"เวทีเปลี่ยนกรุงเทพฯ" พรั่งพรู! เสียดายโอกาสยกระดับเมืองหลวง เหตุ! กฎระเบียบล้าหลัง รัฐไม่หนุนธุรกิจใหม่ และยังมีการเลือกปฏิบัติ
คณะกรรมาธิการ หรือ กมธ.ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ หรือ กมธ.ติดตามงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร จัดเวที ผ่าตัดงบประมาณรวมพลังสร้าง กทม. โดยมีการสัมมนา "รวมพลคนอยากเปลี่ยนกรุงเทพฯ" ที่ชั้น 5 โชว์รูมเบนซ์ ทองหล่อ
นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการศึกษาที่เท่าเทียมใน 2 ประเด็น คือ โรงเรียนที่ดีและการศึกษาที่ดี โดยเห็นว่า "โรงเรียนที่ดี" ต้องอยู่ใกล้บ้าน มีอุปกรณ์การเรียนเพียงพอเพื่อประสิทธิภาพการเรียนการสอน ส่วน "การศึกษาที่ดี" นั้น ต้องสามารถดึงศักยภาพของนักเรียนที่แตกต่างกันออกมาได้อย่างเต็มที่ มีหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยมีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และต้องทำให้นักเรียนเป็นพลเมืองอย่างสมบูรณ์ มีสิทธิเสรีถาพในการแสดงออกด้วย
ขณะที่ กทม.มี 437 โรงเรียน มีนักเรียนกว่า 4 แสน งบประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่มากกว่า 50% เป็นงบประมาณสำหรับบุคคลากรหรือค่าจ้างครู ซึ่งถือเป็นการลงทุนทางการศึกษา แต่ไม่ได้ลงถึงนักเรียน หรือไม่ได้นำไปยกระดับคุณภาพการศึกษาให้นักเรียน ซึ่งการรวมศูนย์อำนาจ ยังเป็นอุปสรรคทางการศึกษาที่ทางโรงเรียนยังไม่ได้มีอิสระในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง ดังนั้น การกระจายอำนาจจึงสำคัญในการสร้างการศึกษาที่เท่าเทียม พร้อมยืนยันว่า ถ้ายังจัดสรรและใช้งบประมาณด้านการศึกษาอย่างที่ผ่านมาและเป็นอยู่ จะไม่สามารถเอาชนะการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ ลูกหลานไทยก็ยังจะด้อยพัฒนาเหมือนเดิม
นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย จากบริษัท ช ทวี จำกัด ระบุว่า ปัญหาของประเทศไทยแก้ได้ด้วยเทคโนโลยี และต้องการเปลี่ยน กทม.เป็นเมืองของ "คนที่มีความสุข" ไม่ใช่เมืองเเห่งความสุข ซึ่งวาทกรรมที่คนไม่ได้มีความสุขจริงๆ ซึ่งจะทำได้ต้องไม่หวังพึ่งภาครัฐอย่าวเดียว แต่คนพื้นที่ที่มีศักยภาพต้องรวมตัวกัน ลดอีโก้ลง แล้วทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังอะไร
พร้อมยกตัวอย่าง "ขอนแก่นโมเดล" ที่เอกชนร่วมกันคิดและสร้างรถไฟฟ้าเอง โดยตั้งเป็นบริษัท เข้าตลาดหุ้นและแบ่งผลประโยชน์ให้คนจน ตามกองทุนผู้มีรายได้น้อยของ กลต. และผู้ว่าชการจังหวัดนั่งหัวโต๊ะคู่กับเอกชน โดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณภาครัฐอย่างเดียว แม้จะมีงบประมาณท้องถิ่น 35% หรือ 28% ก็ไม่มีปัญหา โดยกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องสนับสนุนอย่างกระทรวงคมนาคม ช่วยศึกษาความเป็นไปได้, การขออนุญาติต่างๆต่อกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการใช้ประโยขน์ที่ดินรัฐในส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายสรณัญช์ ชูฉัตร จากบริษัท อีทราน (ไทยแลนด์) ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะจำหน่ายได้ในปีหน้า กล่าวว่า ในฐานะ startup ว่า ไม่ใช่แค่จะมาพัฒนา แต่อยากเริ่มกรุงเทพฯใหม่ ที่ statup อยู่ได้ และอยากอยู่ และเพื่อให้เป็นเมืองที่ไม่ได้มีแค่การท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่การเติบโตของเศรษฐกิจที่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ในอนาคต พร้อมยกตัวอย่างเมืองลิเวอร์พูล สหราชอาณาจักร ที่ลงทุนให้ statup เพราะเห็นว่า คือโอกาสที่เมืองจะฟื้นคืน โดยเฉพาะจากผลกระทบของ โควิด-19 และการลงทุนกับ startup ให้เติบโตขึ้นแล้ว ภาครัฐก็ยังเก็บภาษีได้อีก
นายสรณัญช์ เสนอ 5 ข้อ เพื่อให้รัฐใช้ประโยชน์หรือสนับสนุน startup ในการพัฒนากรุงเทพมหานคร คือ
1.) การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ต้องมีออกแบบให้เหมาะสม เพราะบางทีก็ไม่รู้ว่าต้องการอะไร
2.) นำปัญหาต่างๆออกมาเปิดเผยให้ ststup เข้าใจปัญหา
3.) เปิดเผยกระบวนการและความคืบหน้าให้ประชาชนมีส่วนร่วม
4.) เริ่มให้เล็กๆทดลองหลายๆกระบวนการ ลองผิดลองถูกได้ อาจจะยังไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง แต่เป็นโครงการทดลองวิจัยต่างๆ ให้พื้นที่การสนับสนุนเพื่อให้ startup เข้ามาทำงานได้
5.) เรียนรู้การทำงานร่วมกัน ต่อยอดโอกาสต่างๆให้กันและกัน เช่น startup นำเทคโนโลยีเข้ามา ส่วนภาครัฐสนับสนุน โดยไม่ต้องแข่งขันกับ startup
พร้อมกันนี้ มองว่า รถจักรยานยนต์รับจ้าง หรือ วินมอเตอร์ไซค์ สามารถร่วมมือกับภาครัฐหรือภาครัฐยกระดับให้การขนส่งสาธารณะมีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ ทาง startup เป็นผู้ผลิต ภาครัฐดำเนินการเชิงนโยบาย
นายวิชัย อริยรัชโตภาส กรรมการพัฒนาชุมชนตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ระบุว่า การพัฒนาต้องหวังผลระยะยาว ประชาชนมีส่วนร่วม ภาครัฐเติมเต็มส่วนที่ขาด มีความยั่งยืนไม่ทำลายความวิถีชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของชุมชน มีกลไกแบะระบบช่วยประคับประคอง สนับสนุนคนตัวเล็กตัวน้อยให้มีอาชีพ โดยเห็นว่า หน้าที่ของรัฐ คือให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้าน ไม่ใช่ออกกฎหมายควบคุม แล้วให้ประชาชนขออนุญาตทุกๆเรื่อง รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ และสนับสนุนให้ข้าราชการใช้บริการสาธารณะ นอกจากนี้สวนสาธารณะและสัตว์สถานที่ต่างๆควรเออกแบบให้เอื้ออำนวยต่อคนพิการด้วย เพราะผู้พิการไม่ใช่ "สปีชีส์" ที่ภาครัฐต้องนึกถึงเป็นลำดับสุดท้าย แต่คือประชาชนผู้เสียภาษีเช่นกัน
นายวิชัย กล่าวถึงกรณีผู้สูงอายุ, นักศึกษาและผู้ด้อยโอกาส โดยเห็นว่า ถ้าไม่เรียนรู้หรือปรับตัว ในอนาคตจะอยู่ยากขึ้น ดังนั้น ต้องช่วยให้คนเหล่านี้ไม่ให้ถูกกระแส New Normal กวาดล้างหายไป ต้องมีศูนฝึกอบรม ศูนย์การเรียนรู้ อบรมพัฒนาอาชีพที่สอดคล้อง และหาพื้นที่ขายหรือตลาดให้ โดยกทม. จัดหาพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทำเป็นพื้นที่ผ่อนผัน ให้ชาวบ้านค้าขายได้โดยไม่ต้องเก็บค่าเช่า ให้แต่ละคนรับผิดชอบความสะอาดพื้นที่ ส่วน กทม.แค่จัดระเบียบ โดยวิธีเอาบทเรียนที่เคยกวาดล้าง Food Street เมื่อหลายปีที่แล้วมาปรับปรุงแก้ไข ให้ได้ประโยชน์และอยู่ร่วมกันได้และทำให้กลับมาเป็นเสน่ห์ของ กทม.รวมถึงเป็นจุดเด่นการท่องเที่ยว นำรายได้เข้าประเทศด้วย
