"ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย" ชี้ อันตรายกำลังคืบคลานมาสู่ เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญข้าราชการ แนะเร่งแก้ ก่อนวันแห่งความหายนะจะมาถึง
นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรคเพื่อไทยและคณะทำงานทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยกล่าวถึง
งบประมาณปี 2564 ที่ได้ผ่านการพิจารณาของสภาฯ แล้ว ยอดรวม 3.28 ล้านล้านบาทว่า มีเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กให้ต้องกังวลอย่างมากหลายเรื่อง หนึ่งในเรื่องใหญ่คือ "เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ" ที่มีตัวเลขสูงถึง 300,435 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึงกว่าร้อยละ 9 ของยอดรวมงบประมาณประจำปี 2564 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมากอย่างน่าตกใจ และจะยิ่งน่าตกใจ และน่ากังวลอย่างที่สุดหากทราบว่าเมื่อสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มจากเพียงร้อยละ 5 ในปี2553หรือเพียง 10 ปีเท่านั้น โดยในปี 2553 งบฯ เบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ มียอดเพียง 87,633 ล้านบาทซึ่งเป็นยอดที่ต่ำกว่าหนึ่งแสนล้านบาท บัดนี้รายจ่ายเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ สูงกว่า สามแสนล้านบาทเสียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ลองนำงบฯ เบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญเปรียบเทียบกับงบลงทุน โดยงบลงทุนปี 2564 อยู่ที่ 674,868 ล้านบาท เทียบกับ 300,435 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 44 จะเห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลที่ไม่สามารถเพิ่มงบประมาณให้สอดคล้องกับงบพัฒนาประเทศได้
นายจักรพงษ์กล่าวอีกด้วยว่าพรรคเพื่อไทยประมาณการว่าในอีกไม่ถึง 10 ปี รายจ่ายเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญในงบประมาณประจำปี จะต้องมีภาระที่สูงถึง 6 แสนล้านบาท หรืออีกหนึ่งเท่าตัวของยอดปัจจุบัน และคาดว่ารายจ่ายประจำปีรายการนี้จะยังคงสูงขึ้นต่อเนื่องจนแตะ 8 แสนล้านบาทในอีก 15 ปีข้างหน้า จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะแก้ไขหากปล่อยให้ถึงวันนั้นโดยไม่เตรียมการให้ดีเสียแต่บัดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแนวโน้มข้างหน้า ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เชื่องช้า ยอดเงินของการจัดเก็บภาษีของรัฐไม่เติบโต การกู้เงินเพื่อเติมส่วนที่ขาดดุลงบประมาณชนเพดานทั้งตามกฎหมาย และความสามารถในการชำระคืน ทำให้ไม่สามารถจัดทำงบประมาณที่มียอดรวมสูงขึ้นให้เพียงพอแก่รายจ่ายรายการสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะรายจ่ายประจำที่สำคัญรายการ เบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญนี้ ซึ่งการตระหนักถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง การบริหารจัดการในส่วนนี้ควรจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่วันแห่งความหายนะจะมาถึง
"พรรคเพื่อไทยไม่ต้องการเห็นข้าราชการที่เกษียณอายุราชการแล้ว หวังพึ่งเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญเพื่อการดำรงชีวิต ต้องประสบปัญหาใดๆ ในอนาคต"นายจักรพงษ์กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น