วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

“สุดารัตน์” ลงพื้นที่ประตูน้ำ รับฟังปัญหาผู้ประกอบการ

"สุดารัตน์" เดินประตูน้ำ ให้กำลังใจผู้ค้า ระบุยอดขายหายร้อยละ90 ทยอยปิดกิจการ ชี้แผน กระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐเข้ารายใหญ่ แนะทบทวนวิธีใช้เงินกู้ใหม่ ช่วยค่าใช้จ่ายแรงงานผ่านร้านค้า แจกตรงคูปองท่องเที่ยว 



คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย รวมถึงอดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย อาทิ นายสุรชาติ เทียนทอง นางสาวลีลาวดี วัชโรบล นายประพนธ์ เนตรรังษี เดินเยี่ยมชมตลาดค้าส่งย่านประตูน้ำ เพื่อรับฟังปัญหาและความทุกข์ยาก พบผู้ประกอบการได้ผลกระทบอย่างหนัก ยอดขายตกลงกว่าร้อยละ 90 ขณะที่บางร้านค้าไร้ยอดเปิดบิล ผู้ค้าจึงทยอยปิดกิจการไม่สามารถแบกรับภาระหนี้สิน โดยเฉพาะต้นทุนของสินค้า และค่าเช่า กระทบแรงงานในระบบที่ทยอยตกงาน ผลกระทบเช่นนี้ อาจรักษากิจการได้อีกไม่เกินสามเดือน


ซึ่งสามารถสังเกตได้จากบรรยากาศที่แตกต่างไปจากในอดีตที่จะมีพี่น้องประชาชนพ่อค้าแม่ขายมาเดินเลือกหาซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันบรรยากาศการค้า เงียบเหงาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้แต่ร้านค้าที่อยู่บริเวณริมถนน ซึ่งจะมีพ่อค้า และรถรับส่งสินค้าในลักษณะค้าส่งเข้าออกเป็นประจำก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน เสียงจากผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆยังระบุด้วยว่า นอกจากพื้นที่ย่านประตูน้ำซึ่งได้รับผลกระทบแล้ว ห้างสรรพสินค้าอย่าง Platinum ห้างสรรพสินค้าอย่างมาบุญครอง ย่านการค้าที่สำเพ็งและพาหุรัด ก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน


ผู้ค้าระบุ กับคุณหญิงสุดารัตน์ด้วยว่า ยอดจองสินค้าจากต่างประเทศหายไปทั้งหมด ขณะที่ยอดขายให้กับผู้ค้าในประเทศ และรับไปขายต่อแบบออนไลน์ก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน พ่อค้าที่เคยรับสินค้าไปขายต่อในพื้นที่ต่างจังหวัด ลดจำนวนการสั่งลงหรือบางรายยุติการสั่งซื้อเนื่องจาก ประชาชนไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เข้ามาซ้ำเติม


คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่าความหวังเดียวที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้ คืออมาตรการ กระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในโดยเฉพาะ เงินกู้ของรัฐบาลสี่แสนล้านบาท ต้องเข้าไปให้ถูกที่ถูกทางยิงให้ตรงจุดให้ถูกที่ แต่เมื่อพิจารณาจากโครงการที่พ่อค้าเขียน ไม่พบว่างบจะลงมาถึงคนตัวเล็ก คนรากหญ้า ที่จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ใหม่ งบดังกล่าวจึงเป็นเสมือนงบที่ถูกนำมาแบ่งกันระหว่างพ่อค้าและข้าราชการ จึงขอให้เร่งแก้ไข หรือรื้อใหม่ทั้งระบบ
.
คุณหญิงสุดารัตน์เห็นว่างบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 และงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 รวมกับเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ถือเป็นเงินกู้มหาศาล หากรัฐบาลไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ภายใน 3 เดือน คนตัวเล็กตัวน้อยจะเผชิญกับวิกฤต เศรษฐกิจของประเทศอาจพังลงได้ ดังนั้นนายกฯต้องลงมารับฟังปัญหาเพื่อบอกว่าจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร?


คุณหญิงสุดารัตน์เห็นว่าในส่วนของเงินกู้ กระตุ้นเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท เช่นแพ็คเกจการท่องเที่ยว ซึ่งกำหนดวงเงินใช้จ่ายไม่เกิน 3,000 บาท โดยรัฐจะช่วยร้อยละ 40 นั้นเป็นมาตรการที่ช่วยเหลือได้เฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น เพราะเงื่อนไขดังกล่าวจะทำให้คนเลือกเข้าพักกับผู้ประกอบการรายใหญ่  จึงเห็นได้ว่ามาตรการที่รัฐออกมาในหลายมาตรการนั้น เข้าไปที่ผู้ค้ารายใหญ่ทั้งหมด


พรรคเพื่อไทยจึงเสนอว่าในการกระตุ้นการท่องเที่ยวควรจัดเป็นพื้นที่ ขณะที่การดูแล SMEs ต้องช่วยไม่ให้ผู้ประกอบการเลิกการจ้างงาน โดยเชิญชวนให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าระบบ และช่วยเหลือค่าจ้างแรงงานผ่านร้านค้าและบริการ ซึ่งจะช่วยดูแลไม่ให้ผู้ค้าเลิกจ้างงานได้ ซึ่งเชื่อว่าร้านค้าต่างๆยินดีปฏิบัติตามเงื่อนไข
.
ส่วนการแจกคูปองการกระตุ้นเศรษฐกิจขอให้แจกตรง ซึ่งมีหลากหลาย Application ที่ไม่มีความยุ่งยาก รวมถึงการ กระตุ้นในลักษณะพื้นที่ เช่นที่ประตูน้ำ คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า จะช่วยประชาสัมพันธ์ในลักษณะกิจกรรมเชิญชวน ให้เกิดการซื้อในลักษณะ มหกรรมลดครั้งใหญ่ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการซื้อขาย

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"สุดารัตน์" ติงรัฐเกาไม่ถูกที่คัน กระตุ้นการท่องเที่ยวเข้ากระเป๋ารายใหญ่

"สุดารัตน์"ติงรัฐบาลเกาไม่ถูกที่คันกระตุ้นการท่องเที่ยวเข้ากระเป๋ารายใหญ่ ผู้ประกอบการรายเล็กโอดอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 เดือน



คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย พร้อมคณะลงพื้นที่พบผู้ประกอบการและชาวบ้านบนเกาะพีพี จังหวัดกระบี่ โดยกล่าวถึงภาพรวมว่าการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตและกลุ่มหมู่เกาะอันดามันสร้างรายได้รวมกันกว่าห้าแสนล้านบาทต่อปี ส่งผลให้มีการจ้างงานเกือบสองแสนคนในธุรกิจ ทั้งรถ ร้านอาหาร ร้านนวด โรงแรม ฯลฯ แต่เมื่อประสบกับการระบาดของโควิด-19 ทำให้การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวโดยเฉพาะทางเครื่องบินยังน้อย ทำให้มีผู้ตกงานจำนวนมาก ผู้ประกอบการต้องการให้รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือที่ครอบคลุม เพราะตอนนี้ผู้ประกอบการรายเล็กเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ ไม่ได้รับเงินเยียวยา และหากยังเป็นอย่างนี้ต่อหลายรายอาจต้องปิดกิจการในเดือนหน้า และหากมีการเปิดประเทศหลังการระบาด ไทยก็จะไม่มีธุรกิจเหล่านี้เนื่องจากปิดตัวไปหมดแล้ว ผู้ประกอบการยังสะท้อนปัญหาของโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ว่ามีเงื่อนไขรัฐบาลช่วยเหลือ 40% ไม่เกิน 3,000 บาทของค่าที่พัก ทำให้ลูกค้าที่จะเข้าพักส่วนใหญ่ก็จะไปจองโรงแรมใหญ่ราคาแพงเพื่อให้ได้ส่วนลดมาก การใช้จ่ายส่วนนี้จึงเข้าไม่ถึงโรงแรมขนาดเล็ก เป็นเหมือนการเกาไม่ถูกที่คัน เหมือนนโยบายแจกเงินของรัฐบาลที่ผ่านมาเงินเหล่านั้นเข้ากระเป๋าผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่รายเล็กตายหมด "ถ้ากู้เงินมาแล้วประชาชนต้องเป็นหนี้ เอามาทำนโยบายแล้วเกาไม่ถูกที่คัน ฟื้นเศรษฐกิจไม่ได้ เกินอีกเดือนสองเดือนหน้า ธุรกิจจะเจ๊งอีกเยอะ คนจะตกงานอีกเยอะ"

คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงกระแสของคนไทยที่ไม่มาเที่ยวภูเก็ตเพราะมองว่ามีค่าครองชีพสูง ว่า ในอดีตอาจจะใช่ แต่ปัจจุบันหลังจากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นโอกาสที่คนไทยควรจะเที่ยวมากที่สุดเพราะราคาสินค้าและบริการต่างๆ เช่น ค่าเดินทาง ค่าเรือ ค่าที่พัก อาหาร ค่าครองชีพ ฯลฯ ถูกลง และทะเลสวยมาก หลังไม่มีนักท่องเที่ยวก็มีปลากลับมา ทะเลใส สวย และมีคนเบาบาง เป็นโอกาสที่จะมาเที่ยวช่วงนี้ ดังนั้นหากใครที่ตั้งใจจะเที่ยวอยู่แล้วก็มาช่วยกันกระจายรายได้ แต่สำหรับหลายคนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ ตนมองว่าถ้านโยบายทางเศรษฐกิจที่ทุ่มเงิน 4 แสนล้านบาทและ 3.3 ล้านล้านบาท แบบเกาไม่ถูกที่คัน ประเทศจะแย่แน่ ตั้งแต่ปี 2563-2564 รัฐบาลมีเงินใช้กว่า 8 ล้านล้านบาท มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ถ้าใช้เงินเหล่านี้ไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ก็ไม่มี ตนจึงฝากว่าวันนี้วิกฤตจริงๆ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง

"จาตุรนต์" หนุนการเคลื่อนไหวนักศึกษา เตือนประยุทธ์หยุดคุกคามเยาวชน

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกฯรัฐมนตรี เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


มองการเคลื่อนไหวของเยาวชนและคำเตือนถึงพลเอกประยุทธ์

การเคลื่อนไหวของเยาวชนนักเรียนนักศึกษาที่กำลังขยายตัวกว้างขวางและรวดเร็วในขณะนี้เป็นความต่อเนื่องจากสถานการณ์เมื่อปลายปีก่อน เมื่อเยาวชนนักเรียนนักศึกษาเห็นความล้มเหลวของระบบยุติธรรม ความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ทำให้เยาวชนทั้งหลายเห็นว่าพวกตนไม่มีอนาคต ซ้ำเติมด้วยความเหลวแหลกของรัฐบาลที่เห็นได้จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา แต่การเคลื่อนไหวในขณะนั้นสะดุดหยุดลงเสียก่อนเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19

เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายมาจนถึงขั้นที่ควบคุมการแพร่ระบาดได้แล้ว การเคลื่อนไหวของเยาวชนนักเรียนนักศึกษาจึงเกิดขึ้นอีกระลอกหนึ่ง สถานการณ์ในขณะนี้ทำให้การเคลื่อนไหวของเยาวชน นักเรียนนักศึกษามีเหตุผลชอบธรรมมากยิ่งขึ้นไปอีกและผู้เข้าร่วมสนับสนุนมากขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างกล่าวคือเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงและไม่สามารถฟื้นได้เร็ว ธุรกิจจำนวนมากล้มละลายหรือต้องปิดกิจการ คนตกงานนับสิบล้านซึ่งสังคมไทยไม่เคยเจอมาก่อนและไม่มีมาตรการและงบประมาณรองรับ นักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษาส่วนใหญ่จะไม่มีงานทำ ระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์ในการสร้างคนที่เหมาะสมสอดคล้องกับเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ถูกเร่งรัดให้ต้องปรับตัวจากสภาวะนิวนอร์มอล ทำให้เยาวชนทั้งหลายยิ่งมองไม่เห็นอนาคต

