“พิชัย” ชี้ “ประยุทธ์” ปัญหารุมเร้า ห่วง คนไทยจะตายจาก ฝุ่นPM 2.5 พิษเศรษฐกิจ หรือ โควิด แนะ ต้องคิดล่วงหน้าไม่ใช่ตามแก้
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ ได้ไปหาเสียง นายก อบจ. ที่จังหวัดเชียงใหม่ ให้กัน นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร เบอร์ 1 พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มีปัญหาหลายด้านรุมเร้าและถูกวิจารณ์อย่างมาก ทั้งเรื่อง ฝุ่น PM2.5 เรื่อง “คนละครึ่ง” “เที่ยวด้วยกัน”ปัญหาการทุจริตที่ ปปช. เปิดเผย ปัญหาจะไปดวงจันทร์ทั้งที่คนจะอดตาย ปัญหาค่าเงินบาทแข็งทั้งที่เศรษฐกิจย่ำแย่ อีกทั้งความพยายามแก้ตัวเรื่องหนี้ที่จะพุ่งทะลุในปีหน้า โดยอยากอธิบายดังนี้
ทั้งนี้ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 กลับมาหลอกหลอนคนไทยอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มีปัญหานี้มาตลอดและสถานการณ์ก็ย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ พลเอกประยุทธ์กลับไม่มีแนวทางที่จะแก้ไข ทั้งๆที่มีคำแนะนำจากนักวิชาการหลายด้านและจากตนแต่กลับไม่ทำเลย เรื่องหนึ่งที่ตนได้เสนอมาหลายปีแล้ว คือการส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าทดแทนรถยนต์ใช้น้ำมัน เพื่อจะลดฝุ่น อีกทั้งยังช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายในประเทศให้เกิดขึ้นด้วย เป็นต้น ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลได้เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง
ปัญหาโครงการ “คนละครึ่ง” ช่วยเหลือประชาชนที่กำลังลำบาก แม้จะเป็นนโยบายที่คนสนใจกันมาก แต่ก็มีปัญหามาก เพราะแทนที่จะให้กับทุกคนกลับให้คนเข้าไปแย่งกัน ซึ่งทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถลงทะเบียนได้ อีกทั้งคนที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีก็ไม่สามารถลงทะเบียนได้เช่นกันโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง เพราะสุดท้ายประชาชนทุกคนจะต้องร่วมใช้หนี้นี้ร่วมกันจากเงินที่กู้มาแจกนี้ ส่วน โครงการ “เที่ยวด้วยกัน” ก็ปรากฏมีการทุจริตจำนวนมากจนต้องหยุดโครงการชั่วคราว
เมื่อพูดถึงการทุจริตก็ต้องโยงไปถึงเรื่องที่ ปปช. ออกมาแถลงว่ามีการทุจริตเกือบ 3 แสนล้านบาท ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนรัฐบาลอย่างมาก ทั้งที่ ปปช. เป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลเลือกขึ้นมาเอง โดยเชื่อว่าเมื่อไหร่พลเอกประยุทธ์หมดอำนาจ ข้อมูลการทุจริตจะปรากฏเพิ่มขึ้นอีกมาก และการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ก็จะมีการเปิดเผยข้อมูลการทุจริตให้ได้ทราบกัน
ทั้งโครงการ “คนละครึ่ง” และ “เที่ยวด้วยกัน” จะเป็นนโยบายเพื่อช่วยประชาชนเพียงชั่วคราวเท่านั้น เหมือนโครงการ “ชิมช้อปใช้” ในอดีต ที่ใช้แล้วก็หมดไป ไม่ได้สร้างรายได้ที่ถาวรและไม่ได้เสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ อีกทั้งประโยชน์ต่อจีดีพีจะมีน้อยมากเพราะเป็นเงินจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับจีดีพี อีกทั้งยังจะทำให้รัฐบาลก่อหนี้เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐานของประเทศที่ขาดการลงทุน และ การส่งออกทรุด แต่อย่างใด แถมปัจจุบันค่าเงินบาทยังแข็งค่ามาก แต่รัฐบาลกับแบงค์ชาติกลับไม่ทำอะไร ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจทรุดหนักลงอีก ย้อนแย้งกับที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว. คลัง ที่ประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะต้องเลิกแจกเงิน แล้วมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจไม่ใช่เอาแต่เยียวยา
ในขณะที่ประชาชนกำลังลำบากกับภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ แถมยังมาเจอฝุ่น PM2.5 แต่รัฐมนตรีในครม.พลเอกประยุทธ์กลับวาดฝันจะส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์ภายใน 7 ปี ซึ่งย้อนแย้งกับความรู้สึกของประชาชนที่กำลังลำบากอย่างมาก ประชาชนสิ้นหวังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะตายจาก ไวรัสโควิด พิษเศรษฐกิจ หรือ ฝุ่นPM2.5 อะไรก่อนกัน แต่รัฐบาลกลับมีปัญญาคิดนอกกรอบได้แค่จะส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์
กรอบคิดเพียงเท่านี้จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ เพราะพลเอกประยุทธ์ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจและการมองล่วงหน้า แม้กระทั่งเรื่องหนี้สาธารณะก็ยังพยายามเถียงว่าในปัจจุบันมีหนี้แค่ 7.848 ล้านล้านบาท หรือ 49.34% โดยไม่ได้มองว่าในอนาคต รัฐบาลยังจะต้องกู้เงินอีกมาก วงเงินช่วยเหลือประชาชน 1 ล้านล้านบาท ยังกู้มาใช้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งและคงต้องกู้อีก อีกทั้งงบประมาณปี 64 จะขาดดุลอีก 6.3 แสนล้าน การจัดเก็บภาษีปีนี้น่าจะขาดประมาณ 2-3 แสนล้านบาท และการจัดเก็บภาษีในปีหน้าก็น่าจะจัดเก็บได้ขาดอีก จีดีพีปีนี้ก็จะติดลบ ดังนั้นหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในปีหน้าจะพุ่งสูงมาก ดังนั้น รัฐบาลต้องมองล่วงหน้าในทุกเรื่องไม่ใช่คิดแต่จะอ้างตัวเลขช่วงนี้ โดยไม่มองเห็นอนาคต ซึ่งเป็นแบบนี้มาตลอด 6 ปี ประเทศถึงไม่ได้พัฒนาเลย
หากจำกันได้ ตนได้เคยเตือนมาตลอดว่าประเทศไทยโชคไม่ดีที่มีปัญหาทางการเมืองในช่วงที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ยังมีกรอบคิดเหมือนเดิม ที่ปรับตามโลกไม่ทัน เศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่และล้าหลังอย่างรวดเร็วมาก ประเทศไทยจะตกยุคอย่างไม่ทันรู้ตัว และประชาชนจะยิ่งลำบากกันอีกมาก ซึ่งเชื่อว่าตอนนี้คนจำนวนมากเริ่มรู้สึกกันแล้ว และหวังว่าผลการเลือกตั้ง นายก อบจ. จะเป็นการส่งสัญญาณความไม่พอใจของประชาชนให้ไปถึงพลเอกประยุทธ์ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น