ศ.สุชาติ อดีตรมว.คลัง ระบุ ผู้นำต้องตั้งใจรับใช้ประชาชน จึงจะแก้ปัญหาความยากจนได้ ผู้นำขุนศึกศักดินามีแต่จะทำให้ประชาชนยากจนลง ประเทศไทยควรมีบำนาญประชาชน และประกันสังคมสำหรับประชาชนทุกคน และควรขึ้นค่าแรงเป็น 500 บาทต่อวัน
22 เมษายน 2565 ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประเทศไทยในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ประชาชนไทยยากจนลงมาก ตัวเลขธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่า จำนวนคนยากจนเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคน จาก 4.8 ล้านคน เป็น 6.7 ล้านคน ในช่วงปี 2558 ถึงปี 2561 เทียบกับประเทศจีนที่เคยมีคนจนกว่า 970 ล้านคน วันนี้ไม่มีคนจีนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนแล้ว
1. เรื่องที่สำคัญที่สุด คือ “ผู้นำต้องมีความตั้งใจรับใช้ประชาชน” ผู้นำแบบศักดินา เป็นเจ้าขุนมูลนาย นายทุนผูกขาด คิดแต่เป็นนายประชาชน เอาเปรียบประชาชน คอรัปชั่นเงินประชาชน จะไม่มีทางแก้ไขปัญหาความยากจนได้ มีแต่จะทำให้ประชาชนยากจนลง
2. การทำชื่อโครงการเพื่อแก้ปัญหาความยากจนในแต่ละประเทศ จะมีชื่อคล้ายๆ กันหมด คือ การให้การศึกษาที่ดี การทำถนนเข้าสู่หมู่บ้านในชนบท การส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การเกษตรสมัย การส่งผลผลิตสู่ตลาดผ่านระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย การนำอุตสาหกรรมจากเมืองสู่หมู่บ้าน หากประชาชนอยู่ในทะเลทรายในที่ทุรกันดาร รัฐก็จะสร้างคอนโดสร้างแฟลต ให้ย้ายมาอยู่ หาโครงสร้างบริการพื้นฐาน และหางานมาให้
3. ประเทศจีนแก้ความยากจนได้ดีมาก วันนี้ประชาชนจีน ที่เคยอยู่ใต้เส้นความยากจน ไม่มีแล้ว ทั้งประเทศ เพราะผู้นำและรัฐบาลจีนตั้งใจรับใช้ประชาชน ทำโครงการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นอย่างตั้งใจ ไม่คอรัปชั่น ไม่เบียดบังเงินภาษีที่มาจากประชาชน แต่ประเทศเจ้าขุนมูลนายพ่อค้านายทุนผูกขาดแบบไทยๆ ที่มีโครงการชื่อเหมือนๆ กัน แก้ความยากจนไม่ได้ กลับทำให้คนยากจนเพิ่มขึ้นมากมาย เพราะไม่ตั้งใจ ทำตัวเป็นนายประชาชน จ้องแต่จะคอรัปชั่น เบียดบังเงินงบประมาณในโครงการช่วยเหลือประชาชน
4. นอกจากนี้ ประเทศจีนยังจัดเงินสวัสดิการให้ประชาชน (Welfare) ที่ชราภาพอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป เพื่อให้สามารถพึ่งตนเอง ไม่เป็นภาระลูกหลาน ดังนั้น ประเทศไทย คงต้องมีระบบบำนาญประชาชน สำหรับคนที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไปได้แล้ว รัฐบาลไทยควรจัดให้มีระบบสวัสดิการประชาชน โดยให้บำนาญประชาชนทุกคน เดือนละ 3,000 บาท (เป็นเงินที่ต้องใช้จ่ายขั้นต่ำ เป็นระดับเส้นความยากจนในประเทศไทย) ซึ่งปัจจุบันมี 11 ล้านคน ใช้เงินประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท เงินจำนวนนี้หามาจาก การลดขนาดรายจ่ายประจำของรัฐบาล ลดจำนวนกระทรวง ทบวง กรม และลดจำนวนรัฐมนตรีลง เลิกวุฒิสภา มีแต่ ส.ส.ที่เป็นตัวแทนประชาชน ให้ทำในลักษณะคล้ายประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีรายได้ของชาติโดยรวม (GDP) ใหญ่กว่าไทยถึงกว่า 10 เท่า แต่มีเพียง 12 กระทรวง 18 รัฐมนตรี
5. สำหรับประชาชนในวัยทำงาน ประเทศไทยควรให้มีระบบประกันสังคม (Social Security) ให้ครอบคลุมประชาชนทุกคน โดยให้ประชาชนทุกอาชีพ ออมเงินตามความสามารถ โดยรัฐบาลใช้เงินภาษีร่วมสมทบเงินให้ประชาชนแต่ละคน เช่น ออมและสมทบฝ่ายละ 3-10% ของรายได้ เมื่อแต่ละคนอายุครบ 60 ปีแล้ว นอกจากจะได้เงินเดือนสวัสดิการ 3,000 บาทที่รัฐจัดให้ฟรีแล้ว ประชาชนแต่ละคน ยังจะได้เงินเดือนส่วนเพิ่ม ที่ออมไว้ตั้งแต่ยังหนุ่มสาวในระบบประกันสังคมด้วย ซึ่งรวมกันอาจได้ถึง 20,000 ถึง 30,000 บาทต่อเดือน
6. ทุกวันนี้ สินค้าต่างๆ เริ่มขึ้นราคา โดยเฉพาะสินค้านำเข้า ประเภทน้ำมัน และโภคภัณฑ์ ยารักษาโรค และผลิตภัณฑ์ปุ๋ยเคมี ทั้งนี้ เนื่องมาจากสงครามรัสเซียบุกยูเครน และจากการที่ประเทศใหญ่ๆ พิมพ์ธนบัตร มาใช้ในช่วงโรคระบาดโควิดมากเกินไป รัฐบาลไทย จึงควรขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้พอกิน จากวันละ 300 เป็น 500 บาท โดยรัฐควรปรับค่าเงินบาทให้แข่งขันได้ดีขึ้น จะขายสินค้าและบริการส่งออกได้มากขึ้น ได้เงินตราต่างประเทศมาแล้ว ยังแลกเป็นเงินบาทได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราสูงขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มค่าแรงงานได้ ในขณะที่เอกชนก็ได้กำไรมากขึ้น และรัฐบาลได้เงินภาษีมากขึ้นด้วย
7. ปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจไทยกำลังถอยหลังลงคลอง รัฐบาลบริหารประเทศแบบผิดทิศทาง ทำให้หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยการกู้เงินมาแจก หนี้รัฐบาลคิดเป็น 62% ของรายได้ประเทศ (GDP) แล้ว และหนี้ครัวเรือนก็เพิ่มขึ้นมากมาย เพราะประชาชนไม่มีงานทำ หนี้ครัวเรือนคิดเป็นกว่า 90 % ของ GDP หนี้ทั้ง 2 ประเภทรวมกันเกินกว่า 150% ของ GDP ประเทศต้องเปลี่ยนผู้นำเป็นคนรุ่นใหม่ที่รับใช้ประชาชน มีระบบความคิดใหม่ ทำให้ประชาชนมีอนาคต มีความใฝ่ฝัน ศ. สุชาติ ธาดาธำรงเวช กล่าวในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น