ในขณะที่คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆเห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถแก้ปัญหาประเทศได้ ก็พอดีมาเกิดการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์กันในพรรคร่วมรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อการปรับคณะรัฐมนตรีที่ยิ่งทำให้เห็นว่ารัฐบาลนี้จะไม่มีทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมของประเทศได้เลย

เรื่องที่ซ้ำเติมความรู้สึกของเยาวชนและประชาชนอย่างรุนแรงที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือกรณีการสั่งไม่ฟ้องคดี “กระทิงแดง" ที่กำลังอื้อฉาว ตอกย้ำความไม่เท่าเทียม เลือกปฏิบัติและความล้มเหลวของระบบยุติธรรมของประเทศนี้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

สภาพการณ์เหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึกกันโดยทั่วไปว่าไม่เพียงแต่เยาวชนเท่านั้นที่ไม่มีอนาคต แต่ประเทศทั้งประเทศยิ่งไม่มีอนาคต

ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้การเคลื่อนไหวของเยาวชน นักเรียน นักศึกษาจึงขยายตัวอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว และมีแนวโน้มที่จะได้รับการสนับสนุนร่วมมือจากประชาชน หลากหลายวัยและสาขาอาชีพต่างๆมากขึ้นด้วย

พลเอกประยุทธ์กับพวกจะไม่สามารถหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเยาวชนนักเรียนนักศึกษาและประชาชนได้ การข่มขู่คุกคามทั้งโดยการกระทำที่ผิดกฎหมายเสียเองและการใช้กฎหมายตามอำเภอใจของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งการพยายามลดความน่าเชื่อถือของเยาวชนนักศึกษาที่พลเอกประยุทธ์กับพวกกำลังทำอยู่ นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังจะทำให้รัฐบาลปัจจุบันหมดความชอบธรรมลงเร็วยิ่งขึ้นและเมื่อสภาพทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองของประเทศเสื่อมทรามลงไปทุกที คนส่วนใหญ่ก็จะยิ่งเห็นว่าปล่อยให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์บริหารประเทศต่อไปไม่ได้

แต่การเปลี่ยนรัฐบาลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะกติกาต่างๆมีไว้เพื่อคุ้มครองพลเอกประยุทธ์กับพวก ซึ่งก็จะทำให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าสิ่งที่เป็นปัญหายิ่งกว่ารัฐบาลประยุทธ์ก็คือระบบที่พลเอกประยุทธ์กับพวกร่วมกันสร้างไว้

การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

พลเอกประยุทธ์กับพวกดูจะตามสถานการณ์ไม่ทัน ยังใช้วิธีเก่าๆจัดการกับเยาวชนนักเรียนนักศึกษา ดูเบาและประเมินสถานการณ์ต่ำ อาจคิดว่ารัฐบาลของพวกตนอยู่มาได้ 6 ปีกว่าเพราะมีคนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงอะไรจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายและเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้คนที่คิดเช่นนั้นกำลังประสบความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจมากขึ้นทุกวัน ไม่เหลือสถานะและเหตุผลที่จะสนับสนุนปกป้องรัฐบาลนี้ต่อไปแล้ว

ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์มักเลียนแบบผู้นำเผด็จการในอดีต แต่อาจจะลืมไปว่าผู้นำเผด็จการบางรายต้องพบจุดจบอันอัปยศจากการที่สร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง เป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของประเทศและปราบปรามประชาชน หากพลเอกประยุทธ์ไม่ปรับทัศนคติตนเองเสียใหม่ก็อาจพบจุดจบไปพร้อมกับการพังพินาศของระบบที่ตนเองสร้างขึ้น

สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ควรทำโดยด่วนที่สุดคือ 1.สั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งระบบหยุดคุกคามเยาวชน นักเรียนนักศึกษาและประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพโดยชอบธรรม และ 2.รีบหารือกับสมัครพรรคพวกทั้งหลาย ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล สมาชิกวุฒิสภาและเครือข่ายที่ร่วมกันสร้างและสนับสนุนค้ำจุนระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมาจนทุกวันนี้ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศด้วยการเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยและคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการยุบสภาจะทำอย่างไร จะแก้บางมาตราก่อนแล้วยุบสภา แล้วค่อยแก้ทั้งฉบับหรือจะจัดให้มีสสร.มายกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่โดยเร็วก่อนที่จะยุบสภา หรือจะใช้วิธีอื่นก็ตาม เป็นเรื่องที่ควรจะเปิดหารือกันในวงกว้าง ให้เยาวชนนักเรียนนักศึกษาและประชาชนมีส่วนร่วม

"ชลน่าน" แนะทางออกประเทศ นายกฯ อย่าดันทุรัง-ต้องฟังประชาชน


นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าภายใต้สถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องของ เยาวชนปลดแอก และ สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่เริ่มตั้งแต่ 18 ก.ค 63 ที่ลานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้นมา และเริ่มแผ่ขยายวงกว้างออกไปแทบทุกจังหวัด รัฐบาลอย่าได้ประมาท ประเมินสถานการณ์ต่ำเตี้ย และใช้มาตรการคุกคามระงับยับยั้งขัดขวางการชุมนุม จะเป็นเหตุให้ลุกลามขยายวงกว้างจนยากจะควบคุมดูแล นายกรัฐมนตรีควรใช้ภาวะผู้นำกล้าตัดสินใจ หาทางออกให้ประเทศ ดังนี้

 1. นายกรัฐมนตรี  ครม. ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร.หน่วยงานความมั่นคง ที่เกี่ยวข้อง เปิดเวที รับฟังข้อเสนอ เยาวชน สนท.และประชาชนผู้เรียกร้อง โดยตรง

2. เจรจาทำสัญญาประชาคมเพื่อนำข้อเรียกร้องสู่การปฏิบัติที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ 

3. หยุดคุกคามผู้ชุมนุม ผู้เห็นต่างทางการเมือง คุ้มครองสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและ กฎหมาย

4. แก้ไข รัฐธรรมนูญ ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เฉพาะมาตราที่เกี่ยวกับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มี สสร.ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แก้ระบบการเลือกตั้ง  บทเฉพาะกาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตย 

5. กำหนดเวลายุบสภา หลังจากแก้ รธน.เสร็จ 3 เดือน แล้วจัดการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติม

6. ตั้ง สสร.ยกร่าง รัฐธรรมนูญใหม่ภายใต้รัฐบาลใหม่ เชื่อว่าทางออกนี้ต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

"เพื่อไทย" เทียบม็อบเยาวชน "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ"


ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กลุ่มเยาวชน นิสิต นักศึกษา ได้ออกมาแสดงพลัง ณ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันที่ 18 ก.ค. 63 และภายใน 24 ช.ม.ต่อจากนั้น #เยาวชนปลดแอก ก็ถูกดันขึ้นจนมีสถิติถูกพูดถึงมากกว่า 10 ล้านทวีต ถือว่าเป็นแฮชแท็กที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในทวิตเตอร์ไทย แรงกระเพื่อมนี้ทำให้กลุ่มนักศึกษาและผู้มีแนวคิดทำนองเดียวกันลุกฮือกันทั่วประเทศ ตามทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect) ที่ว่า การกระทำสิ่งเล็ก ๆ สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ ม็อบที่พวกเราได้เห็นกันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คงเปรียบเหมือนผีเสื้อที่ได้เริ่มขยับปีกแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คงเมินเฉยไม่ได้อีกต่อไป ควรรับฟังข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม และปฏิบัติตามอย่างจริงใจ เพราะการแสดงออกของประชาชนถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงมีตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ค้างคาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา จึงมีข้อเสนอ ดังนี้

1. ขอให้หยุดคุกคามประชาชน หน้าที่ของรัฐบาล คือการดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น เพราะเงินที่รัฐบาลใช้อยู่ก็มาจากเงินภาษีประชาชน สิ่งที่รัฐบาลควรตระหนักถึงตลอดเวลา คือ การทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อตนเอง และต้องปฎิบัติการตามเจตนารมณ์ของปวงชน (General Will)

2. ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน คืนอำนาจให้ประชาชนอีกครั้ง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด โดยใช้สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นแล้วในการร่าง “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 40” พล.อ.ประยุทธ์ ควรใจกว้างพอที่จะเปิดโอกาสให้ สสร.ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ หากสำเร็จเราจะสร้างประวัติศาสตร์ที่มีรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีที่มาจากความเห็นชอบของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนควรกำหนดอนาคตของประเทศด้วยตัวของพวกเขาเอง

3. ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทันที เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่ประเทศไทยปลอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่จากในประเทศ ประเทศไทยจึงไม่มีเหตุผลที่จะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจของประชาชน ประเทศขาดความน่าเชื่อถือจากนักลงทุน จนทำให้ประชาชนอดคิดไม่ได้ว่าการที่รัฐบาลจะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้น เป็นเพราะเพื่อปิดปากประชาชนหรือไม่ จึงขอเน้นย้ำว่าตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นโดยเสรีปราศจากความรุนแรง การต่ออายุนี้นอกจากจะทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในประเทศของเราแล้ว ก็ยังจะสร้างแรงปะทุในหมู่ผู้ชุมนุมให้รุนแรงขึ้นอีกด้วย

4. คำถามที่เกิดขึ้นตามมาจากการปรับ ครม.ครั้งนี้ คือ คนไทยได้ประโยชน์อะไร เพราะ โผ ครม.ใหม่ที่ออกมา มีแต่รายชื่อเด็กของ  พล.อ.ประยุทธ์  พล.อ.ประวิตร แบ่งกันคนละครึ่ง เศรษฐกิจไทยที่ดิ่งลงเหวมาเรื่อยๆ ตลอด 6 ปีเป็นวิกฤตที่ทุกคนเจอ และต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาแก้ไข ไม่ใช่เด็กของท่าน ๆ ตามบัญชีโควต้า หากจริงตามข่าวคนไทยจะเสียเวลาและโอกาสแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ และคงต้องทนทุกข์กับปัญหาเรื้อรังที่ไม่มีรัฐมนตรีน้ำดีมาแก้ไขต่อไป

5. ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมาที่ พล.อ.ประยุทธ์และ ครม.ได้บริหารประเทศ ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้จริง แม้จะมีทั้งเวลา อำนาจ และมาตรา 44 อยู่ในมือ ปัญหาต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เพิ่มมากขึ้น หรือแท้ที่จริงแล้ว จะเป็นเพราะรัฐบาลเลือกที่จะไม่สนใจแก้ปัญหา นักศึกษาจึงต้องออกมาขยับเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปรับตัว และไม่ลอยตัวเหนือปัญหาที่ประชาชนเจอในชีวิตประจำวัน

