“อัตราดอกเบี้ยหนี้สาธารณะ” เสมือนมะเร็งร้ายทางการเงิน
ที่แพร่เชื้อลุกลามเข้าสู่ปวงชนที่ยากต่อการรักษา
จำนวนหนี้สาธารณะปัจจุบัน 9,828,268 ล้านบาทเศษนั้น เป็นภาระของประเทศและประชาชนต้องเสียดอกเบี้ยทุกช่วงเวลา เฉลี่ยประมาณ 231,961 ล้านบาทเศษ/ปี หรือ 19,330 ล้านบาทเศษ/เดือน หรือ 635.5ล้านบาทเศษ/วัน หรือ 26.47 ล้านบาทเศษ/ชั่วโมง ซึ่งเมื่อรวมเงินต้นที่ครบกำหนดชำระคืนเจ้าหนี้พร้อมดอกเบี้ยแล้ว รัฐบาลไม่มีปัญญาหาเงินมาชำระหนี้คืนได้ เพราะงบประมาณบริหารราชการแผ่นดินที่มี ‘รายจ่ายประจำ’ มากกว่า 2.1 ล้านล้านบาทต่อปี (งบประมาณปี 2566 เป็นรายจ่ายประจำมากถึง 2,396,942.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.26 ของวงเงินงบประมาณ) แนวทางการชำระหนี้เงินกู้ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนจึงไม่มีนอกเสียจากการ “กู้หนี้ก้อนใหม่มาจ่ายคืนหนี้เงินกู้ก้อนเก่า” หรือเรียกว่า “เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ” ซึ่งวิธีการดังกล่าวไม่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่เกิดการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ เป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขในการจ่ายหนี้ของรัฐ เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระ หรือชำระล่าช้า ซึ่งจะทำให้รัฐถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นจากหนี้ปกติจึงยืดหนี้ หรือปรับอัตราดอกเบี้ยส่วนภาระดอกเบี้ยยังวิ่งไม่หยุด (รูปที่ 5)
ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกและในประเทศไทยกำลังส่งผลให้มีการปรับดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลต่างประเทศให้สูงขึ้น นักลงทุนจึงอาจย้ายเงินลงทุนออกจากประเทศไทยเพื่อไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า รัฐบาลไทยจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยแข่งขัน ดังนั้น ภาระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะของไทยก็จะถูกปรับสูงขึ้นอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่รัฐบาลยังคงอัตราดอกเบี้ยราคาถูกเพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้ทั้งตนเองและเอกชนรายใหญ่ แต่ประชาชนทั่วไปยังลำบากเพราะส่วนต่างดอกเบี้ยรายย่อยยังคงสูงอยู่มาก
การกู้หนี้ของรัฐบาลปัจจุบันยังมีความจำเป็นต้องกู้เพราะรัฐบาลไม่สามารถหารายได้ใม่พอรายจ่ายของรัฐ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยเติมโตช้ามาก รวมทั้งมีความจำเป็นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาความยากไร้คุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่ามาตราฐาน ช่วยเหลือด้านสวัสดิการพื้นฐานเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลตั้งงบประมาณแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจำเป็นต้องมีการกู้เงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณอยู่ทุกปี ๆ ละหลายแสนล้านบาท โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2565 สูงถึง 675,000-700,000 ล้านบาท และยิ่งต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลทำให้ฐานะทางการเงินของรัฐบาลเข้าสู่ภาวะเปราะบางทางการเงิน คือมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงขึ้นจากร้อยละ 43 ในปี 2557 จนเกินร้อยละ 60 ในปี 2565 ทำให้ในเดือนกันยายน 2564 รัฐบาลต้องขยายเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 เป็นไม่เกินร้อยละ 70แต่จากการศึกษาของต่างประเทศโดย IMF ให้คำแนะนำว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรมีสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60 เพราะถ้าเกินระดับนี้ไปแล้วอาจมีภาระหนี้มากเกินไปที่บั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และอาจกระทบกับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลว่าก่อหนี้เกินตัวหรือไม่ นักลงทุนต่างประเทศอาจมองว่า มีความเสี่ยงมากเกินไป ฐานะทางการคลังไม่ดี เศรษฐกิจอาจไม่มีเสถียรภาพ
