ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ประธานคณะอนุกรรมการนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า "เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและทีมงานไม่สามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 เพราะพอหมดหน้าฝน ย่างเข้าสู่หน้าหนาวคนไทยก็จะต้องกลับมาทนกับปัญหาเดิมๆ แบบนี้อีกเช่นเคย โดยส่วนใหญ่ปัญหาฝุ่นพิษจะหายไปเองในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งนั้นหมายความว่าเราจะต้องทนต่อค่าฝุ่นเกินมาตรฐานแบบนี้ไปต่ออีก 4 เดือนหรืออย่างไร ในขณะที่เศรษฐกิจไทยตกต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับต้องเจียดเงินเพื่อซื้อหน้ากาก N95 และเครื่องฟอกอากาศ เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนนั้น และหลังจากที่ได้ฟังการแก้ไขปัญหาจากลมปากผู้บริหารประเทศชุดมาโดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่าอะไรคือยุทธวิธีในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลชุดนี้ และเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเราจะต้องอดทนหายใจนำฝุ่นพิษเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายไปอีกนานแค่ไหน ในขณะที่ประเทศต่างๆ ดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 มาอย่างต่อเนื่อง เช่น สหราชอาณาจักรใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวในการแก้ปัญหาในกรุงลอนดอนจนทำให้เป็นเมืองที่มีอากาศดีอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนในประเทศจีนก็สามารถลดค่าฝุ่น PM 2.5 ในกรุงปักกิ่งได้กว่าร้อยละ 55 โดยที่รัฐบาลของเขาไม่ใช่แค่เพียงบอกว่ารู้แล้ว แต่กำลังลงมือปฏิบัติการอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าหากนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ดีจริงดังที่เคยกล่าวอ้าง ปัญหาฝุ่นคงหมดไปนานหลายปีแล้ว ซึ่งหากไม่รีบแก้ไข ก็เหมือนเป็นการทำให้คนไทยตายแบบผ่อนส่ง เพราะไม่รู้ว่าจะต้องอดทนสูดดมฝุ่นพิษเหล่านี้ไปอีกนานขนาดไหน?"
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า "พรรคเพื่อไทย เคยเสนอนโยบายระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไปหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เห็นรัฐบาลจะดำเนินการใดๆ ซึ่งหากรัฐบาลมีความจริงใจกับประชาชน ก็ควรที่จะมุ่งมั่นและเร่งรีบแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในทันที เพราะปัญหานี้คงไม่มีประชาชนคนใดมีความสามารถในการแก้ไขได้ด้วยตนเอง แต่รัฐบาลต้องมีนโยบายที่แหลมคม โดยสามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างจริงจัง ในการนำมาตรการต่างๆ ที่ใช้ได้ผลแล้วทั่วโลกเพื่อมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย และจากการที่คณะรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เห็นชอบ “แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเรื่องการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละลอง” ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2562 นับจนถึงบัดนี้กินเวลายาวนานเกินกว่า 1 ปีแล้วนั้น แต่เราก็ยังไม่เห็นความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังเสียที หรือแผนดังกล่าวจะเป็นแค่การวาง “แพลนนิ่ง” เพราะ “นิ่ง” จนประชาชนยังไม่เห็นถึงการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม ซึ่งในเรื่องนี้ตนเห็นว่ารัฐบาลควรต้องเร่งบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษทุกคันซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 และต้องเร่งดำเนินนโยบายเพื่อผลักดันให้พลเมืองเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยทั้งนี้รัฐควรสนับสนุนให้ประเทศไทยผลิตรถไฟฟ้าเพื่อใช้ในประเทศและขายให้ภูมิภาคอาเซียน เพราะนอกจากเป็นการลดมลพิษแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างรายได้ให้กับคนไทยอีกด้วย โดยสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศเพื่อให้ทั่วถึงและเพียงพอต่อความต้องการภายใน 3 ปี จัดให้มีช่องจราจรพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วน โดยเฉพาะบริเวณที่มีการจราจรติดขัด และจัดให้ประชาชนได้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะฟรีในวันที่มีฝุ่นควันเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล ในส่วนโรงงานที่ปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐาน ควรสั่งปิดโรงงานโดยเร็วและ จะต้องไม่อนุญาตให้โรงงานนั้นเปิดทำการจนกว่าจะแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ และควรจะเร่งพัฒนาในส่วนของแอปพลิเคชันที่ตรวจเช็คคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอุตสาหกรรมและบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น รัฐควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนปลูกต้นไม้โดยมีแรงจูงใจเป็นนโยบายลดหย่อนภาษี และรัฐบาลต้องจะนำข้อมูลการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวเผยแพร่ในเว็บไซด์ของรัฐบาลไทย เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้และตรวจสอบความคืบหน้าของแผนปฏิบัติการดังกล่าวแบบวันต่อวันได้ ซึ่งจะทำให้เป็นที่น่าพึงพอใจต่อประชาชนเป็นอย่างมาก"
"เพราะถ้าหากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่รีบแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง และค่า PM 2.5 ยังสูงเกินมาตรฐานสากลอยู่แบบนี้ ซึ่งปัญหานี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของกลุ่มคนใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นปัญหาของคนไทยทั้งประเทศ หากประชาชนคนไทยอดรนทนไม่ไหวเกิดตั้งม็อบเพื่อขับไล่รัฐบาลจากกรณีไม่สามารถแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ ซึ่งม็อบนี้คงยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน รัฐบาลอาจจะต้องเตรียมรับมือกับม็อบใหม่ไม่ใช่เพียงแต่รับมือม็อบแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และตนหวังว่ารัฐบาลไม่ควรที่จะเล่นกับความรู้สึกของประชาชนอีก เพราะหากความอดทนหมดไปอะไรก็เกิดขึ้นได้ ใครจะไปรู้ รัฐบาลชุดนี้อาจต้องไปเพราะฝุ่นผงเล็กๆ ก็เป็นได้" ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น