"สุดารัตน์" ชวน "Start Up" ไทยรื้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคการเติบโต วงเสวนาชี้ รัฐราชการไทยเป็นปัญหา โวย! โควิด-19 มา ผู้ประกอบการรายเล็กเจ๊ง ส่วนเงินเยียวยา 5 แสนล้านลงท้องทุนรายใหญ่
ที่พรรคเพื่อไทย โดยสถาบันสร้างไทย จัดเสวนา "ปลูกโอกาส สร้างเมืองสตาร์ทอัพ" นำโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เป็นผู้ดำเนินรายการและเปิดประเด็นในการเสวนา
คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำถึง แนวทางของพรรคเพื่อไทยต่อ Start Up โดย Focus 2 อย่าง คือ เงินกู้ของรัฐ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจและ SMEs หลัง covid - 19 ระบาด มีอยู่ 5 แสนล้านบาท ซึ่งทั้ง SME, กลุ่มstartup และวิสาหกิจชุมชน ควรจะได้เงินก้อนนี้ และแม้รัฐมีการกระจาย แต่ SME รายใหญ่ได้ประโยชน์ ขณะที่รายเล็กกำลังจะตาย ส่วนที่สองคือ การดูกฎระเบียบและแก้ไขกฎหมายต่างๆที่ล้าหลังเป็นอุปสรรคการเติบโตธุรกิจใหม่ รวมถึง startup กลุ่ม SMEs วิสาหกิจชุมชนต่างๆด้วย ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีคณะทำงานที่ดำเนินการเรื่องนี้อยู่ และการจัดเวทีพูดคุยในลักษณะนี้ รวมถึงการคุยวงเล็บเพื่อลงในรายละเอียดหรือ Detail ต่างๆ จะดำเนินการต่อเนื่องเพื่อผลักดันให้ SME, ธุรกิจรายเล็ก และ Start Up ของไทยให้เติบโตขึ้น
ส่วนผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย
(1) นางสาว ชาริณี กัลยาณมิตร ผู้ก่อตั้ง MOXY ร้านค้าไลฟ์สไตล์ออนไลน์สำหรับผู้หญิง
(2) นายอมฤทธิ์ เจริญพันธ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Hubba Coworking Space และ Techsauce Media
(3) นายอุกฤษ อุณหเลขกะ ผู้ร่วมก่อตั้ง Ricult ซึ่งเป็น Start Up AgriTech เพื่อเกษตรกรที่มูลนิธิบิล เกตส์ ให้ทุนกว่า 100 ล้านบาท
(4) นางสาวช่อขวัญ ช่อผกา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเลเวทเต็ด เอสเตท จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านองค์ความรู้อุตสาหกรรมกัญชาและเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน Cannabis Technology
(5) นายสรณัญช์ ชูฉัตร ประธานบริษัท อีทราน จำกัด ซึ่งเป็น Start Up สายยานยนต์ จักรยานยนต์ไฟฟ้า และพัฒนานวัตกรรมยานยนต์พลังงานสะอาด
โดยต่างย้ำถึงการต้องพัฒนาและใช้ประโยชน์จาก Start Up แชะสะท้อนถึงปัญหาและอุปสรรคที่ Start Up ไทยไม่เติบโต โดยเฉพาะปัญหาจากกฎเกณฑ์ต่างๆของภาครัฐ ตลอดจนวิสัยทัศน์ผู้มีอำนาจและระบบราชการของรัฐไทย ที่ยุ่งยากและล่าช้าในการดำเนินการ ที่น่าสนใจคือ
นางสาวชาริณี ผู้ก่อตั้ง MOXY กล่าวตอนหนึ่ง โดยเปรียบเทียบการสนับสนุนของรัฐบาลประเทศต่างๆกับประเทศไทยที่แตกต่างกันมาก โดยรัฐบาลสิงคโปร์จะลดการลงทุน แต่จะคอย support ให้ผู้ประกอบการรายใหม่ลองผิดลองถูกและพยายามทำให้เกิดผลกำไร มีกลไกหรือเป็น Partner ให้เลือกทำงานได้ มีการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆในการสร้างนวัตกรรมและผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งการดำเนินการภาครัฐต้องสนับสนุน ไม่เช่นนั้น Start Up จะไปไม่รอด