หนี้ของรัฐแทบทั้งหมดจะกู้เงินในประเทศ (รูปที่ 6) โดยผ่านเครื่องมือต่าง ๆ สามารถจำแนกฐานนักลงทุน ได้แก่ 1.) เครื่องมือพันธบัตรรัฐบาล และ ตั๋วเงินคงคลัง ประมาณร้อยละ 79 ที่เป็นการกู้จากนักลงทุนสถาบันผ่านตลาดตราสารหนี้ประกอบด้วย กองทุนรวม สถาบันการเงิน บริษัทประกันชีวิต กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักประกันสังคม และนักลงทุนต่างประเทศ 2.) เครื่องมือตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญากู้ยืมเงิน ประมาณร้อยละ 15 ที่เป็นการกู้เงินโดยตรงจากสถาบันการเงิน ได้แก่ธนาคารของรัฐกับธนาคารพาณิชย์ และ 3.) เครื่องมือพันธบัตรออมทรัพย์ ประมาณร้อยละ 6 ที่เป็นการกู้เงินที่ระดมทุนจากภาคประชาชนเพื่อกระจายฐานนักลงทุนและกระทรวงการคลังควรส่งเสริมการออมของภาคประชาชน เพราะดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลจะสูงกว่าดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ทั่วไป
จะเห็นว่านักลงทุนตามกลุ่มที่ 1)และกลุ่มที่ 2) ที่ให้จำนวนหนี้รัฐรวมกันมากถึงร้อยละ 94 นั้นแทบทั้งหมดเป็นกลุ่มธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นตัวกลางใช้เงินฝากประชาชนที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 25-50 สตางค์ หรือร้อยละ 0.25-0.50 เอาไปให้รัฐกู้ดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.42-2.48 จะมีส่วนต่างกำไรค่อนข้างสูง มีความปลอดภัย ต้นทุนดูแลต่ำ สถาบันการเงินจึงเป็น “เสือนอนกิน” ดีกว่าให้ SME หรือประชาชนกู้ ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ยิ่งเมื่อรัฐบาลกู้เงินเพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นการช่วยคนรวยที่ร่ำรวยอยู่แล้วให้มั่งคั่งมากขึ้น เป็นการแย่งเงินทุนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะประชาชนและ SME ที่กำลังประสบปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน สถาบันการเงินไม่ให้กู้เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง รวมทั้งการกู้เงินภาครัฐดังกล่าว ตามสัดส่วนการกู้เงินของรัฐบาลผ่านการออกพันธบัตรในประเทศ (รูปที่ 7) อาจสร้างปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงินในอนาคต
การใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐ ที่น่าห่วงคือในแต่ละปีงบประมาณจะใช้จ่ายเงินลงทุนล่าช้าข้ามปีงบประมาณ ไม่โปร่งใส ขาดประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่า และไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการเติบโตของ GDP ทำให้ประชาชนเสียโอกาส ขณะเดียวกันต้องมีภาระดอกเบี้ยที่เดินหน้าไม่หยุด จากข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) พบว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 พบว่าผลการเบิกจ่ายงบประมาณ จากระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) กรมบัญชีกลาง งบประมาณจำนวน 3,285,962 ล้านบาทเศษ มีการเบิกจำนวน 3,012,156 ล้านบาทเศษ หรือคิดเป็นร้อยละ 91.67 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายรายจ่ายภาพรวม ร้อยละ 8.33 หรือมีงบประมาณคงเหลือจำนวน 273,806 แสนล้านบาทเศษ
ความล่าช้าของการใช้งบประมาณไม่ทัน แต่ “ดอกเบี้ย”ยังเดินไม่หยุดเปรียบเสมือนมะเร็งร้ายทางการเงินที่แพร่เชื้อลุกลามเข้าสู่ปวงชนที่ยากต่อการรักษาและเป็นภาระของคนในอนาคตต้องใช้หนี้และดอกเบี้ยที่เพิ่ม ที่รัฐบาลรัฐต้องจ่ายหนี้เป็นค่าดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นที่กู้มา ตัวอย่าง งบประมาณรายจ่ายปี 2565 การชำระหนี้ภาครัฐรวมจำนวน 363,269 ล้านบาท ใช้หนี้เงินต้นเพียง 100,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่เป็นดอกเบี้ยมากถึง 263,269 ล้านบาท รัฐบาลอยู่ในวังวน “กู้หนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่า” (ใช้ดอกเบี้ย) ที่แทบมองไม่เห็นอนาคตว่าเมื่อไรจะใช้หนี้หมด และล่าสุดจากรายงานการเงินแผ่นดิน ที่รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 (รูปที่ 8)ที่การเงินแผ่นดินรัฐบาลมีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายที่เป็นสัญญาณว่ารัฐบาลไทยเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะการล้มละลาย จึงเป็นห่วงการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่แทบมองไม่เห็นอนาคตที่ดีของประชาชนชาวไทยเลย
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ
เลขาธิการพรรคประชาชาติ
#หนี้สาธารณะ #ดอกเบี้ยเป็นมะเร็งร้ายทางการเงิน #พรรคประชาชาติเพื่อประชาชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น