การตัดสินใจแก้ไขวิกฤตในครั้งนี้ จะเป็นตัวชี้วัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกบันทึกชื่อในฐานะวีรบุรุษ หรือบุรุษแห่งอำนาจนิยม  เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจถึงทฤษฎีความอลวน (Chaos Theory) ซึ่งมีวลีที่ว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หรือ “ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ” ทั้งสองวลีนี้จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้ากับรัฐบาลชุดนี้ หากรัฐบาลปิดหูปิดตาไม่รับฟังความต้องการของม็อบเยาวชนปลดแอก และจะต้องรับมือกับไฟที่จะลามทุ่งต่อไปเรื่อยๆ แน่นอน เพราะหากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ คิดจะอยู่ต่ออนาคตของประเทศไทยคงเหลือแค่ 3 คำ คือ “เศร้า มืดมน และสิ้นหวัง” เท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"ยิ่งลักษณ์" อวยพร ครบรอบวันเกิด "ดร.ทักษิณ ชินวัตร"

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในเครือข่ายสังคมออนไลน์ เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า


พี่ค่ะ แม้ปีนี้จะเป็นปีที่ทุกคนเดินทางไปหากันได้ลำบาก แต่โชคดี​ที่เราอยู่ด้วยกัน​จึงได้มีโอกาสฉลองวันเกิดกับพี่

เนื่องในวันคล้ายวันเกิดปีนี้ของพี่ น้องขอให้พี่มีสุขภาพที่แข็งแรง มีอายุยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีพลังกายพลังใจที่เข้มแข็ง และ มีความสุขมาก ๆ นะคะ

รักและเคารพพี่เสมอค่ะ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"อนุดิษฐ์" ประกาศ "ให้มันจบที่รุ่นเรา" หนุนแนวคิดนักศึกษา


น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

#ให้มันจบที่รุ่นเรา

กลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ยื่นข้อเสนอที่ชัดเจน

-250 ส.ว. ต้องแสดงจุดยืน
-แก้รัฐธรรมนูญ
-ยุบสภา เลือกตั้งใหม่
-หยุดคุกคามประชาชน และนักศึกษา ทันที

นายกฯ และรัฐบาล จะเอาอย่างไรก็บอกเขาไปครับ!!


วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"สุรนันทน์" ยืนยัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้ทุจริต

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ตามที่คณะกรรมการ ปปช.ได้แถลงกรณีการดำเนินการจัดนิทรรศการ การสัมมนาและการโฆษณาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งของประเทศให้แก่สาธารณชนทราบ ภายใต้ชื่อ “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020” โดยมิชอบ โดยมีผมซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในช่วงวันเวลาดังกล่าว เป็นผู้หนึ่งที่ถูกชี้มูลความผิด เป็นผู้ถูกกล่าวหาโดย คณะกรรมการปปช. ด้วย นั้น

ผมขอยืนยันว่าการดำเนินการใดๆ ในตำแหน่งหน้าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยความระมัดระวัง อย่างรอบคอบ ยึดถือกฎหมายและระเบียบ รวมถึงนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นและคำนึงถึง ประโยชน์ของรัฐและประชาชน เป็นที่ตั้ง

การปฏิบัติหน้าที่ ของผม ในส่วนที่เกี่ยวกับขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ผมได้ยึดถือ และปฏิบัติตาม ระเบียบและกฎหมาย อย่างเคร่งครัด ทุกประการ

ทั้งนี้ภายหลังที่ผมพ้นจากตำแหน่งแล้วได้มีการตราวจสอบจากคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีข้อสรุปว่าการจัดจ้างดำเนินโครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020 ถูกต้อง เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ และได้อนุมัติเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการดังกล่าว โดยไม่มีหน่วยงานใดทักท้วง

ณ ปัจจุบันนี้ ผมมีสถานะเป็นผู้ถูกกล่าวหา ซึ่ง ตามวรรคสองของรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 บัญญัติให้สันนิษฐาน ไว้ก่อนว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิด เพราะจะต้องมีการพิสูจน์ ความถูกผิดกันในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป

จึงขออนุญาตเรียนข้อเท็จจริง ดังกล่าว ให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ ทั้งนี้ผมเชื่อมั่นว่า กระบวนการยุติธรรมขั้นต่อไป ทั้งสำนักงานอัยการสูงสุดและกระบวนการทางศาล จะให้ความเป็นธรรมและประสาธน์ความยุติธรรมแก่ผมและผู้ที่ถูกกล่าวหาท่านอื่นด้วย อย่างแน่นอน

"นิวัฒน์ธำรง" ยืนยัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ทุจริต


นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณี ป.ป.ช. ชี้มูลโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 ว่า

ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดกรณีการจัดจ้างผู้ทําโครงการรณรงค์ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ จัดนิทรรศการ และสํารวจความคิดเห็นของประชาชน สําหรับโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020” นั้น

ผมขอเรียนชี้แจงว่าโครงการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา อีกทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญ ยังกําหนดว่าโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อประชาชนจํานวนมาก จะต้องมีการดําเนินการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจ และสํารวจความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึง ดังนั้นรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงได้ดําเนินโครงการฯ ดังกล่าวตามกฎหมาย และการดําเนินการจัดจ้างผู้ทําโครงการ Roadshow ได้กระทําอย่างถูกต้องตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกประการ โดยสามารถยืนยันได้เพราะได้รับการตรวจสอบจาก คณะกรรมการติดตาม และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และสํานักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชาว่าโครงการสรุป Roadshow ได้ดําเนินการมาถูกต้อง และได้อนุมัติจ่ายค่าจ้างการจัดทําโครงการให้กับเอกชน

ผมขอยืนยันว่าการดําเนินการในการจัดจ้างดังกล่าวนั้น ผมในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ได้ดําเนินการไปตามอํานาจหน้าที่ ตามระเบียบ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างระมัดระวัง และรอบคอบทุกประการ ได้กระทําด้วยความสุจริต บริสุทธิ์ใจ มิได้ทําเพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือประโยชน์ของบุคคลใด หากแต่ได้คํานึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง

ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริงให้เป็นที่ประจักษ์ว่าการดำเนินโครงการ Roadshow ได้ดําเนินการอย่างถูกต้องตามข้อกฎหมาย และระเบียบราชการทุกประการ และผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมในขั้นตอนสํานักงานอัยการสูงสุด และกระบวนการทางศาลต่อไป

"ยิ่งลักษณ์" ยืนยันไม่ได้ทุจริต-สวนกลับ ป.ป.ช.ขัดหลักนิติธรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ดิฉันได้เห็นข่าวที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดเรื่องดำเนินการจัดนิทรรศการ การสัมมนา และการโฆษณาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020” วงเงิน 240 ล้านบาท โดยมิชอบนั้น ทำให้ดิฉันเกิดความสงสัยและขอตั้งข้อสังเกตกับ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า มีความขยันในการเร่งรัดคดีดิฉัน ฝ่ายเดียว เพราะภายในเดือนนี้เดือนเดียว ป.ป.ช. ก็มีการชี้มูลความผิดกับดิฉัน ถึง 2 คดีติด ๆ กัน โดยวันที่ 1 ก.ค. 2563 ชี้มูลเรื่องการใช้อำนาจโอน นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ และเมื่อวานที่ผ่านมาก็ถูกชี้มูลในคดีนี้อีก ซึ่งผิดกับคดีที่ฝ่ายรัฐบาลปัจจุบันถูกร้อง และขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ดูเหมือน ป.ป.ช. จะให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลปัจจุบันมากเป็นพิเศษในหลายคดี ทั้ง ๆ ที่เป็นคดีที่สังคมเกิดข้อกังขาและตั้งข้อสงสัยมากมายกับการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.และผลการพิจารณาหลายคดี ก็ค้านกับความรู้สึกของประชาชน

วันนี้แทนที่ ป.ป.ช. จะให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณและการใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อนทั้งจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ปากท้อง และปัญหาโควิด-19 ที่รอการแก้ไข แต่กลับมาเร่งรัด เร่งรีบ กับคดีของฝ่ายที่เห็นต่างและคิดว่าอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล

สำหรับคดีแรก กรณีการย้ายนายถวิล ดิฉันมิได้เจตนาที่จะกลั่นแกล้งผู้หนึ่งผู้ใด เพราะการที่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลหนึ่งรัฐบาลใดใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติหน้าที่งานด้านความมั่นคงซึ่งต้องเป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจของรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ได้กระทำกัน ซึ่งหลังจากที่ดิฉันหมดหน้าที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการโยกย้ายข้าราชการอย่างมากมายแต่กลับไม่มีความผิดเพราะมีมาตรา 44 คุ้มครอง และคดีนี้มาจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 57 เพื่อให้ดิฉันพ้นจากหน้าที่ความเป็นนายกรัฐมนตรี และวันรุ่งขึ้น 8 พ.ค. 57 ป.ป.ช. ก็ชี้มูลเรื่องคดีจำนำข้าวโดยเร่งรัด ต่อมาเดือนเดียวกัน วันที่ 22 พ.ค. 57 ได้มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นจนทำให้เกิดปัญหามาจนถึงทุกวันนี้ ที่ประชาชนต้องเรียกหาความยุติธรรมและประชาธิปไตย ไม่จบสิ้น

ส่วนเรื่องจัดทำโครงการโรดโชว์สร้างอนาคตไทย สืบเนื่องจากรัฐบาลของดิฉันเสนอนโยบายสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง และโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายเรื่องโดยการออกร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงการพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ..... หรือที่เรียกว่า ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านเป็นโครงการที่ทำให้เกิดการรับรู้และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ไม่มีเรื่องทุจริตประพฤติมิชอบใด ๆ ต่อมารัฐบาลชุดปัจจุบันก็นำโครงการนี้มาดำเนินการต่อ และวันนี้รัฐบาลปัจจุบันก็จำเป็นต้องออกนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน ซึ่งมากกว่ารัฐบาลดิฉันโดยปราศจากการท้วงติงหรือการตรวจสอบจาก ป.ป.ช.

ทุกวันนี้ดิฉันใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ ในต่างประเทศอย่างปุถุชนคนทั่วไป แต่ยังต้องมาถูกกล่าวหาในทางอาญา 2 เรื่อง ติดต่อกันในเวลาไม่ถึง 1 เดือนอีก เพื่อให้มีการพิจารณาคดีลับหลังดิฉันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้ช่างสอดคล้องหรือเหมือนกับความโชคร้ายในชีวิตของดิฉัน ที่โหยหาความยุติธรรมว่าเมื่อไหร่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองอันเป็นที่รักของดิฉันเช่นกันเสียที

ดิฉันไม่อยากให้ความยุติธรรมต้องเลือกข้าง ความยุติธรรมต้องไม่เหลื่อมล้ำ ถ้าเป็นนักการเมืองหรืออดีตนักการเมืองฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ผิดเสมอ แต่อีกฝ่ายทำอะไรไม่ผิดเลย ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรมเสียแล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่งความศรัทธา ความเชื่อมั่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจหมดสิ้นไป

"สุดารัตน์" แนะประยุทธ์ รับฟังนักศึกษา

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


วันนี้สภาจะพิจารณาญัตติด่วน เพื่อรับฟังปัญหาของนิสิตนักศึกษาที่กำลังเรียกร้อง 3 ข้อคือ
1)ให้นายกยุบสภา
2) หยุดคุกคามประชาชน
3) ร่างรัฐธรรมนูญใหม่

ฝ่ายรัฐบาลเสนอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อไปรับฟังข้อเรียกร้องของนิสิตนักศึกษา

เพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านเสนอให้ส่งรัฐบาล เพื่อให้นายกมารับฟังและพูดคุยโดยตรงกับนิสิตนักศึกษา

