและวิอาญาที่ขาดหายไป คืออัตราโทษมันจะต่ำไป และไม่มีเรื่องการเยียวยา กับอีกแนวคิด คือร่างพระราชบัญญัติเฉพาะต่อมาปี 2554 ผมได้ย้ายไปเป็นเลขา ศอ.บต. เรื่องยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา
อยากจะเรียนคำพูดที่เป็นอมตะว่า “ชนชั้นใด เป็นผู้เขียนกฎหมาย กฎหมายก็มุ่งจะรับใช้ชนชั้นนั้น” แม้กฏหมายป้องกันซ้อมทรมานและอุ้มหาย จะเป็นเรื่อบังคับให้ต้องมีเพราะประเทศไทยเข้า เป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯจากข้อมูลพบว่ากฏหมายร่างเสร็จ ตั้งแต่ ปี 2557 เสนอ ครม ส่งไปกฤษฎีกา และส่งกลับมา ครม จากนั้นได้ส่งให้สภานิติบัญญัติ หรือ สนช กฏหมายฉบับนี้ได้ตีไปตีมาวิ่งไปกลับเพื่อให้ยืนยันถ้อยคำอยู่ตลอดเพื่อประวิงเวลา ประมาณ 7 ครั้ง ในขณะที่ในช่วง สนช. นั้น มีกฎหมาย หรือ พระราชบัญญัติถูกตราขึ้นใหม่ ประมาณ 412 ฉบับ ยังไม่นับรวมคำสั่ง ประกาศ คสช. และหัวหน้า คสช อีกประมาณ 500 ฉบับ
ซึ่งกฎหมายมากส่งพิจารณา ให้รัฐบาลและ สนช ภายหลัง ร่าง พรบ.ป้องกันซ้อมทรมานและอุ้มหายฯ
ท้ายสุด พลเอกประยุทธ์ ฯนายกรัฐมนตรี มีมติ ครม. ให้ถอนร่าง ป้องกันซ้อมทรมานและอุ้มหายเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 เอามาเริ่มต้นใหม่ แสดงถึงการขาดความจริงใจและไม่ต้องการให้กฎหมายฉบับนี้เกิด เห็นว่า กฏหมายสามารถรับใช้อำนาจเผด็จการได้นั้นเอง เพราะเผด็จการมีมุมมองเรื่องความมั่นคงของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เหนือความมั่นคงของประชาชน
พรรคฝ่ายค้านมีความเห็นร่วมกันว่าจะเสนอกฎหมายและสนับสนุนภาคประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบ นักสิทธิมนุษยชนที่ผลักดันให้เกิดกฏหมาย ป้องกันซ้อมทรมานและอุ้มหาย ด้วย
มีประเด็นที่อยากจะแลกเปลี่ยน ในเรื่องกฏหมาย รัฐบาลไทยหรือคนในกระบวนการยุติธรรมส่วนใหญ่มีวิธีคิดอยู่ในกรอบที่เรียกว่า Crime control model คือเจ้าหน้าที่จะมองว่ามุ่งที่จะควบคุม ปราบปราม อาชญากรรมเป็นสำคัญ แต่ถ้าเป็นหลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และภาคประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย จะมีแนวคิดที่เรียกว่า due process model ก็คือว่า ต้องเน้นหนักถึงความเป็นธรรม การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ การให้ความสำคัญของกระบวนการและขั้นตอนที่ชอบโปร่งใสไม่ไปละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ความจริมทั้ง 2 รูปแบบต้องการค้นหาความจริงเป็นเป้าประสงค์สุดท้ายเหมือนกัน ที่ต่างกันคือ วิธีแรกถ้าอย่างไรเอาความจริงให้เกิด แม้จะทรมานก็ได้เพื่อความจริง สมัยก่อนจึงเห็นว่าใครจับผู้ต้องหาได้ จะเป็นฮีโร่ ในเบื้องหลังของฮีโร่ก็ไม่สนใจ
จะเห็นว่าทั้ง 2 รูปแบบ นี้เราจะมีจุดยึดเหมือนกัน ก็คือ “กฎหมาย” ทีนี้เรื่องกฎหมายผมถือว่าเป็นรากเหง้าที่สำคัญของความยุติธรรม อย่างที่บอกว่ากฎหมายลักษณะที่กล่าวมาแล้วข้าต้น กฏหมายต้องมุ่งประโยชน์สูงสุดของประชาชนมากที่สุด ก็คือประชาธิปไตย แล้วในมุมของประชาธิปไตยเขาบอกว่า ”อาชญากรรมจะต้องเป็นภยันตรายต่อสังคม” ไม่ใช่ “ภยันตรายต่อชื่อเสียงของคนใดคนหนึ่ง หรืออารมณ์ของคนใดคนหนึ่ง” อันนี้อยากให้เข้าใจ ทีนี่พอเราจึงเห็นว่า ถ้ากฎหมายออกโดยผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มหรือผู้มีอำนาจไม่ใช่กฏหมายที่ดี อย่างรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 4 เขียนไว้ดีมาก ‘ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับการคุ้มครอง’ แต่ข้อความในวรรค 2 ‘ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอ’ ทุกท่านทราบหรือไม่ว่า มาตรา 279 สุดท้ายของรัฐธรรมนูญ บรรดาประกาศคำสั่งหรือการกระทำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคำสั่งของหัวหน้า คสช. ที่ผมบอก 500 เนี่ยยังมีอยู่ และยังให้เป็นอยู่ ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เริ่มต้นกฎหมายสูงสุดของประเทศก็ขัดหลักการประชาธิปไตยแล้ว เพราะคำสั่ง คสช. หรือหัวหน้า คสช ล้วนละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และสิทธิมนุษย์ชน ที่ค้างอยู่ มันยังใช้ได้
ขอเสนอมุมมองในมิติของการบังคับใช้กฎหมาย ที่ผมชอบนิยามหนึ่งในทางอาชญาวิทยา คำว่า “อาชญากร” ไม่หมายความรวมถึงผู้ที่กระทำที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิดเท่านั้น แต่ให้รวมถึง ผู้ร่างกฎหมาย ผู้บงการให้ร่างกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดด้วย
วันนี้เราน่าจะถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องมาปฏิรูป ยกเลิกกฏหมาย หรือทำกฎหมายใหม่เริ่มต้นที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เลย ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดวันนี้ ทำอย่างไรจะให้ประชาชนหวงแหนเป็นเจ้าของกฏหมายให้ได้ ทำอย่างไร จะให้กฎหมายเป็นประชาธิปไตยให้ได้ เป็นกฏหมายให้เกิดความยุติธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่ความยุติธรรมตามกฎหมาย ผู้กระทำผิดเอาตัวมาลงโทษ ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวล