ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายเทพฤทธิ์ สีน้ำเงิน และนางสาวธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ กรรมการศูนย์นโยบายฯพรรคเพื่อไทย ได้แถลง คำแถลงศูนย์นโยบายฯพรรคเพื่อไทย เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อนโยบายที่เปลี่ยนไปของสหรัฐอเมริกา โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คำแถลงศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคเพื่อไทย
เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อนโยบายที่เปลี่ยนไปของสหรัฐอเมริกา
ข้อเสนอที่ 1 ด้านนโยบายการเงิน :
การเพิ่มขึ้นของการลงทุนภาครัฐ ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของนายโจ ไบเดน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ารายได้ภาษีส่วนเพิ่มจากนโยบายขึ้นอัตราภาษี ทำให้ฐานะทางการคลังของสหรัฐฯมีแนวโน้มทรุดลง และการก่อหนี้สาธารณะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น ประกอบกับการผ่อนคลายของนโยบายการเงินขนาดมหึมาและลากยาว อีกทั้งนโยบายการทางค้ากับประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯมีแนวโน้มผ่อนคลายลงในระยะสั้น-กลาง การใช้การกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ของนายโจ ไบเดน มีผลทำให้ดุลการค้าสหรัฐฯต่อประเทศคู่ค้าหลักมีแนวโน้มทรุดตัวลงในระยะสั้น-กลาง ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวลงมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาส 2 ของปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป และคาดการณ์ว่าจะอ่อนตัวลงอยู่ในกรอบ 15-20% ในระยะ 2-3 ปีต่อจากนี้
การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์อย่างมีนัยสำคัญ หมายถึงการแข็งค่าของค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้ จะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำหรับฟื้นตัวของการส่งออกในระยะแรก และต่อด้วยการท่องเที่ยวในระยะถัดไป ซึ่งทั้งคู่ต้องอาศัยความได้เปรียบของค่าเงิน ศูนย์นโยบายฯพรรคเพื่อไทยประเมินว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมกับการชิงจังหวะการส่งออก ชิงห่วงโซ่การผลิตที่ถูกตัดขาด และชิงการกลับมาของนักท่องเที่ยว ควรจะอยู่ที่ระดับ 33-34 บาทต่อดอลลาร์ แต่จากปัจจัยข้างต้นประเมินว่าจะทำให้ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 30.25 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2563 และแข็งค่าไปแตะระดับ 29.00 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2564 หากขาดมาตรการการเงินเชิงรุกแบบพิเศษเข้ามาดูแล ซึ่งนั่นหมายถึงหายนะของภาคการส่งออกและท่องเที่ยวไทย ในจังหวะที่นานาชาติกำลังฟื้น ประเทศไทยจะติดกับดักค่าเงินที่เป็นตัวถ่วงการฟื้นตัว
มาตรการทางการเงินในช่วงที่ประเทศมหาอำนาจต่างใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายแบบสุดขั้ว ศูนย์นโยบายฯพรรคเพื่อไทยเห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยควรพิจารณามุมมองใหม่ของนโยบายการเงินที่ไม่ใช่แค่คำว่าดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เงินเฟ้อไม่ใช่ปัจจัยหลัก ในภาวะที่อัตราแลกเปลี่ยนสำคัญยิ่ง และในภาวะที่ความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) เหลือน้อย ทั้งนี้มองว่าคำกล่าวที่ว่า นโยบายการเงินเป็นเสมือนหลังพิง และนโยบายการคลังจะเป็นหัวหอกในช่วงโควิด-19 นั้น ไม่ถูกต้อง เหตุเพราะนโยบายการคลังส่งผลต่อการฟื้นตัวในประเทศ แต่นโยบายการเงินเกี่ยวข้องโดยตรงต่ออัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นตัวหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่แต่ละประเทศกำลังชิงตลาดส่งออกและห่วงโซ่อุปทานในช่วงฝุ่นตลบ หมดยุคที่นโยบายการเงินจะเน้นเพียงด้านเสถียรภาพโดยเฉพาะด้านราคา แต่กำลังเข้าสู่ยุคที่นโยบายการเงินเป็นหัวหอกสำคัญในการกำหนดความได้เปรียบของประเทศ
ข้อเสนอที่ 2 ด้านการค้าระหว่างประเทศ :