โดยพวกเราพรรคเพื่อไทยเห็นว่าข้อเรียกร้องของนิสิตนักศึกษามีข้อสรุปที่ชัดเจน และเรียกร้องไปที่นายกรัฐมนตรีโดยตรง จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งกรรมาธิการวิสามัญมาฟังความเห็นของนิสิตนักศึกษาอีก

ดังนั้นคนที่จะตอบว่าจะรับปฏิบัติ
หรือปฏิเสธข้อเรียกร้องของนิสิตนักศึกษา คือนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว

วันนี้สภาจึงควรมีมติส่งข้อเรียกร้องของนิสิตนักศึกษา ให้นายกฯไปพบและตอบข้อเสนอของนิสิตนักศึกษาด้วยตัวเอง

การตั้งกรรมาธิการวิสามัญ เป็นการซื้อเวลา และเป็นเกมส์การเมือง เพื่อลดแรงปะทะให้กับนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

ดิฉันขอเรียกร้องว่า หากนายกรัฐมนตรีไม่กลัวที่จะพบนิสิตนักศึกษา และมีความจริงใจ

วันนี้ต้องสั่งให้สส.พรรครัฐบาล Vote
สนับสนุนข้อเสนอของพรรคร่วมฝ่ายค้าน

เพราะการรับฟัง และการพูดคุยกับนิสิตนักศึกษาจะเป็นทางออกอย่างสันติวิธีตามระบอบประชาธิปไตย

"อนุดิษฐ์" แนะรัฐหยุดดื้อ! ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


หยุดดื้อ! #ยกเลิกพรกฉุกเฉินทันที

กรณีที่ ศบค.มีมติเห็นชอบให้ต่อ พรก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือน พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับมติของ ศบค.เพราะเห็นว่า รัฐบาลไม่มีความจำเป็นในการบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉินอีกต่อไป ทั้งนี้ เพราะคนไทยยังไม่เคยการ์ดตก

แต่ที่การ์ดตกล้วนเกิดจากความผิดพลาด และความประมาทเลินเล่อของรัฐบาล ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายพิเศษกับคนไทย เพราะประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มา 2 เดือนแล้ว แสดงว่า เชื้อภายในประเทศหมดไปแล้ว

.

สิ่งที่ต้องทำก็คือรัฐบาลต้องมีมาตรการที่เข้มงวดไม่ปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้ามาในประเทศ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลทำงานละหลวมปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศได้ ทั้งๆที่มีการบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่

ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรทำจึงไม่ใช่ไปต่อพรก.ฉุกเฉิน แต่ควรจะหามาตรการ ที่เข้มงวดในการป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จากต่างประเทศเข้าประเทศโดยไม่ต้องถูกกักตัวต่างหาก

.

ขณะนี้คนไทยเดือดร้อนแสนสาหัสจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ควรทำมากที่สุดคือ "การยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน" เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ว่าประเทศไทยสามารถควบคุมโควิดได้ และหากมีปัญหาเรื่องโรคติดต่อรัฐบาลก็พร้อมรับมือ ไม่ใช่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาข่มขู่ ทำลายความเชื่อมั่นของประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจค้าขายของประชาชนอยู่ในขณะนี้

.

ส่วนเหตุผลที่ ศบค.แถลงว่าจำเป็นต้องต่อ พรก.ฉุกเฉิน ออกไปเพราะเป็นเครื่องมือสำคัญของควบคุมโรค ก็ยิ่งฟังไม่ขึ้น เพราะกฎหมายอื่นๆโดยเฉพาะ พรบ.โรคติดต่อ ก็สามารถบังคับใช้ได้อยู่แล้ว ขอเพียงผู้มีอำนาจการ์ดอย่าตกก็เชื่อว่า สามารถควบคุมโรคได้อย่างแน่นอน

“หากรัฐบาลยังยืนยันที่จะต่อ พรก.ฉุกเฉินออกไปตามมติ ศบค. ผมเชื่อว่า คนไทยทั้งประเทศจะต้องมีคำครหาต่อพล.อ.ประยุทธ์ อย่างแน่นอนว่า การต่อ พรก.ฉุกเฉินมีประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างไร นอกจากการบังคับใช้เพื่อประโยชน์ความมั่นคงของตัวเอง และควบคุมไม่ให้นักศึกษาออกมาเคลื่อนไหวเท่านั้น

ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยกเลิก พรก.ฉุกเฉินในทันที หากยังดื้อดึงที่จะต่อ พรก.ฉุกเฉินออกไปให้ได้ พรรคเพื่อไทยจะยื่นกระทู้สดหรือญัตติด่วนเพื่อให้นายกรัฐมนตรีมาชี้แจงเหตุผลกับสภาอย่างแน่นอน

" เพราะ พรก.ฉุกเฉิน นอกจากจะ #ไม่สร้างความปรองดองแล้ว ยัง #เพิ่มความเกลียดชัง และ #สร้างความแตกแยก ให้คนในชาติอีกด้วย ”

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"สุดารัตน์" คัดค้านต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ขอคัดค้านการต่อ #พรกฉุกเฉิน

‪2เดือนแล้ว ที่ไทยปลอด COVID
‪แต่รัฐบาลยังจะต่อ #พรกฉุกเฉิน‬

‪คนไทยการ์ดไม่ตก ทำไมต้องใช้กฎหมายพิเศษมากำราบ?‬

‪ถ้าคิดจะหวด ควรหวดตัวเองมากกว่า‬
‪เพราะความผิดพลาดที่ผ่านมา ล้วนเกิดจากความประมาทเลินเล่อของรัฐบาล‬
ที่ปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเข้ามา

วันนี้จะมีประชุมใหญ่ศบค. ก่อนที่พลเอกประยุทธ์จะอนุมัติต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นายกฯช่วยอธิบาย และชี้แจงในเรื่องดังต่อไปนี้ก่อน

1) ในเมื่อไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มา 2 เดือนแล้ว แสดงว่าเชื้อภายในประเทศหมดไปแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้น คือรัฐบาลต้องมีมาตรการที่เข้มงวดไม่ปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้ามาในประเทศ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลทำงานละหลวมปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเข้ามาได้ในขณะที่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อยู่

ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรทำไม่ใช่ไปต่อพรก. ฉุกเฉิน แต่ควรจะหามาตรการ ที่เข้มงวดในการป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศได้โดยไม่เข้าระบบSQ

2) ขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องสาหัสมากสำหรับคนไทยทั่วประเทศสิ่งที่นายกควรทำคือสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ว่าเราสามารถควบคุม COVID ได้ หากมีปัญหารัฐบาลพร้อมรับมือ ไม่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาข่มขู่ ทำลายความเชื่อมั่น และเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจค้าขายของประชาชน

ขณะนี้ สิ่งที่รัฐบาลควรจะต้องทำเร่งด่วนคือ ต้องรีบเปิดทุกธุรกิจ และสนับสนุนให้ประชาชนทำมาหากินได้อย่างสะดวก พร้อมเร่งมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่างๆออกมาเพื่อให้คนไทยมีกำลังซื้อ

ประชาชนรอคำชี้แจงจากนายกฯอยู่นะว่าประโยชน์ของการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อประเทศชาติและประชาชนคืออะไร

หรือใช้เพื่อประโยชน์ต่อความมั่นคงของตัวเอง ในการคุมนักศึกษาไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวเท่านั้น

#ยกเลิกพรกฉุกเฉินทันที

"เผ่าภูมิ" แนะธนาคารรัฐ ปล่อยสินเชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


"แบงค์รัฐ" ต้องยกระดับบทบาทสินเชื่อช่วงโควิด อุดช่องเมื่อแบงค์พาณิชย์ไม่พร้อมเสี่ยง

ในภาพใหญ่ มาตรการทางการเงินที่ใช้รับมือโควิด-19 แบ่งได้สองช่วง ช่วงแรกคือป้องกันภาวะตกใจเกินจริงของตลาดเงินทั้งตราสารทุนและตราสารหนี้ เพื่อให้ระบบการเงินสามารถทำงานเป็นแหล่งทุนต่อไปได้ในสภาวะที่ประชาชนอยากถือเงินสด ช่วงที่สองคือการกระจายสภาพคล่องเข้าไปในระบบ “เศรษฐกิจจริง” ให้เพียงพอให้ธุรกิจอยู่รอด

ผมมองว่าในส่วนที่สองกำลังมีปัญหามาก สภาพคล่องที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้เพียงพอ แต่ปัญหาคือมันไม่ได้ถูกจัดสรรไปที่ภาคเศรษฐกิจจริงตามต้องการ ภาวะ “สภาพคล่องที่ล้นตลาด” นี้ไปหมกอยู่ที่ “ตลาดหุ้น” และไปหมกอยู่ที่ “เงินฝากจนล้นธนาคาร” แต่เป็นประชาชนหาเช้ากินค่ำ ผู้ประกอบหาบเร่แผงลอย ร้านอาหารริมทาง ฯลฯ คนเหล่านี้กลับอยู่ในภาวะตะเกียกตะกายวิ่งหาสภาพคล่อง แต่เข้าไม่ถึง

Softloan ในระดับหลักการนั้นดี แต่ความสำเร็จของมันอยู่ที่ความใส่ใจในรายละเอียดว่าจะผลักสภาพคล่องลงสู่ส่วนที่มีปัญหาจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่อนุมัติกรอบวงเงิน ตัวชี้วัดของธนาคารพาณิชย์ คือ กำไรสูง NPLต่ำ ความเสี่ยงต่ำ ผลคือธุรกิจความเสี่ยงสูงจากโควิด ขาดสภาพคล่อง แต่โดนปฏิเสธ ผมเห็นความพยายามของธนาคารแห่งประเทศไทยในการกระตุ้นธนาคารพาณิชย์ให้ปล่อยกู้ แต่ยังไม่สัมฤทธิ์ผล

ประเทศไทยมีอีกหนึ่งเครื่องมือหนึ่งที่มีพลัง แต่ยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก คือ "ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ" หรือ SFIs ที่ทำหน้าที่เสมือนธนาคารพาณิชย์ แต่มีภารกิจเพื่อตอบสนองมาตรการของรัฐ แม้จะต้องขาดทุน ซึ่งสิ่งเร่งด่วนที่ต้องทำขณะนี้คือ จัดสรรสภาพคล่องไปถึงมือคนเดือดร้อนจริงให้ได้ ผมมองว่าเมื่อธนาคารพาณิชย์ไม่พร้อมเสี่ยง แบงค์รัฐจึงต้องเข้าสอดรับบทบาทตรงนี้ ยกระดับการช่วยเหลือประชาชน กล้าได้กล้าเสียกล้าเสี่ยง มากขึ้น

พึงระลึกไว้ว่าตัวชี้วัดของแบงค์รัฐไม่ใช่กำไร ไม่ใช่ NPLต่ำๆ ไม่ใช่ BIS Ratio สูงๆ แต่หากเป็นประสิทธิภาพในการตอบสนองรัฐและ “อุดช่องว่าง” สิ่งที่ธนาคารพาณิชย์ทำไม่ได้ หรือไม่อยากทำนั่นเอง

ผมมองว่า เสี่ยงที่จะเกิดหนี้เสียบ้างในภาวะแบบนี้ ย่อมดีกว่ากอดเงินเอาไว้ แล้วปล่อยให้ธุรกิจค่อยๆตายลง

--
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล
รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย
22 ก.ค. 2563

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"จิราพร" แนะประชาชนจับตา ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ดัน CPTPP

เพื่อไทย บี้ ครม. ฟังเสียงประชาชน ชวนจับตานโยบายทีมเศรษฐกิจชุดใหม่จะดัน CPTPP ต่อจากสมคิดหรือไม่?


นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 5 พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) กล่าวถึงกรณีที่กรรมาธิการฯ มีมติส่งความคืบหน้าการศึกษาเบื้องต้นให้คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2563 ที่ผ่านมาว่า ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาถึงประเด็นอ่อนไหวของไทยอย่างรอบคอบ และต้องฟังเสียงประชาชน อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจให้ไทยเข้าร่วมการเจรจา CPTPP
 
โดยรายงานเบื้องต้นของคณะกรรมาธิการฯ ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดจากการเข้าร่วมความตกลง CPTPP เช่น ประเด็นอนุสัญญา UPOV1991 สิทธิบัตรยา การเปิดเสรีสินค้า บริการ และลงทุนอย่างเต็มรูปแบบ และมีคำถามในหลายประเด็นจากกรรมาธิการที่หน่วยงานยังไม่ให้คำตอบที่ชัดเจน รวมถึงผลการศึกษาที่ผ่านมาก็ยังไม่ครอบคลุมในทุกมิติ เช่น พาณิชย์อิเลกทรอนิกส์  สิทธิพิเศษทางศุลกากร และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ฯลฯ ดังนั้น รัฐบาลจึงควรรอให้เรื่องที่ค้างคาสรุปได้เสียก่อน นอกจากนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และคณะ เพิ่งลาออกจากคณะรัฐมนตรี ดังนั้นทีมเศรษฐกิจที่จะตั้งขึ้นใหม่ก็ควรแสดงวิสัยทัศน์ต่อแนวนโยบายที่เกี่ยวกับการทำความตกลงการค้าเสรีก่อนด้วย การเร่งรีบพิจารณาโดยขาดข้อมูลรอบด้านก่อนการตัดสินใจใดๆ จะกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน

“CPTPP เป็นความตกลงที่มีผลใช้บังคับแล้ว มีการเปิดเผยข้อมูลของความตกลงอย่างละเอียดชัดเจน หน่วยงานไทยมีโอกาสศึกษารายละเอียดให้ถ่องแท้ได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปขอเจรจาโดยอ้างว่าไทยสนใจเข้าร่วม CPTPP แต่แท้ที่จริงเป็นการไปทดลองว่าจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะการที่ไทยแจ้งต่อสมาชิก CPTPP ขอเจรจาและตั้งคณะทำงาน สมาชิกต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากทั้งเวลา บุคลากร และงบประมาณ รัฐบาลจึงต้องคำนึงถึงต้นทุนและภาพลักษณ์ของไทยด้วย” นางสาวจิราพร กล่าว

“วิชาญ” ชี้ผังเมืองกรุงเทพฯใหม่ ไม่ตอบโจทย์คนกรุง

“วิชาญ” ชี้ผังเมืองกรุงเทพใหม่ไม่ตอบโจทย์คนกรุง อัดผังเมืองใหม่เอื้อธุรกิจมากกว่าผลประโยชน์ประชาชน


นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า การจัดผังเมืองใหม่ของกรุงเทพมหานคร เป็นการจัดผังเมืองที่คนกรุงเทพไม่มีส่วนร่วม โดยเฉพาะตัวแทนภาคประชาชน ทั้ง ส.ส.-อดีต ส.ก.-อดีต ส.ข. ไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปให้ข้อมูลหรือนำเสนอข้อคิดเห็น เพราะคนที่ดำเนินการเป็นข้าราชการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการผังเมืองแต่อย่างใด 

นอกจากนี้ การยกร่างผังเมืองใหม่เป็นการเปิดโอกาสให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเมือง เปิดโอกาสให้มีการดำเนินการของนายทุนเข้าไปทำมาหากินในผังเมืองใหม่ โดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินที่สามารถที่จะก่อสร้างรถไฟได้ตลอด

นายวิชาญ กล่าวด้วยว่า การจัดทำผังเมืองไม่เปิดโอกาสให้กับตัวแทนภาคประชาชน ตั้งแต่ระดับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รวมทั้ง ส.ส.-อดีต ส.ก.-อดีต ส.ข. เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการผังเมือง เพราะขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่ดำเนินการเขียนผังเมืองว่าอยากจะให้กรุงเทพเป็นเช่นไร นอกจากนี้ในสภาพปัจจุบันมีการจัดพื้นที่เอื้อให้กับกลุ่มธุรกิจมากกว่าสะท้อนความต้องการของประชาชนชาวอกทม. 

“รัฐบาลอาศัยกฎหมาย ออกรูปแบบผังเมืองใหม่เอาใจนายทุนอสังหาริมทรัพย์ มากกว่าที่จะกำหนดผังเมืองใหม่เพื่อสร้างความสุขให้กับคนกรุงเทพ แต่การจัดผังเมืองใหม่เป็นผังเมืองที่ไม่ก่อประโยชน์ให้คนกรุงเทพแต่อย่างใด” นายวิชาญ กล่าว

พรรคเพื่อไทย จัดเสวนา “เอสเอ็มอีจะอยู่รอดอย่างไรหลังโควิด-19”

พรรคเพื่อไทย จัดเสวนา “เอสเอ็มอีจะอยู่รอดอย่างไรหลังโควิด-19” เผยรัฐยังไร้แนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ ห่วงกระทบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ


20 กรกฎาคม 2563 พรรคเพื่อไทย จัดเสวนาวิชาการหัวข้อ “เอสเอ็มอีจะอยู่รอดอย่างไรหลังโควิด-19” เพื่อรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค กล่าวว่า เอสเอ็มอีคือฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่หลังจากเกิดวิกฤติโควิด-19 เอสเอ็มอีกำลังจะตาย ซึ่งถ้าปล่อยให้เอสเอ็มอีทั่วประเทศล้มลงก็อาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการจ้างงาน ซึ่งเอสเอ็มอีมีการจ้างงานมากที่สุดและมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคทุกจังหวัด ทั้งนี้เราได้มีการผลักดันเรื่องกฎหมายของสภาเอสเอ็มอี ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ก็จะผลักดันให้มีการตั้งคณะทำงานติดตามเรื่องเงินกู้ของรัฐบาล รวมถึงการจะเชิญคณะกรรมาธิการมาร่วมรับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการด้วย ซึ่งขอให้สภาเอสเอ็มอีและพี่น้องประชาชนร่วมกันส่งเสียงสะท้อนให้การใช้เงินกู้ให้เกิดประโยชน์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเอสเอ็มอีอย่างแท้จริง

รศ.ดร.โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านนโยบายและแผนงาน กล่าวว่า การที่รัฐบาลบอกว่าจะช่วยเหลือเอสเอ็มอี อยากถามว่าวันนี้ท่านรับฟังปัญหาจากใคร ใครเป็นตัวแทนสะท้อนถึงความต้องการและปัญหาต่างๆเหล่านั้น แล้วท่านจะทราบความต้องการของเอสเอ็มอีอย่างแท้จริงได้อย่างไร เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นมามากมายในวันนี้ เกิดจากกฎหมายที่ออกโดย คสช. ที่ส่งผลกระทบมายังปัจจุบัน ได้สร้างภาระให้กับพี่น้องประชาชนอย่างมหาศาล จะยกเลิกก็กระทำได้ยาก นี่คือปัญหาสังคมไทยที่เกิดจากอำนาจนิยมหรือรัฐราชการ แล้วเราจะช่วยกันผลักดันให้สังคมก้าวข้ามผ่านสถานการณ์เหล่านี้ไปได้อย่างไร ภายใต้ความยากลำบากนี้ สิ่งแรกที่อยากขอเสนอคือ เราต้องมีกติกาใหม่ที่เป็นธรรม คือรัฐธรรมนูญที่เป็นโรดแมปหรือทิศทางที่เราจะเดินไปร่วมกัน มีการจัดทำร่างกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ เพื่อจัดการธุรกิจขนาดเล็กให้รวมตัวกันได้ โดยการสร้างมาตรฐานให้ดูแลกันเองได้ และสามารถสะท้อนเสียงความต้องการของตนไปถึงรัฐบาล

ขณะที่ นายไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ได้สะท้อนปัญหาของเอสเอ็มอีว่า นายกรัฐมนตรีเคยประกาศเรื่องเอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ แต่ที่ผ่านมาทุกคนเห็นว่าผู้ประกอบการในส่วนนี้กำลังจะตายไปเรื่อยๆ เพราะรัฐมองไม่เห็นปัญหา หรือไม่รู้ข้อมูลจริงๆ ของเอสเอ็มอี โดยกฎหมายที่จะเข้ามาดูแลผู้ประกอบการ ซึ่งเคยพิจารณาส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ดำเนินการเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาก็ถูกตีตก ส่วนมาตรการของรัฐที่ออกมาเพื่อจะช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนั้นผู้ประกอบการก็ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และการอนุมัติเงินทุนในส่วนดังกล่าวจนถึงขณะนี้สามารถทำได้เพียง 2 แสนกว่าล้านบาทเท่านั้น จึงขอตั้งข้อสังเกตว่าการช่วยเหลือเอสเอ็มอีของรัฐบาลไม่มีแนวทางที่ชัดเจน และไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรืออาจเป็นเพราะเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนดไว้ ที่กลับกลายเป็นปัญหาทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือต่างๆ จากภาครัฐได้

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"ภูมิธรรม" หนุนเยาวชนปลดแอก ขอเป็นกำลังใจให้การต่อสู้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกลุ่มสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) และเยาวชนในนามกลุ่มเยาวชนปลดแอก นัดรวมตัวจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แสดงออกแนวคิดทางการเมือง ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ล่าสุด  นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความพร้อมระบุว่า

แล้วอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่สูญเสีย คุณค่าและความหมายลงไปนาน...
จากความพยายามทำลายของเหล่าผู้มีอำนาจ

ก็กลับมีความงดงามขึ้นอีกครั้ง…เมื่อเยาวชน ประชาชน ใช้เป็นเวทีต่อสู้เพื่อทวงคืนประชาธิปไตย……

ขอเป็นกำลังใจให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยประสบความสำเร็จ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน

"วัฒนรักษ์" แนะรัฐเร่งจัดเลือกตั้งท้องถิ่น


ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ยึดอำนาจและบริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากว่า 6 ปี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้แก่ องค์กรบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เมืองพัทยา และกทม. รวม 7,852 แห่ง ไม่ได้จัดการเลือกตั้งมาแล้วนานถึง 7-9 ปี ตัวแทนของประชาชนยังไม่ได้เข้าไปทำหน้าที่ ที่เป็นเช่นนี้ก็มีสาเหตุมาจากคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 1/2557 ลงวันที่ 5 ธ.ค. 2557 เรื่อง การได้มาซึ่งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว ได้ออกคำสั่งให้ผู้บริหาร อปท. บางแห่งอยู่ต่อและบางแห่งก็แต่งตั้งผู้บริหารเข้ามาทำงานแทนคนเดิม เช่น ในส่วน กทม. คำสั่งดังกล่าวได้อ้างเหตุผลที่ไม่จัดการเลือกตั้งว่า “เพราะสถานการณ์ยังไม่อาจจัดให้มีการเลือกตั้ง อปท. หรือผู้บริหารท้องถิ่นได้โดยเรียบร้อย” แต่ปัจจุบันนี้ เวลาก็ได้ผ่านมานานมากแล้ว สถานการณ์ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ได้อ้าง ส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เองก็พร้อมที่จะกำกับดูแลการเลือกตั้งท้องถิ่น แล้วอะไรกันที่เป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดนี้ถึงยังไม่มีมติกำหนดวันเลือกตั้ง หากยังยืดเยื้อโดยการอ้างด้วยเหตุผลเดิมก็คงเป็นเพียงการแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ไปเท่านั้นเอง