นายเทพวรรณ คณินวรพันธุ์ CEO ZAAP Party เกี่ยวกับการจัด Event กล่าวว่า ขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงของวัยรุ่นเพื่อจะบอกว่าจริงๆ กทม.มีอีกหลายมิติ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้ดีขึ้นได้ และมองว่า การจำกัดเวลาสถานบันเทิงหรืองานรื่นเริง Event ต่างๆไม่เกินเที่ยงคืนหรือตีสองนั้น ยังเป็นอุปสรรคและเสียโอกาสทางรายได้ โดยงาน Event หนึ่งงาน ไม่ได้มีแค่ส่วนงานเดียว โดยยกตัวอย่าง "งานวัด" ที่มีร้านค้าจำนวนมากเปิดขาย รวมถึง รถจักรยานยนต์รับจ้างและอื่นๆได้ประโยชน์ ขณะที่วัยรุ่นมีความคิดสร้างสรรค์สามารถออกแบบงานดึงดูดผู้ร่วมงานได้จำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐไม่เคยสนใจงานลักษณะนี้มีแต่เอกชนดำเนินการ ส่วนงานเปิดร้านขายของต่างๆของภาครัฐ กระจุกตัวทั้งแง่ผู้ค้าและสถานที่ ซึ่งไม่ทั่วถึงและไม่สะดวกในการไปจับจ่ายใช้สอยของผู้ที่สนใจ
นายเทพวรรณ ระบุด้วยว่า การท่องเที่ยวและศิลปะรูปแบบใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ กทม. ยังไม่มีพื้นที่ให้ พน้อมยืนยันว่า ถ้าภาครัฐจัดที่ให้ งาน Event สามารถสร้างรายได้ให้ผู้จัดงาน, ผู้ค้าผู้ขายและ นำรายได้เข้าประเทศได้ด้วย แต่ปัจจุบันเงื่อนไขกฎระเบียบต่างๆจะเป็นอุปสรรครวมถึงนโยบายของทางภาครัฐที่ไม่ได้ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจัง แม้แต่ "ผับ บาร์" ของไทยติดระดับ top ten ของเอเชียหลายแห่ง ซึ่งถือว่าประเทศไทยยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ในแง่นี้เท่าที่ควรและน่าเสียดายโอกาส พร้อมกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ไม่ควรปิดโอกาสคนกลางคืน เพราะคนใช้ชีวิตกลางคืนมีจำนวนมาก
นายธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ CEO JIB Digital Consult ระบุว่า ทั้ง Facebook Google มีรายได้มหาศาล มีสินทรัพย์ก็คือ "ข้อมูล" ผ่าน platform ต่างๆ ทั้งผู้บริโภคซึ่งผู้บริโภคทั้งรับและให้ข้อมูลผ่าน platform ด้วย ซึ่งปัจจุบันการใช้ Data หรือข้อมูลในยุค Digital จะลดการ "มโน" หรือคิดไปเองในการตัดสินใจ และ ความเร็ว กับ Real Time ของ Data สำคัญมาก เพราะทำให้การตัดสินใจ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบเรื่องต่างๆและพยากรณ์สถารการณ์ได้อย่างเม่นยำ รวมถึงแก้ปัญหาต่างๆได้ทันท่วงที พร้อมแนะนำการตัดสินใจทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน 2 ข้อคือ
1.) ถามตัวเองตลอดเวลาว่าการตัดสินใจนี้เป็นไปตาม ข้อมูลหรือคิดไปเอง
2.) ข้อมูลรอบด้านหรือไม่ ยิ่งมีข้อมูลรอบด้านหลายมิติการตัดสินใจก็จะถี่ถ้วนขึ้น
นายธรรม์ธีร์ ระบุด้วยว่า แม้นักการเมืองหรือตัวแทนประชาขนและภาครัฐ มีข้อมูลทั้งหมดในการตั้งคำถามและหาคำตอบในเรื่องต่าง แต่จะสิ่งสำคัญคือ จะคิดเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาหรือไม่
ส่วนตัว อยากเห็นระบบบริหารข้อมูลจริงเพื่อประชาชนทุกคน เป็นระบบที่ช่วยให้ประชาชนสะท้อนปัญหาสู่ภาครัฐ ตรวจสอบการใช้อำนาจ หรือเสนอนโยบาย ผ่าน platform ได้ จะนำสู่การแก้ปัญหาได้ตรงจุด พร้อมยืนยันว่า การให้ข้อมูลกับประชาชน ก็คือ "การให้พลังกับประชาชนและเมื่อประชาชนมีพลังมากพอ ก็จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้"