นโยบายสนับสนุนให้ชาวอเมริกันใช้ของอเมริกัน (Buy American Product) ประกอบกับสงครามการค้ามีท่าทีที่จะตึงเครียดน้อยลง ส่งผลดีกับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าของสหรัฐฯ ประเมินว่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯในปี 2564 จะกลับมาขยายตัว 10-15% นอกจากนี้การที่สหรัฐฯวางแผนที่จะลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด และขยายเครือข่ายระบบ 5G จะช่วยหนุนความต้องการสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ แผงโซลาเซลล์และไดโอด อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ศูนย์นโยบายฯพรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลไทยควรให้การสนับสนุนการลงทุน ผลิต และต่อยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้มากขึ้น โดยเน้นบทบาทภาครัฐเชิงรุก เช่น การให้เงินสนับสนุน การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี การช่วยเหลือให้ความรู้ทางเทคโนโลยี และการร่วมทุนกับภาครัฐ เป็นต้น
นโยบายการต่อต้านการทุจริต ปรับมาตรฐานของแรงงาน และคุ้มครองสิทธิบัตรทางปัญญาอาจเป็นอุปสรรคต่อการที่ประเทศไทยจะสามารถได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากการเป็นคู่ค้าทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคีได้ เป็นสิ่งที่น่าจับตามองว่าสหรัฐฯจะมีท่าทีอย่างไรกับประเทศไทยที่ยังมีความไม่ชัดเจนต่อการแก้ปัญหาการทุจริตอยู่ในภาครัฐ ยังมีมาตรฐานของแรงงานที่เป็นปัญหา และสิทธิบัตรทางปัญญาที่ยังถูกละเลย
นอกจากนี้ ไม่ว่าสหรัฐฯ จะตัดสินใจสานต่อนโยบายและสนธิสัญญาการค้าเสรีต่างๆ ที่มีผลต่อประเทศไทยหรือไม่ เช่น CPTPP การตัด GSP เป็นต้น ศูนย์นโยบายฯพรรคเพื่อไทยเห็นว่าประเทศไทยควรเตรียมพร้อมในการหามาตรการดูแลและเยียวยาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรวมทั้งเกษตรกร ผู้ผลิตยา และผู้ค้าสินค้าต่างๆ ให้พร้อมรับมือกับการเปิดการค้าเสรีที่อาจเกิดขึ้น หรือหากอเมริกาตัดสินใจที่จะเริ่มเจรจาสนธิสัญญาการค้าเสรีแบบอื่นๆ ใหม่ ประเทศไทยก็ต้องเตรียมความพร้อมในด้านสิทธิมนุษยชนดังที่ได้กล่าวไปเพื่อให้สามารถรับประโยชน์จากการเป็นคู่ค้าในกรอบพันธมิตรประชาธิปไตยได้
ข้อเสนอที่ 3 ด้านสิ่งแวดล้อม :
นายโจ ไบเดน แสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อปัญหาสภาวะโลกร้อน (Global warming) โดยประกาศเข้าร่วมข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) หลังจากที่ทรัมป์แจ้งถอนตัวออกมาไม่นานมานี้ นอกจากนี้ยังมีการผลักดันนโยบายประมง โดยจัดการการประมงและการกำหนดพื้นที่คุ้มครองทางทะเลเพิ่มเติมเพื่อปกป้องสัตว์ทะเล พร้อมทั้งยังรวมถึงคุ้มครองพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ในป่าให้มีมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของโลกภายในปี 2573
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้เข้าร่วมทำสัตยาบันต่อข้อตกลงปารีส ซึ่งกำหนดให้ดำเนินมาตรการเพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส แต่ความสามารถของการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของไทยนั้นยังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์สูงมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร และในปัจจุบันประเทศไทยผลิตพลังงานจากพลังงานหมุนเวียนได้เพียงประมาณ 15% เท่านั้น
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังประสบปัญหามลพิษทางอากาศ ทางตอนเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือมีปัญหาภัยแล้งทุกปี ฤดูไฟป่าทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล ตามข้อมูลจากงานวิจัยของ NESTPICK ระบุว่า กรุงเทพฯ มีอัตราที่จะจมลง 2 เซนติเมตรต่อปี ทั้งนี้เป็นผลมาจากสภาวะโลกร้อน ศูนย์นโยบายฯพรรคเพื่อไทยเห็นว่า ต้องมีมาตราการที่เข้มแข็งและสอดคล้องกับสัตยาบันนานาชาติในการลดปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ประเทศไทยควรหันมาลงทุนด้านพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง เพื่อใช้ประโยชน์ด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำและการเป็นส่วนของห่วงโซ่การผลิตของสหรัฐฯ ประเทศไทยจะสามารถหารายได้เข้าประเทศจากประเทศคู่ค้ารายใหญ่เฉกเช่นสหรัฐฯ ได้อีกมาก หากสามารถปรับตัวให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นที่ยอมรับของสากล
ศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคเพื่อไทย
15 พ.ย. 2563
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น