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากการเลือกตั้งท้องถิ่นจะเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจให้กับประชาชนแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย เพราะการเลือกตั้งทุกครั้ง ทุกจังหวัดจะมีเงินสดหมุนเวียนสะพัดในระบบเศรษฐกิจ การเลือกตั้งในครั้ง กกต. ใช้งบประมาณ 800 ล้านบาท กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5,000 ล้านบาท กทม. 240 ล้านบาท ในส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งประเทศใช้เงินเพื่อเป็นค่าจัดสัมมนา สื่อโฆษณา อาหาร บุคลากร รถยนต์หาเสียง น้ำมันสำหรับพาหนะ และอีกมากมาย 130,000 ล้านบาท เงินที่จะถูกอัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจจากการเลือกตั้งเป็นจำนวนรวมจากทุกภาคส่วนกว่า 136,040 ล้านบาทนี้จะถูกส่งตรงถึงกระเป๋าของประชาชนตัวเล็กตัวน้อย โดยการจ้างงานต่าง ๆ จะส่งผลให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่า การเลือกตั้งท้องถิ่นจึงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างแน่นอน  จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตกต่ำตลอด 6 ปีที่ผ่านมา จึงจำเป็นที่จะต้องจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกทม. ควรเป็นพื้นที่นำร่องจัดการเลือกตั้ง เพราะ เป็นพื้นที่ที่มากปัญหาค่อนข้างมากที่รอการแก้ไขหลังการเลือกตั้ง เช่น
1. ปัญหาเศรษฐกิจ GDP ของเมืองหลวงไทยตกต่ำถึงขีดสุดในรอบ 20 ปี
2. ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่ไม่มีท่าทีว่าจะลดลง เมื่อฝนตกน้ำก็ยังท่วมขังทุกครั้ง แม่น้ำลำคลองเน่าเสีย ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ชาวกรุงต้องจำอยู่กับสภาพแวดล้อมแบบนี้
3. การจราจรติดขัดที่คนกรุงต้องพบเจอเป็นประจำ และยังคงแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ระบบขนส่งมวลชนที่ยังไร้ประสิทธิภาพ ทำให้คนกรุงเลือกที่จะใช้รถส่วนบุคคล 1 คน ต่อรถยนต์ 1 คัน ผลที่ตามมา คือ ปัญหาการจราจรติดขัดที่เรื้อรังยากจะแก้ไข
4. ความเหลี่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้นทุกวัน โอกาสทางการศึกษาไม่ได้เข้าถึงเด็กทุกคน คนรวยได้เข้าถึงการศึกษาที่ดี ส่วนคนจนก็ไม่มีทางที่จะได้รับโอกาสนั้น และการจัดการศึกษาที่เป็นอยู่ก็ยังไร้ประสิทธิภาพ หากดูจากผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment : PISA) ซึ่งการสอบนี้จะจัดสอบขึ้นทุก 3 ปี ในการสอบประจำปี 2018 เด็กไทยสอบตกทุกวิชา เพราะ ความฉลาดรู้ (Literacy) มีไม่มากเท่าที่ควร ขาดทักษะ การสอบนี้สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาไทยที่ยังรั้งท้ายอันดับ 13 ของโลก ไทยอยู่ที่อันดับ 66 จาก 79 ประเทศทั่วโลก
5. ปัญหายาเสพติดที่เพิ่มขึ้นจนน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ยาเสพติดหาซื้อได้ง่าย แถมยังราคาถูก 4 เม็ด 100 บาท ปัญหาต่าง ๆ อย่างการขโมย การทะเลาะวิวาท ก็ต่อแถวตามมาจากการเสพยาเสพติด

นอกจากปัญหาที่ได้กล่าวมาแล้ว ความต้องการของประชาชนยังมีอีกมาก จึงต้องการตัวแทนที่ประชาชนเป็นคนเลือกมาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ หาก พล.อ.ประยุทธ์ มีความมั่นใจว่าตัวเองแน่พอและไม่ต้องการสืบทอดอำนาจ แต่ต้องการคืนอำนาจกลับคืนสู่ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวการเลือกตั้งท้องถิ่น และถ้าหากยังผัดวันประกันพรุ่ง ตัว พล.อ.ประยุทธ์ เองก็จะมีแต่เสียคะแนน เสียความน่าเชื่อถือ เพราะประชาชนคิดว่าที่อยู่ ก็เพียงอยากสืบทอดอำนาจของตัวเองไปวัน ๆ หรือไม่ และไม่มีเหตุผลใดที่จะยืดเวลาการเลือกตั้งอีกต่อไป ถึงเวลาที่ต้องคืนอำนาจการตัดสินใจให้ประชาชนอีกครั้ง ให้คนที่ประชาชนไว้ใจขึ้นมาเป็นตัวแทนของพวกเขา เพราะตามหลักที่นักรัฐศาสตร์ทั่วโลกเชื่อว่า “ประชาธิปไตยอาจไม่ใช่รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด แต่เป็นรูปแบบการปกครองที่เลวน้อยที่สุด”

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"จาตุรนต์" หนุนเยาวชนปลดแอก "เมื่ออดทนถึงที่สุดก็สุดทน"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกลุ่มสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) และเยาวชนในนามกลุ่มเยาวชนปลดแอก นัดรวมตัวจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แสดงออกแนวคิดทางการเมือง ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ล่าสุด นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โพสต์ภาพถ่ายบรรยากาศจากถนนราชดำเนิน พร้อมระบุว่า

  • เมื่ออดทนถึงที่สุดก็สุดทน #เยาวชนปลดแอก 
  • หมดเวลาข่มขู่คุกคามนักศึกษาประชาชนแล้ว #เยาวชนปลดแอก 
  • แล้วอนุสาวรีย์ที่สูญเสียคุณค่าความหมายไปนานแล้วก็กลับมีความงดงามขึ้น เมื่อถูกใช้เป็นที่ต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยครั้งสำคัญ ขอเป็นกำลังใจให้เยาวชนนักศึกษาประชาชนทุกคน #เยาวชนปลดแอก
โดยมีประชาชนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ แสดงความเห็นสนับสนุนเป็นจำนวนมาก

ภาพประกอบข่าว: ยูจิ มิซูคามิ


วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"สุดารัตน์" ลงพื้นที่ระยอง หลังรัฐการ์ดตก หวั่นโควิดระบาดซ้ำสอง

คุณหญิงสุดารัตน์ ลุยให้กำลังใจชาวระยอง ย้ำ รัฐ ต้องใช้วิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหา สร้างความมั่นใจให้ประชาชน


16 กรกฎาคม 2563 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายษรกฤต ผลลูกอินทร์ ดร.นิศามาศ เลาหรัตนาหิรัญ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ตลาดสตาร์ไนท์บาร์ซ่า จังหวัดระยอง เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจพี่น้องชาวระยองที่ได้รับผลกระทบจากกรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นทหารจากประเทศอียิปต์ โดยคุณหญิงสุดารัตน์และคณะได้รับการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนอย่างอบอุ่น ทั้งนี้พี่น้องประชาชนยืนยันว่า “ชาวระยองการ์ดไม่ตก” นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเที่ยวจังหวัดระยองได้โดยไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่มีมาตรการในการดูแลรักษาความสะอาดและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิค-19 อย่างเข้มงวด

นอกจากนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ ได้สอบถามถึงปัญหาความทุกข์ยากจากพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งมียอดการค้าขายลดลงกว่าครึ่ง ขณะที่บางร้านยอดลดลงกว่าร้อยละ 70 เพราะเน้นการขายส่ง จึงมีสินค้าจำนวนมากที่ต้องรอกระจายออกไปสู่ผู้ค้ารายย่อย เมื่อได้รับผลกระทบจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ค้ารายย่อย ชะลอการซื้อสินค้า สินค้าจึงตกค้างเสียหายจำนวนมาก เมื่อการค้าขายภายในตลาดเงียบเหงา จึงกระทบไปยังผู้ประกอบการและภาคธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคแรงงาน และการเกษตร ขณะที่มาตรการเยียวยาที่ร้องขอความช่วยเหลือไปยังนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่มีท่าทีการตอบรับอย่างชัดเจน

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยสามารถเป็นเสียงสะท้อนเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวระยองได้ คือ นำปัญหาเหล่านี้ ไปพูดคุยในสภาเพื่อนำไปสู่การแก้ไข ซึ่งอยากให้รัฐบาลมองข้อเท็จจริง และช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งผู้ประกอบการ คนค้าขายตัวเล็กๆ และประชาชนที่ต้องหยุดงานอีก ทั้งนี้มาตรการของภาครัฐยังสับสน การสื่อสารระหว่างหน่วยงานของภาครัฐยังไม่สอดคล้องกัน เสียงหนึ่งยืนยันว่าระยองปลอดภัย แต่ขณะเดียวกันอีกส่วนหนึ่งเช่นประกาศของจังหวัดสุรินทร์ หรืออุบลราชธานี ระบุว่าห้ามคนมาเที่ยวระยอง หรือมาแล้วกลับไปจะถูกกักตัว 14 วัน ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ขัดแย้งกันเอง ดังนั้นรัฐจะต้องจัดการให้ชัดเจน ต้องไม่มีหน่วยงานใดที่ออกประกาศมาขัดแย้งกันอีก เพราะนอกจากประชาชนจะกังวลเรื่องของโควิด-19 แล้ว อาจทำให้กังวลว่าเมื่อเดินทางมาแล้วจะเกิดความยุ่งยาก ภาครัฐจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะมาตรการไทยเที่ยวไทย ไม่ใช่ออกแพ็คเกจต่างๆ แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ เช่น การออกแพ็คเกจให้มาเที่ยวระยอง แต่คนยังไม่มั่นใจจังหวัดระยองก็ทำให้ประชาชนไม่เดินทางมา เช่นเดียวกับอีกหลายจังหวัด หากมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกคนก็จะไม่ไปท่องเที่ยว เศรษฐกิจก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้

“การแก้ไขปัญหาไม่ใช่ด้วยเงินอย่างเดียว แต่ต้องใช้ปัญญา ใช้ความจริงใจ ใช้วิสัยทัศน์ ที่จะทำให้คนมั่นใจว่า พื้นที่ในประเทศไทยทุกพื้นที่ ปลอดภัย ปลอดเชื้อโควิด-19”

"เพื่อไทย" ส่ง "สลิลทิพย์" สู้ศึกเลือกตั้งสมุทรปราการ

หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นำทัพให้กำลังใจ “สลิลทิพย์ สุขวัฒน์” สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สมุทรปราการ ลั่นสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง

16 กรกฎาคม 2563 พรรคเพื่อไทย นำโดย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รองหัวหน้าพรรค น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรค ดร.สุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน พร้อมด้วย ส.ส. และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ให้กำลังใจนางสลิลทิพย์ สุขวัฒน์ ในการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.สมุทรปราการ เขตเลือกตั้งที่ 5 ที่ อบต.บางเสาธง ซึ่งนางสลิลทิพย์ ได้หมายเลข 3 โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีพี่น้องประชาชนเดินทางมาให้กำลังใจจำนวนมาก

โดย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มั่นใจว่า นางสลิลทิพย์ ผู้สมัครของพรรค จะสามารถชิงพื้นที่กลับมาเป็นของพรรคเพื่อไทยได้ เพราะเป็นอดีต ส.ส. ของพรรคมาหลายสมัย