นายต่อพงษ์ วงศ์เสถียรชัย จากบริษัท เลิฟอันดามัน ระบุว่า ประเทศไทยสามารถนำความแตกต่างของกรุงเทพฯออกมาขายได้ โดยไม่จำเป็นต้องลอกแบบต่างประเทศ โดยเฉพาะ Street Food ที่เป็นเสน่ห์การท่องเที่ยว แต่อาจดึโมเดลต่างประเทศไว้เพื่อเตรียมการ เมื่อหมดโควิด -19 หรือไทยเปิดประเทศ ก็สามารถดำเนินการได้เลยก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง และหากกรุงเทพฯในฐานะเมืองหลวง ไม่สามารถเป็นแม่แบบได้ เมืองอื่นๆก็ไม่สามารถเดินทางตามได้ ในขณะที่เมืองเก่าที่มีอยู่ก็ไม่ได้ถูกยกระดับให้มีเสน่ห์ได้ ตนจึงอยากเห็น ทั้ง 50 เขตใน กทม.กับถนนที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างน้อยต้องฟื้นฟู Food Street และสร้าง Street Art ขึ้นมาประจำแต่ละเขตและอื่นๆ
นายต่อพงษ์ ฝากถึงผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องด้วยว่า "ถ้าคุณมองทุกอย่างเป็นกฎ 1-2-3-4 แต่ไม่ได้แก้ปัญหาให้ประชาชนหรือสร้างโอกาสสร้างรายได้ กฎเหล่านั้นต้องถูกแก้" โดยต้องสร้างกฎใหม่ให้ประชาชนอยู่ได้และต้องมีรายได้ด้วย ที่ผ่านมาแม้ๅาครัฐมีหลายนโยบายเกี่ยสกับการพัฒนาการท่องเที่ยว แต่ไม่มี Action Plan หรือไม่นำสู่การปฏิบัติที่เป็นจริงได้
คุณศิริศักดิ์ ไชยเทศ นักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ กล่าวว่า แม้ประเทศไทยมีกฎหมายและเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการไม่เลือกปฏิบัติและสิทธิมนุษยชน แต่ก็ยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ ในส่วน Sex worker ในไทยมีอยู่ประมาณ 300,000 กว่าคน ใน กทม.มี 10,000 กว่าคน ทั้งชาย-หญิงและ LGBT สร้างรายได้ให้ประเทศปีละล้านบาท แต่ภาษีเหล่านี้ไม่เคยกลับมาหา Sex worker เลย พร้อมยืนยันว่า อาชีพ sex worker มีศักดิ์ศรีไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรีและไม่ใช่ การค้ามนุษย์ เพราะเป็นการตัดสินใจเลือกของผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว โดยเรียกร้องในประเด็นนี้คือ
1.) ยกเลิกกฎหมายค้าประเวณี ก็มีกฎหมายอื่นๆทั้ง พ.ร.บ.เด็กและการต้ามนุษย์ดูแลได้
2.) คุ้มครองพนักงานบริการ (sex worker) ตามกฎหมายแรงงาน โดยไม่ต้องให้ลงทะเบียน
3.) ร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ค้าบริการทางเพศ
ส่วนประเด็น LGBT นั้นสถาบันเกินบางแห่งไม่ยอมให้กระเทยเข้าใช้บริการ, สภากาชาด ไม่รับการบริจาคเลือดจาก "เกย์-กะเทย" และมีการเลือกปฏิบัติอีกหลายอย่าง พร้อมเรียกร้องกฎหมายสมรสเท่าเทียม, ร่าง พ.ร.บ.รับรองเพศสภาพ ที่ไม่ใช่แค่ชายกับหญิงเท่านั้น, การเข้าถึงฮอร์โมนของผู้ต้องขังในเรือนจำที่เป็นคนข้ามเพศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องความสวยความงามแต่เป็นเรื่องสุขภาพ,
สำหรับเรื่องการศึกษานั้น เรียกร้องให้ต้องแก้ไขหลักสูตรแกนกลาง ไม่เลือกปฏิบัติต่อคนข้ามเพศ, ยุติการปิดกั้นไม่ให้คนข้ามเพศเข้าทำงาน, ต้องมีวันลาหยุดในการผ่าตัดแปลงเพศ ในลักษณะเหมือนกับการลาคลอดบุตร และอยากให้กรุงเทพฯเป็นต้นแบบของห้องน้ำสำหรับคนทุกเพศสภาพ รองรับกลุ่มหลายทางเพศด้วย รวมทั้งเสนอว่า ไทยต้องมี Thailand Pride โดยจัดที่ กทม.และระบุลงในปฏิทินเป็นเทศกาล ให้สมกับสมญานามว่า "สรวงสวรรค์ของ LGBT" ด้วย