โดยในต่างประเทศ ภาครัฐจะถามความเห็นหรือรับฟังผู้ประกอบการเป็นหลัก ในภาษา Start Up คือ ก่อนที่จะทำอะไรต้องถามลูกค้าก่อน ว่าเขาจะไปหรือว่าจะเอาหรือเปล่า ไม่ใช่คิดแค่ว่าทำแล้ว เดี๋ยวลูกค้าจะตามมาเอง ดังนั้น ภาครัฐต้องคุยกับ Start Up ก่อนว่าจะทำอะไรและทำที่ไหน สำหรับไทยนั้น เงินอาจจะมี แต่การกระจายเงินทุนยังคิดกลไกไม่ออกหรือรัฐจะทำเอง ทั้งที่ควรจะให้ Start Up เป็นคนคิดหรือคิดร่วมกัน
นายอมฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Hubba กล่าวว่า โมเดล Start Up ที่เมืองนอกมีเยอะ หลายคนจึงถามว่าทำไมไทยจึงไม่มี พร้อมขยายความว่าที่ต่างประเทศเกิดได้ เพราะรัฐบาลต่างประเทศมองว่า รัฐไม่ได้รู้ดีเท่ากับผู้ประกอบการและปล่อยให้นักลงทุนแข่งขันกัน ภาครัฐอาจไม่ได้หวังกำไรในส่วนนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่เสียอะไร เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยงด้วย โดยราวปี 2558 การที่ผู้ประกอบการจะทำ E-commerce ขึ้นมาก็กลัวโดนโกง แต่สุดท้ายก็กลัวการ disruption มากกว่า ท่ามกลางการขยายตัวขึ้นของอา ลีบาบา จากประเทศจีน จึงเกิดกลุ่มบริษัทที่ทำ E-commerce หลายกลุ่มขึ้นในหลายประเทศ
นางสาวช่อขวัญ ผู้นำด้านองค์ความรู้อุตสาหกรรมกัญชา กล่าวว่า ธุรกิจด้านนี้ไม่ค่อยมีคนเข้ามาทำ เพราะเคยผิดกฎหมายและยังมีอคติในสังคมอยู่ แม้เม็ดเงินจากธุรกิจกัญชา จะมีมหาศาล แต่ตกอยู่กับทุนขนาดใหญ่ ชาวบ้านธรรมดาเข้าไม่ถึง ขณะที่เมื่อมีวิกฤตโควิด - 19 ทุกอย่างก็ยุติลง และ Start Up ไม่ได้เกิดหรือเติบโตขึ้น พร้อมยืนยันว่า การดำเนินการหรือการปลูกกัญชาเองโดยของรัฐ จะไม่ให้ผลผลิตที่งอกงาม เพราะไม่มีองค์ความรู้ หรือมีชุดข้อมูลที่ไม่ใกล้เคียงความเป็นจริง และปัจจุบันมี Start Up ประมาณ 3-4 รายที่เท่านั้น เหลือเป็น "บิ๊ก" หรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ส่วนชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงโอกาส ทั้งข้อมูลและระบบต่างๆภายใต้เงื่อนไขคือ ต้องดำเนินการเรื่องกัญชากับรัฐเท่านั้น แม้คนมองเห็นว่า การปลูกกัญชาขายจะนำพาออกจากความจนได้ แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะคนจนเข้าไม่ถึงการปลูกจากเงื่อนไขต่างๆที่รัฐไทยกำหนดขึ้นมา
นายสรณัญช์ ผู้พัฒนานวัตกรรมยานยนต์พลังงานสะอาด กล่าวว่า Start Up มีประโยชน์ต่อประเทศอย่างมาก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการใช้องค์ความรู้เพื่อพัฒนาประเทศร่วมกับภาครัฐ แต่รัฐไทยติดกับระบบราชการที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา Start Up และแผนที่ให้ Start Up พัฒนาและแข่งกันเองอย่างเดียว เป็นเรื่องอันตราย โดยเห็นว่า ควรเอามันสมองของ Start Up ไปช่วยคิดหลายๆอย่างที่เกินกว่าระบบราชการหรือเกินกว่าที่ภาครัฐจะฝันถึงได้ ที่ไม่ใช่แค่ความคิดความอ่านเท่านั้น แต่เอามาช่วยกันสร้างวิสัยทัศน์, Project หรืออะไรบางอย่าง เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศโดยใช้เคสหรือกรณีศึกษาของ Start Up จะทำให้ประเทศเดินเร็วขึ้น 2-3 เท่า เมื่อเปรียบกับการขับเคลื่อนด้วยระบบราชการอย่างปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น