ขณะที่ นางสลิลทิพย์ กล่าวว่า เบอร์ 3 ถือว่าเป็นเลขมงคล เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่ฝ่ายประชาธิปไตยใช้ในการแสดงออก และการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้มีความมั่นใจ 100% ว่าสามารถคว้าชัยชนะได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กติกาที่เข้มข้น ไม่มีมือที่มองไม่เห็นเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนกับการเลือกตั้งที่ผ่านมาจนเกิดกรณีปัญหาต่างๆ ทั้งนี้ขอฝากถึงชาวสมุทรปราการว่าจำเป็นต้องมี ส.ส.ฝ่ายค้าน ในพื้นที่เข้าไปทำงานในสภา เพื่อจะได้มีมุมมองปัญหาแตกต่างจากฝ่ายรัฐบาล อีกทั้งจะเป็นการประกาศให้คนไทยรู้ว่าชาวจังหวัดสมุทรปราการไม่เอาประชาธิปไตยลายพราง แต่ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง

"วัฒนรักษ์" แนะ "ประยุทธ์" คิดนอกกรอบ ออกจากระบอบรัฐราชการ


ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาลที่เปราะบาง ถ้ารัฐบาลจับตรงไหนก็มักจะเกิดข้อสงสัยตามมาว่าจะสามารถนำพาประเทศไทยไปรอดหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท ที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่าเอื้อกลุ่มนายทุนหรือไม่ ใช้งบประมาณได้ตรงจุดหรือเปล่า หรือจะเป็น ร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่รัฐบาลตั้งงบไว้ 3.3 ล้านล้านบาท ที่นักวิชาการและนักธุรกิจจำนวนมากถึงกับต้องเอะใจว่า ร่างงบประมาณนั้นอาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจได้ เรื่องล่าสุดที่แดงขึ้นมาคงหนีไม่พ้นแขกพิเศษหรือ VIP ที่เข้าประเทศไทยได้รับมาตรการยกเว้นและไม่ต้องปฏิบัติตามกฎของพื้นที่กักตัวแห่งรัฐ (State Quarantine) เหมือนกับคนทั่วไป จนทำให้ภาคธุรกิจและประชาชนในหลายพื้นที่วิตกกังวล นี่คือการเลือกปฏิบัติหรือไม่ ในเมื่อกฎหมายไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเสมอภาคกับทุกคน ทั้งนี้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยตัวเลขไตรมาส 1/2563 พบว่าคนไทยเสี่ยงตกงานจากพิษโควิด-19 และภัยแล้งสูงถึง 14.4 ล้านคน ประชากรไทยมีจำนวน 69.43 ล้านคน จึงหมายความว่าหากเราเดินไปตามถนน แล้วเจอคนไทย 5 คน จะมีคนตกงานอยู่ 1 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่ากลัวมาก เพราะหากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่มียุทธศาสตร์และแผนการใช้งบประมาณที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ก็ยากที่ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ จนทำให้รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลแห่งความไม่ไว้ใจ (Untrust Government) ยิ่งมีโรคระบาดโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกแย่ที่สุดในรอบเกือบ 100 ปี นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 หรือยุค Great Depression เราทราบดีว่าเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งในช่วงโควิด-19 เครื่องมือทั้ง 2 ส่วนนี้ก็ตกต่ำเป็นอย่างมาก ตนจึงขอเสนอยุทธศาสตร์เพิ่มพลังให้กับทุกชีวิตและเสริมสร้างกลยุทธ์ให้กับทุกธุรกิจ (To Empower Every Life and Businesses Strategy)

1. รัฐบาลควรร่วมมือสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกับทุกภาคส่วน ภาครัฐ ภาคเอกชน (SMEs) และกลุ่มเห็นต่าง โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าสินค้า ให้สินค้าและการบริการที่มีมาตรฐานสูง เพื่อการแข่งขันในยุค Now Normal

2. รัฐบาลควรส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคให้มากขึ้น เพราะหลังโควิด-19 การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) จะเข้มข้นมากขึ้น และถ้าหากประชาคมอาเซียนแข็งแรง ไทยย่อมได้ประโยชน์

3. รัฐบาลควรส่งเสริมให้คนไทยมีทักษะความสามารถและร่วมกันขับเคลื่อนด้วยการทำงานแบบ Agile (กระบวนการที่จะช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น)

4. รัฐบาลควรพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ให้ปฎิบัติงานได้ถูกต้องควบคู่กับการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยไม่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน

5. รัฐบาลควรยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านไซเบอร์ มีเสถียรภาพและสร้างเครือข่ายไอทีที่รวดเร็ว เพื่อสร้างให้ประเทศไทยเป็นซิลิคอนวัลเลย์แห่งเอเชีย (Silicon Valley of Asia)

คงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ต้องคิดแบบไม่มีกรอบ ออกจากการบริหารงานแบบระบอบรัฐราชการ เพราะถ้าหากรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ คิดแบบเดิม ทำแบบเดิม นักลงทุนที่มีอยู่ก็พร้อมย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น นักลงทุนรายใหม่ก็ไม่กล้าเข้ามา อาจทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสเงินหมุนเวียนอีกหลายแสนล้านบาท หากเป็นเช่นนี้คนไทยจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้อย่างไร

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"วันนอร์" อัดรัฐการ์ดตก หวั่นโควิดระบาดซ้ำสอง

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ  เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ใครการ์ดตกกันแน่?

น่าเห็นใจประเทศไทย ที่มีแนวโน้มรับมือโควิดที่ค่อนข้างจะไปได้ดีแล้ว แต่ต้องมีสะดุดเพราะเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ และยิ่งเกี่ยวเนื่องพัวพันกันกับทางราชการแล้ว ความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนจะยิ่งวูบลงไปอีก ตลาดหุ้นก็เริ่มวิตก ยิ่งพ่อค้าแม่ขายประชาชนก็บ่นกันอุบเลยว่า สภาพเศรษฐกิจที่รัฐบาลชุดนี้บริหารกันแบบอนุบาล จะต้องมาเจอกับเรื่องโควิดระบาดซ้ำสองอีกหรือไม่
.
ถ้าเกิดขึ้นมา ผมเสนอว่าทางรัฐบาลควรตระหนักถึงศักยภาพตนเองว่ารับใช้ชาติได้อย่างไร ถึงทำให้มีผลเสียตามมากเป็นระลอกแล้ว ระลอกเล่า
.
ขอส่งกำลังใจให้กับบรรดาทีมแพทย์ บุคลากรทางสาธารณสุขโดยเฉพาะในพื้นที่ระยอง กรุงเทพมหานคร อีกคำรบหนึ่ง พวกท่านเหน็ดเหนื่อยกับการรับสถานการณ์มาโดยตลอดนับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงกลางปี ผลลัพธ์ค่อนข้างจะดีขึ้นๆ แต่ก็ต้องลงสนามมาเริ่มต้นกันใหม่ ให้ถือเสียว่าอุปสรรคครั้งนี้ท่านได้ช่วยประชาชนได้อีกมากและทำงานต่อไป ส่วนทาง"ผู้ใหญ่"ที่หลายคนคงจะเห็นแล้วว่าไร้ความรอบคอบ ประมาท นั้นส่งผลเสียต่อชาติได้อย่างไร
.
ในแง่ของการอำนวยความสะดวกที่มีให้ใครต่อใครตามที่ได้แถลงมานั้น ก็ต้องคำนึงด้วยว่าเราอำนวยความสะดวกให้เขาแล้ว เขาจะสร้างปัญหาอะไรตามมาหรือเปล่า เหมือนกรณีนี้ ชัดเจนเลยว่า เข้ามาเมืองไทยด้วยการอนุญาตของกองทัพ และเมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ดำเนินการตามมาตรการใดๆที่ได้ว่าไว้ จนเกิดความเสียหายขึ้น โรงเรียนที่เกี่ยวเนื่องต้องหยุดเรียน เด็กได้รับผลกระทบเป็นร้อยๆ โรงแรมและห้างสรรพสินค้าต้องถูกปิด ผู้ประกอบการเสียหาย ไหนจะมีการพิจารณาสั่งหยุด สั่งปิดร้านอะไรต่อมิอะไรอีก นี่คือการอำนวยความสะดวกที่สะเพร่าเอามากๆ
.
การแก้ปัญหาที่ดีนั้นมิใช่กล่าวโทษใครคนนั้นคนนี้ แต่ควรสำเหนียกรู้สถานการณ์ ยอมรับก่อนว่าเราในฐานะผู้รับผิดชอบนั้นผิดพลาด แล้วหาทางอย่างไรก็ต้องกล่าวบอกกับผู้เกี่ยวข้องทั้งประชาชน รัฐ หรือแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่ท่านทั้งหลายอำนวยความสะดวกให้ว่าจะมีมาตรการตามมาอย่างไร มิใช่ตอนนี้คอยกล่าวโทษแต่ผู้ประกอบการอย่างเดียว อีกหน่อยถ้าเกิดมีการระบาดขึ้นมาแล้วกล่าวโทษประชาชนอีก ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องนะ เพราะประชาชนคนไทยเขาร่วมมือด้วยดีมาตลอด แล้วความตั้งใจสามัคคีป้องกันนั้นต้องไร้ค่าด้วยเรื่องแบบนีไม่ได้ ยังไงก็ต้องแก้ไข และชัดเจนในมาตรการนะครับ
.
ท่านผู้มีอำนาจครับ อย่ากล่าวโทษประชาชนอื่นใดเลยว่าไม่มีวินัย ท่านกล่าวให้มีวินัย การ์ดอย่าตกแล้วผลลัพธ์ออกแบบนี้มันเหมือนดูแคลนประชาชน ให้เห็นว่า "วินัย" นั้นยัดให้ประชาชนเขามี แต่อภิสิทธิชนที่ท่านอำนวยความสะดวกให้นั้นไม่มีก็ได้ ไม่เป็นไร
.
นี่แหละครับ อีกตัวอย่างชัดเจนอย่างหนึ่งของ "ความเหลื่อมล้ำ" ที่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจสืบเนื่องจากรัฐประหารครั้งล่าสุดมาได้สร้างผลงานให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ
.
แต่อย่างไรก็ตาม ลองตั้งคำถามสิครับว่า เมื่อเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น ก็มักจะปล่อยเรื่องให้หายลอยตามลม ไร้ผู้รับผิดชอบกันเหมือนเคย.

14 กรกฏาคม 2563
ประเทศไทย

"สุดารัตน์" อัดรัฐการ์ดตก-พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คุมเฉพาะคนไทย

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


บอกคนไทยการ์ดห้ามตก

รัฐบาลอ้าง COVID ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
คุมเข้มกับพลเมืองไทย

คนไทยเดินทางกลับบ้านต้องกักตัว 14 วัน แต่ VIP ต่างชาติไม่ต้องกักตัว
แถมเดินทางไปได้ทั่ว

รัฐบาลการ์ดตกเสียเองแบบนี้
รัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร
จนป่านนี้ยังไม่มีใครหรือหน่วยงานไหนมารับผิดชอบ ‘ทหารก็บอกปัด’ ตกลงคนเหล่านี้เข้าประเทศไทยได้อย่างไร ใครอนุญาต และคนอนุญาตให้เข้าประเทศ มีสิทธิอะไรที่ไปยกเว้นการกักตัว 14 วันให้คนต่างชาติ

หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีไว้ควบคุมเฉพาะคนไทยเท่านั้น???

อันที่จริงการระบาดในรอบแรกก็เกิดจากข้อบกพร่องของหน่วยงานรัฐเอง ตั้งแต่กรณีสนามมวยลุมพินี ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพบก แต่ไม่ปฏิบัติตามมติ ครม. ฝ่าฝืนจัดแข่งขันชกมวย จนทำให้มีการระบาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ถึงป่านนี้เรายังไม่เห็นความรับผิดชอบของหน่วยงานหรือการลงโทษคนกระทำผิดจากรัฐบาล

ต่อมาก็มีการประกาศปิด กทม. โดยไม่มีมาตรการรองรับ คนทะลักกลับต่างจังหวัดเป็นแสนคน ทำให้เชื้อกระจายไปทั่วประเทศ ต้องปิดเมือง ปิดจังหวัดทุกจังหวัด จนทำให้เศรษฐกิจทรุดหนักไปทั้งประเทศ

โดยไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจออกมาตรการที่บกพร่องเช่นนี้
แต่เคราะห์กรรมตกอยู่กับคนไทย
ที่ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่พังพินาศอยู่ในขณะนี้ ธุรกิจต้องปิดตัว กำลังซื้อหดหาย คนตกงานจำนวนมาก คนจนไม่มีจะกิน

ทั้งที่คนไทยทุกคนยอมเสียสละ
"อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ"
ยอมให้ปิดเมือง หยุดการทำมาหากิน จนเศรษฐกิจพังพินาศ เพื่อให้รัฐบาลคุมการแพร่ระบาดของโรคได้สำเร็จ และไม่ต้องการให้มีการระบาดรอบ 2

ทุกวันนี้ ’คนไทย’การ์ดยังไม่ตก
แต่คนทำการ์ดตกคือ ’รัฐบาล’
ก็ต้องกล้ารับผิดชอบต่อประชาชน

#หยุดโทษประชาชน
หยุดหาเหตุต่อ #พรกฉุกเฉิน

"เพื่อไทย" ห่วงเศรษฐกิจดิ่งเหว พิษแขกVIPรัฐบาล ติดเชื้อโควิด-19 เข้าประเทศ

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


พ.ร.ก.ฉุกเฉิน #มีไว้ใช้บังคับเฉพาะคนไทยเท่านั้น ส่วนคนที่มี #อภิสิทธิ์ หรือ #แขกVIP จากต่างชาติ ไม่จำเป็นต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ?
.
การพบทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด19 ระหว่างเดินทางเข้าออกไทยตามเงื่อนไขพิเศษและหนีการกักตัวออกมาเดินเล่นในห้าง จนวิตกกันว่าอาจจะเป็นสาเหตุของการกลับมาแพร่ระบาดในไทยอีกครั้งนั้น
เรื่องนี้เกิดจากการปฏิบัติแบบ #2มาตรฐาน ของ ศบค.ที่ปล่อยปละละเลยให้แขกพิเศษหรือ VIP ไม่ต้องปฎิบัติตามกฎการควบคุมตัวเหมือนกับบุคคลทั่วๆไป ถือเป็นความสะเพร่าและบกพร่องอย่างร้ายแรง ที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ และต้องรีบทบทวนมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดกับแขกของประเทศให้มีมาตรฐานทางสาธารณสุขที่ถูกต้องโดยด่วน

ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งที่ไม่มีการแพร่ระบาดในไทยมากว่า 1 เดือน โดยอ้างว่าเพื่อใช้ควบคุมการแพร่ระบาดระหว่างปลดล๊อคเฟส 5 หรือระหว่างเปิดเรียนและเปิดสนามบิน มิหนำซ้ำยังให้โฆษก ศบค.ออกมาย้ำนักย้ำหนาขอให้คนไทยการ์ดอย่าตก ไม่เช่นนั้นอาจมีการระบาดรอบ 2 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ซึ่งประชาชนทั้งหลายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว

การควบคุมที่เข้มข้นส่งผลให้คนไทยต้องประสบความยากลำบากอย่างหนัก เพราะการทำมาหากินภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นมีข้อจำกัดหลายอย่าง แต่ทุกคนก็ยินดีให้ความร่วมมือ คนไทยยอมอดอยาก ยอมหยุดทำมาหากิน เพื่อปฎิบัติตามคำสั่ง ศบค.ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของ พล.อ.ประยุทธ์มาอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่ง ศบค. และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับกลายเป็น ศบค.เสียเอง ที่ปล่อยให้แขกต่างชาติ และแขก วีไอพี ได้รับมาตรการยกเว้นและไม่ต้องปฎิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด

"ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า การต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดแต่อย่างใด เพราะตราบใดที่รัฐบาลยังเปิดช่องให้แขกต่างชาติหรือแขกวีไอพีที่เข้ามาประเทศไทยไม่ต้องถูกกักตัวเหมือนคนทั่วไป การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ไม่มีความหมาย ตอนนี้คนไทยทั้งประเทศเข้าใจแล้วว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีไว้ใช้บังคับเฉพาะคนไทยเท่านั้น

ส่วนคนที่มี อภิสิทธิ์ หรือ แขกVIP จากต่างชาติ ไม่จำเป็นต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดังนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงเปล่าประโยชน์อย่างสิ้นเชิงในแง่ของการควบคุมโรค ยกเว้นจะเอาไว้ควบคุมคนที่วิจารณ์หรือขับไล่รัฐบาลเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีคนไทยหลายคนถูกดำเนินคดีเพราะผิด พรก.ฉุกเฉิน ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดเลยแม้แต่น้อย”

รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการควบคุมโรคแก่แขกวีไอพีใหม่หมดทั้งระบบแล้ว สิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการอย่างฉุกเฉินเร่งด่วนไม่ใช่กฎหมายควบคุมเชื้อโรค แต่เป็นเรื่องการออกมาตรการแก้เศรษฐกิจ ที่ผู้ประกอบการภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งนักลงทุน นักธุรกิจทั่ว ๆ ไป กำลังรอการตัดสินใจจาก พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่กับมาตรการฟื้นฟู เพราะตอนนี้ตัวเลขเศรษฐกิจดิ่งเหวลงทุกด้าน ยังไม่นับคนตกงาน ว่างงานกว่า 10 ล้านคน รวมทั้งโรงงาน กิจการห้างร้านต่าง ๆ ที่ทยอยปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยยังไม่มีสัญญาณใดใดจากรัฐบาลเลยว่า จะทำอย่างไรกับวิกฤตการณ์เหล่านี้

#โควิด19 #ประชาชนธรรมดา

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

พรรคร่วมฝ่ายค้านแถลงห่วง "เสรีพิศุทธ์" ถูกถอดถอน


ที่พรรคเพื่อไทย มีการประชุมตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อประชาชน มีตัวแทนพรรคฝ่ายค้านเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ แถลงภายหลังการประชุมว่า รู้สึกเป็นห่วงประเด็นการยื่นเรื่องถอดถอน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ออกจากประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ(กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ให้ออกจากตำแหน่ง โดยมีความพยายามใช้เสียงข้างมาก รวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนจำนวนส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่ในกมธ.ป.ป.ช. ซึ่งจะส่งผลต่อระบบการตรวจสอบ และการปกป้องรักษาไม่ให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น


นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ควรได้ทำหน้าที่ต่อไป ที่ผ่านมาทำหน้าที่อย่างรอบคอบ ขยันขันแข็ง ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง ขอเรียกร้องให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เข้ามาช่วยดูในประเด็นนี้ด้วย ไม่เช่นนั้น ในอนาคตหากเกิดความไม่พอใจ ก็จะมีการร้องให้ปลดออกจากตำแหน่งประธานกรรมาธิการฯ ซึ่งจะยุ่งกันใหญ่


นายภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวว่า การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการใช้เสียงข้างมาก ในการกดดัน ปิดปากการทำงานฝ่ายค้านในสภาฯ สิ่งที่กำลังทำ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าจะหนีการตรวจสอบ เข้ามาครอบงำกระบวนการตรวจสอบ ไม่ให้ทำหน้าที่ได้ ขอให้มีการทบทวนในเรื่องนี้





"อนุสรณ์" แนะ "ประยุทธ์" รับผิดชอบวิกฤตเศรษฐกิจ


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ส่งสัญญาณพร้อมปรับครม.แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีความชัดเจน ว่า ในวงประชุมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ถูกถามถึงความคืบหน้าการปรับคณะรัฐมนตรี แต่พล.อ.ประยุทธ์ ตอบไม่ได้ นอกจากพยายามบอกว่า อำนาจปรับครม.เป็นอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ 6 ปี ที่ผ่านมา ประเทศชาติและประชาชนเสียโอกาส มีแต่คำประกาศขายฝัน ไม่มีนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจที่สัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประกาศ ปี 2561 คนจนจะหมดประเทศ ปี 2563 บอกว่า หลังโควิดประเทศไทยจะเป็นมังกรติดปีก แต่สุดท้ายกลับมาสารภาพว่า ถอดใจมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าปัญหาการปรับครม.จะเกิดจากคนเก่าไม่ยอมออก คนใหม่ไม่ยอมเข้า ความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ ที่ใช้สรรพกำลังในการทำลายล้างกันอย่างเต็มที่ แต่ผลเสียหายตกกับประเทศชาติและประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบ และเร่งฟื้นฟูเยียวยาเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะสุญญากาศ
.
นายอนุสรณ์ ยังได้กล่าวถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุจะจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นให้ได้ภายในปีนี้ว่า ไม่ใช่ครั้งแรก ที่บอกว่าปีนี้จะจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นให้ได้ และไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะเลื่อน เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมากว่าจะได้จัดการเลือกตั้งทั่วไป เลื่อนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นเครื่องมือและแนวทางสำคัญพื้นฐาน ในการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกตัวแทนของตัวเอง ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ มีความจริงใจ ไม่ต้องการกระชับอำนาจ เป็นรัฐราชการรวมศูนย์ ต้องแสดงความจริงใจ ในการเร่งประกาศไทม์ไลน์การเลือกตั้งท้องถิ่นให้ชัดเจนโดยเร็ว
.
นายอนุสรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้เตรียมการจัดกิจกรรม พรรคเพื่อไทยสัญจร 4 ภาค เพื่อเดินสายรับฟังปัญหา และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 เป็นการทำงานการเมืองเชิงรุกแบบนิวนอร์มอล เข้าถึงปัญหา และเสนอแนวทางแก้ไขโดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ นายอนุสรณ์ กล่าว

"ทนายชุมสาย" แนะรัฐเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ


ทนายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่า ว่า "ขณะนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศเป็นวิกฤติเศรษฐกิจเป็นหลัก ตั้งแต่รัฐบาลเข้าสู่อำนาจตั้งแต่ปี 2557 จนมาถึงช่วงที่สองของรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ปัญหาเศรษฐกิจก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข และในช่วงนี้มีภาคเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ได้ออกมาเสนออแนวทางและทักท้วงว่าประเทศต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว เราจึงควรมีมิติการแก้ปัญหาเรื่องการท่องเที่ยว ว่าจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศอย่างไรให้เป็รูปธรรม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ขอให้เปิดใจกว้างยอมรับฟังเสียงและแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของภาคเอกชนในมิติต่างๆ ที่สำคัญอยากให้ฟังเสียง ส.ส.ฝ่ายค้านซึ่งได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนเป็นล้านๆ คนมาด้วย เพราะเราตั้งใจ ไม่ได้จ้องจะล้มรัฐบาลเพียงอย่างเดียว อย่าฟังแต่เสียงพรรคร่วมรัฐบาลและสื่ออย่างเดียว".